วันจันทร์ที่ 19 สิงหาคม พ.ศ. 2556

ไวรัสคอมพิวเตอร์, การป้องกัน, จรรยาบรรณการใช้ ICT และ พรบ.ว่าด้วยการกระทำความผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์

สรุุปศึกษาเนื้อหา ไวรัสคอมพิวเตอร์, การป้องกัน, จรรยาบรรณการใช้ ICT และ พรบ.ว่าด้วยการกระทำความผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์

507 ความคิดเห็น:

«เก่าที่สุด   ‹เก่ากว่า   401 – 507 จาก 507
Unknown กล่าวว่า...

ไวรัสคอมพิวเตอร์ คือ ชื่อเรียกสำหรับโปรแกรมประเภทหนึ่งที่มีพฤติกรรมคล้ายๆ กับไวรัสที่เป็นเชื้อโรค ที่สามารถแพร่เชื้อได้และมักทำอันตรายต่อสิ่งมีชีวิตที่มันอาศัยอยู่ แต่ต่างกันตรงที่ว่าคอมพิวเตอร์ไวรัสเป็นแค่เพียงโปรแกรมเท่านั้น ไม่ใช่สิ่งมีชีวิต

การป้องกันไวรัส
1.สำรองไฟล์ข้อมูลที่สำคัญ
2.สำหรับเครื่องที่มีฮาร์ดดิสก์ อย่าเรียกดอสจากฟลอปปีดิสก์
3.ป้องกันการเขียนให้กับฟลอปปีดิสก์
4.อย่าเรียกโปรแกรมที่ติดมากับดิสก์อื่น
5.เสาะหาโปรแกรมตรวจหาไวรัสที่ใหม่และมากกว่าหนึ่งโปรแกรมจากคนละบริษัท
6.เรียกใช้โปรแกรมตรวจหาไวรัสเป็นช่วงๆ
7. เรียกใช้โปรแกรมตรวจจับไวรัสแบบเฝ้าดูทุกครั้ง
8. เลือกคัดลอกซอฟแวร์เฉพาะที่ถูกตรวจสอบแล้วในบีบีเอส
9. สำรองข้อมูลที่สำคัญของฮาร์ดิสก์ไปเก็บในฟลอปปีดิสก์
10. เตรียมฟลอปปีดิสก์ที่ไว้สำหรับให้เรียกดอสก์ขึ้นมาทำงานได้
11. เมื่อเครื่องติดไวรัส ให้พยายามหาที่มาของไวรัสนั้น

จริยธรรมในการใช้ ICT
1.ไม่ใช้คอมพิวเตอร์ทำร้ายผู้อื่น
2.ไม่รบกวนจนงานคอมพิวเตอร์ของผู้อื่น
3. ไม่แอบดูแฟ้มข้อมูลของผู้อื่น
4. ไม่ใช้คอมพิวเตอร์เพื่อลักขโมย
5.ไม่ใช้คอมพิวเตอร์เพื่อเป็นพยานเท็จ
6.ไม่ใช้หรือทำสำเนาซอฟต์แวร์ที่ตนไม่ได้ซื้อสิทธิ์
7.ไม่ใช้คอมพิวเตอร์ของผู้อื่นโดยไม่มีอำนาจหน้าที่
8. ไม่ฉวยเอาทรัพย์ทางปัญญาของผู้อื่นมาเป็นของตน
9. คิดถึงผลต่อเนื่องทางสังคมของโปรแกรมที่เขียน
10. ใช้คอมพิวเตอร์ในทางที่แสดงถึงความใคร่ครวญและเคารพจรรยาวิชาชีพของสมาชิกสมาคมเครื่องจักรกลคอมพิวเตอร์

พรบ.ว่าด้วยการกระทำความผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์
(มาตรา 5 ) แฮกเกอร์ที่เจาะเข้าระบบคอมพิวเตอร์ที่มีมาตรการป้องกันการเข้าถึง จำคุกไม่เกินหกเดือนหรือปรับไม่เกินหนึ่งหมื่นบาทหรือทั้งจำทั้งปรับ
(มาตรา 7) แฮกเกอร์ที่เจาะเข้าระบบและได้เข้าไปดูข้อมูลของผู้อื่นจำคุกไม่เกินสองปีหรือปรับไม่เกินสี่หมื่นบาทหรือทั้งจำทั้งปรับ
(มาตรา 8) ผู้ที่ชอบดักรับข้อมูลของผู้อื่นระหว่างการส่งข้อมูลในระบบคอมพิวเตอร์ จำคุกไม่เกินสามปีหรือปรับไม่เกินหกหมื่นบาทหรือทั้งจำทั้งปรับ
(มาตรา 9,10 และ 12) ผู้ที่ทำการปลอมแปลง ทำลาย แก้ไขข้อมูลคอมพิวเตอร์ของผู้อื่น หรือทำการใดๆ ที่ไประงับ ชะลอ ขัดขวาง หรือรบกวนการทำงานระบบคอมพิวเตอร์ของผู้อื่น จำคุกสูงสุดยี่สิบปี
(มาตรา 11 ) ผู้ที่ส่งอีเมล์ปกปิดหรือปลอมแปลงแหล่งที่มา เช่น สแปมเมล์ (spam mail ) ทำให้รบกวนการใช้งานระบบคอมพิวเตอร์ของผู้อื่น ปรับไม่เกินหนึ่งแสนบาท
(มาตรา 14) ผู้ที่นำเข้าข้อมูลที่ไม่เหมาะสมเข้าไปในระบบคอมพิวเตอร์ซึ่งคนอื่นสามารถเข้าไปดูข้อมูลนั้นได้ เช่นข้อมูลอันเป็นเท็จที่ส่งผลกระทบต่อความมั่นคงของประเทศ ก่อให้เกิดความตื่นตระหนกแก่ประชาชน หรือทำให้ผู้อื่นเสียหาย ข้อมูลความผิดเกี่ยวกับการก่อการร้าย ข้อมูลลามกอนาจาร หรือผู้ที่เผยแพร่หรือส่งต่อข้อมูลเหล่านี้ ไม่ว่าจะเป็นทางเครื่องคอมพิวเตอร์ พีดีเอ โทรศัพท์มือถือ หรือระบบคอมพิวเตอร์อื่นๆ จำคุกไม่เกินห้าปีหรือปรับไม่เกินหนึ่งแสนบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ
(มาตรา 16) ผู้ที่นำเข้าภาพตัดต่อ ภาพดัดแปลงด้วยวิธีการใดๆ ของบุคคลอื่นเข้าไปในระบบคอมพิวเตอร์โดยมีเจตนาให้ผู้นั้นเสียชื่อเสียง ถูกดูหมิ่น ถูกเกลียดชัง หรือได้รับความอับอาย จำคุกไม่เกินสามปี หรือปรับไม่เกินหกหมื่นบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ
(มาตรา 26) ผู้ให้บริการ เช่น อินเตอร์เน็ตคาเฟ่ ผู้ให้บริการสัญญาณอินเตอร์เน็ต กลุ่มผู้ประกอบการอีคอมเมิร์ช รวมถึงมหาวิทยาลัย ต้องเก็บข้อมูลการเข้าใช้งานระบบคอมพิวเตอร์ของผู้ใช้บริการไม่น้อยกว่าเก้าสิบวัน เพื่อใช้ติดตามผู้กระทำความผิดมาลงโทษ หากผู้ให้บริการไม่ปฏิบัติตามนี้ ปรับสูงสุดถึงห้าแสนบาท

นาย มนัส ยอดแก้ว รปศ 55128040228

หนุ่มตามฝัน ลูกชาวนา กล่าวว่า...

ไวรัสคอมพิวเตอร์ คือ ชื่อเรียกสำหรับโปรแกรมประเภทหนึ่งที่มีพฤติกรรมคล้ายๆ กับไวรัสที่เป็นเชื้อโรค ที่สามารถแพร่เชื้อได้และมักทำอันตรายต่อสิ่งมีชีวิตที่มันอาศัยอยู่ แต่ต่างกันตรงที่ว่าคอมพิวเตอร์ไวรัสเป็นแค่เพียงโปรแกรมเท่านั้น ไม่ใช่สิ่งมีชีวิต

การป้องกันไวรัส
1.สำรองไฟล์ข้อมูลที่สำคัญ
2.สำหรับเครื่องที่มีฮาร์ดดิสก์ อย่าเรียกดอสจากฟลอปปีดิสก์
3.ป้องกันการเขียนให้กับฟลอปปีดิสก์
4.อย่าเรียกโปรแกรมที่ติดมากับดิสก์อื่น
5.เสาะหาโปรแกรมตรวจหาไวรัสที่ใหม่และมากกว่าหนึ่งโปรแกรมจากคนละบริษัท
6.เรียกใช้โปรแกรมตรวจหาไวรัสเป็นช่วงๆ
7. เรียกใช้โปรแกรมตรวจจับไวรัสแบบเฝ้าดูทุกครั้ง
8. เลือกคัดลอกซอฟแวร์เฉพาะที่ถูกตรวจสอบแล้วในบีบีเอส
9. สำรองข้อมูลที่สำคัญของฮาร์ดิสก์ไปเก็บในฟลอปปีดิสก์
10. เตรียมฟลอปปีดิสก์ที่ไว้สำหรับให้เรียกดอสก์ขึ้นมาทำงานได้
11. เมื่อเครื่องติดไวรัส ให้พยายามหาที่มาของไวรัสนั้น

จริยธรรมในการใช้ ICT
1.ไม่ใช้คอมพิวเตอร์ทำร้ายผู้อื่น
2.ไม่รบกวนจนงานคอมพิวเตอร์ของผู้อื่น
3. ไม่แอบดูแฟ้มข้อมูลของผู้อื่น
4. ไม่ใช้คอมพิวเตอร์เพื่อลักขโมย
5.ไม่ใช้คอมพิวเตอร์เพื่อเป็นพยานเท็จ
6.ไม่ใช้หรือทำสำเนาซอฟต์แวร์ที่ตนไม่ได้ซื้อสิทธิ์
7.ไม่ใช้คอมพิวเตอร์ของผู้อื่นโดยไม่มีอำนาจหน้าที่
8. ไม่ฉวยเอาทรัพย์ทางปัญญาของผู้อื่นมาเป็นของตน
9. คิดถึงผลต่อเนื่องทางสังคมของโปรแกรมที่เขียน
10. ใช้คอมพิวเตอร์ในทางที่แสดงถึงความใคร่ครวญและเคารพจรรยาวิชาชีพของสมาชิกสมาคมเครื่องจักรกลคอมพิวเตอร์

พรบ.ว่าด้วยการกระทำความผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์
(มาตรา 5 ) แฮกเกอร์ที่เจาะเข้าระบบคอมพิวเตอร์ที่มีมาตรการป้องกันการเข้าถึง จำคุกไม่เกินหกเดือนหรือปรับไม่เกินหนึ่งหมื่นบาทหรือทั้งจำทั้งปรับ
(มาตรา 7) แฮกเกอร์ที่เจาะเข้าระบบและได้เข้าไปดูข้อมูลของผู้อื่นจำคุกไม่เกินสองปีหรือปรับไม่เกินสี่หมื่นบาทหรือทั้งจำทั้งปรับ
(มาตรา 8) ผู้ที่ชอบดักรับข้อมูลของผู้อื่นระหว่างการส่งข้อมูลในระบบคอมพิวเตอร์ จำคุกไม่เกินสามปีหรือปรับไม่เกินหกหมื่นบาทหรือทั้งจำทั้งปรับ
(มาตรา 9,10 และ 12) ผู้ที่ทำการปลอมแปลง ทำลาย แก้ไขข้อมูลคอมพิวเตอร์ของผู้อื่น หรือทำการใดๆ ที่ไประงับ ชะลอ ขัดขวาง หรือรบกวนการทำงานระบบคอมพิวเตอร์ของผู้อื่น จำคุกสูงสุดยี่สิบปี
(มาตรา 11 ) ผู้ที่ส่งอีเมล์ปกปิดหรือปลอมแปลงแหล่งที่มา เช่น สแปมเมล์ (spam mail ) ทำให้รบกวนการใช้งานระบบคอมพิวเตอร์ของผู้อื่น ปรับไม่เกินหนึ่งแสนบาท
(มาตรา 14) ผู้ที่นำเข้าข้อมูลที่ไม่เหมาะสมเข้าไปในระบบคอมพิวเตอร์ซึ่งคนอื่นสามารถเข้าไปดูข้อมูลนั้นได้ เช่นข้อมูลอันเป็นเท็จที่ส่งผลกระทบต่อความมั่นคงของประเทศ ก่อให้เกิดความตื่นตระหนกแก่ประชาชน หรือทำให้ผู้อื่นเสียหาย ข้อมูลความผิดเกี่ยวกับการก่อการร้าย ข้อมูลลามกอนาจาร หรือผู้ที่เผยแพร่หรือส่งต่อข้อมูลเหล่านี้ ไม่ว่าจะเป็นทางเครื่องคอมพิวเตอร์ พีดีเอ โทรศัพท์มือถือ หรือระบบคอมพิวเตอร์อื่นๆ จำคุกไม่เกินห้าปีหรือปรับไม่เกินหนึ่งแสนบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ
(มาตรา 16) ผู้ที่นำเข้าภาพตัดต่อ ภาพดัดแปลงด้วยวิธีการใดๆ ของบุคคลอื่นเข้าไปในระบบคอมพิวเตอร์โดยมีเจตนาให้ผู้นั้นเสียชื่อเสียง ถูกดูหมิ่น ถูกเกลียดชัง หรือได้รับความอับอาย จำคุกไม่เกินสามปี หรือปรับไม่เกินหกหมื่นบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ
(มาตรา 26) ผู้ให้บริการ เช่น อินเตอร์เน็ตคาเฟ่ ผู้ให้บริการสัญญาณอินเตอร์เน็ต กลุ่มผู้ประกอบการอีคอมเมิร์ช รวมถึงมหาวิทยาลัย ต้องเก็บข้อมูลการเข้าใช้งานระบบคอมพิวเตอร์ของผู้ใช้บริการไม่น้อยกว่าเก้าสิบวัน เพื่อใช้ติดตามผู้กระทำความผิดมาลงโทษ หากผู้ให้บริการไม่ปฏิบัติตามนี้ ปรับสูงสุดถึงห้าแสนบาท

นายจตุรงค์ ผดุงรัตน์
56191470117 ดนตรีศึกษา

หนุ่มตามฝัน ลูกชาวนา กล่าวว่า...

ไวรัสคอมพิวเตอร์ คือ ชื่อเรียกสำหรับโปรแกรมประเภทหนึ่งที่มีพฤติกรรมคล้ายๆ กับไวรัสที่เป็นเชื้อโรค ที่สามารถแพร่เชื้อได้และมักทำอันตรายต่อสิ่งมีชีวิตที่มันอาศัยอยู่ แต่ต่างกันตรงที่ว่าคอมพิวเตอร์ไวรัสเป็นแค่เพียงโปรแกรมเท่านั้น ไม่ใช่สิ่งมีชีวิต

การป้องกันไวรัส
1.สำรองไฟล์ข้อมูลที่สำคัญ
2.สำหรับเครื่องที่มีฮาร์ดดิสก์ อย่าเรียกดอสจากฟลอปปีดิสก์
3.ป้องกันการเขียนให้กับฟลอปปีดิสก์
4.อย่าเรียกโปรแกรมที่ติดมากับดิสก์อื่น
5.เสาะหาโปรแกรมตรวจหาไวรัสที่ใหม่และมากกว่าหนึ่งโปรแกรมจากคนละบริษัท
6.เรียกใช้โปรแกรมตรวจหาไวรัสเป็นช่วงๆ
7. เรียกใช้โปรแกรมตรวจจับไวรัสแบบเฝ้าดูทุกครั้ง
8. เลือกคัดลอกซอฟแวร์เฉพาะที่ถูกตรวจสอบแล้วในบีบีเอส
9. สำรองข้อมูลที่สำคัญของฮาร์ดิสก์ไปเก็บในฟลอปปีดิสก์
10. เตรียมฟลอปปีดิสก์ที่ไว้สำหรับให้เรียกดอสก์ขึ้นมาทำงานได้
11. เมื่อเครื่องติดไวรัส ให้พยายามหาที่มาของไวรัสนั้น

จริยธรรมในการใช้ ICT
1.ไม่ใช้คอมพิวเตอร์ทำร้ายผู้อื่น
2.ไม่รบกวนจนงานคอมพิวเตอร์ของผู้อื่น
3. ไม่แอบดูแฟ้มข้อมูลของผู้อื่น
4. ไม่ใช้คอมพิวเตอร์เพื่อลักขโมย
5.ไม่ใช้คอมพิวเตอร์เพื่อเป็นพยานเท็จ
6.ไม่ใช้หรือทำสำเนาซอฟต์แวร์ที่ตนไม่ได้ซื้อสิทธิ์
7.ไม่ใช้คอมพิวเตอร์ของผู้อื่นโดยไม่มีอำนาจหน้าที่
8. ไม่ฉวยเอาทรัพย์ทางปัญญาของผู้อื่นมาเป็นของตน
9. คิดถึงผลต่อเนื่องทางสังคมของโปรแกรมที่เขียน
10. ใช้คอมพิวเตอร์ในทางที่แสดงถึงความใคร่ครวญและเคารพจรรยาวิชาชีพของสมาชิกสมาคมเครื่องจักรกลคอมพิวเตอร์

พรบ.ว่าด้วยการกระทำความผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์
(มาตรา 5 ) แฮกเกอร์ที่เจาะเข้าระบบคอมพิวเตอร์ที่มีมาตรการป้องกันการเข้าถึง จำคุกไม่เกินหกเดือนหรือปรับไม่เกินหนึ่งหมื่นบาทหรือทั้งจำทั้งปรับ
(มาตรา 7) แฮกเกอร์ที่เจาะเข้าระบบและได้เข้าไปดูข้อมูลของผู้อื่นจำคุกไม่เกินสองปีหรือปรับไม่เกินสี่หมื่นบาทหรือทั้งจำทั้งปรับ
(มาตรา 8) ผู้ที่ชอบดักรับข้อมูลของผู้อื่นระหว่างการส่งข้อมูลในระบบคอมพิวเตอร์ จำคุกไม่เกินสามปีหรือปรับไม่เกินหกหมื่นบาทหรือทั้งจำทั้งปรับ
(มาตรา 9,10 และ 12) ผู้ที่ทำการปลอมแปลง ทำลาย แก้ไขข้อมูลคอมพิวเตอร์ของผู้อื่น หรือทำการใดๆ ที่ไประงับ ชะลอ ขัดขวาง หรือรบกวนการทำงานระบบคอมพิวเตอร์ของผู้อื่น จำคุกสูงสุดยี่สิบปี
(มาตรา 11 ) ผู้ที่ส่งอีเมล์ปกปิดหรือปลอมแปลงแหล่งที่มา เช่น สแปมเมล์ (spam mail ) ทำให้รบกวนการใช้งานระบบคอมพิวเตอร์ของผู้อื่น ปรับไม่เกินหนึ่งแสนบาท
(มาตรา 14) ผู้ที่นำเข้าข้อมูลที่ไม่เหมาะสมเข้าไปในระบบคอมพิวเตอร์ซึ่งคนอื่นสามารถเข้าไปดูข้อมูลนั้นได้ เช่นข้อมูลอันเป็นเท็จที่ส่งผลกระทบต่อความมั่นคงของประเทศ ก่อให้เกิดความตื่นตระหนกแก่ประชาชน หรือทำให้ผู้อื่นเสียหาย ข้อมูลความผิดเกี่ยวกับการก่อการร้าย ข้อมูลลามกอนาจาร หรือผู้ที่เผยแพร่หรือส่งต่อข้อมูลเหล่านี้ ไม่ว่าจะเป็นทางเครื่องคอมพิวเตอร์ พีดีเอ โทรศัพท์มือถือ หรือระบบคอมพิวเตอร์อื่นๆ จำคุกไม่เกินห้าปีหรือปรับไม่เกินหนึ่งแสนบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ
(มาตรา 16) ผู้ที่นำเข้าภาพตัดต่อ ภาพดัดแปลงด้วยวิธีการใดๆ ของบุคคลอื่นเข้าไปในระบบคอมพิวเตอร์โดยมีเจตนาให้ผู้นั้นเสียชื่อเสียง ถูกดูหมิ่น ถูกเกลียดชัง หรือได้รับความอับอาย จำคุกไม่เกินสามปี หรือปรับไม่เกินหกหมื่นบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ
(มาตรา 26) ผู้ให้บริการ เช่น อินเตอร์เน็ตคาเฟ่ ผู้ให้บริการสัญญาณอินเตอร์เน็ต กลุ่มผู้ประกอบการอีคอมเมิร์ช รวมถึงมหาวิทยาลัย ต้องเก็บข้อมูลการเข้าใช้งานระบบคอมพิวเตอร์ของผู้ใช้บริการไม่น้อยกว่าเก้าสิบวัน เพื่อใช้ติดตามผู้กระทำความผิดมาลงโทษ หากผู้ให้บริการไม่ปฏิบัติตามนี้ ปรับสูงสุดถึงห้าแสนบาท

นายจตุรงค์ ผดุงรัตน์
56191470117
ดนตรีศึกษา

Unknown กล่าวว่า...
ความคิดเห็นนี้ถูกผู้เขียนลบ
Unknown กล่าวว่า...

ไวรัสคอมพิวเตอร์ คือ ชื่อเรียกสำหรับโปรแกรมประเภทหนึ่งที่มีพฤติกรรมคล้ายๆ กับไวรัสที่เป็นเชื้อโรค ที่สามารถแพร่เชื้อได้และมักทำอันตรายต่อสิ่งมีชีวิตที่มันอาศัยอยู่ แต่ต่างกันตรงที่ว่าคอมพิวเตอร์ไวรัสเป็นแค่เพียงโปรแกรมเท่านั้น ไม่ใช่สิ่งมีชีวิต

การป้องกันไวรัส
1.สำรองไฟล์ข้อมูลที่สำคัญ
2.สำหรับเครื่องที่มีฮาร์ดดิสก์ อย่าเรียกดอสจากฟลอปปีดิสก์
3.ป้องกันการเขียนให้กับฟลอปปีดิสก์
4.อย่าเรียกโปรแกรมที่ติดมากับดิสก์อื่น
5.เสาะหาโปรแกรมตรวจหาไวรัสที่ใหม่และมากกว่าหนึ่งโปรแกรมจากคนละบริษัท
6.เรียกใช้โปรแกรมตรวจหาไวรัสเป็นช่วงๆ
7. เรียกใช้โปรแกรมตรวจจับไวรัสแบบเฝ้าดูทุกครั้ง
8. เลือกคัดลอกซอฟแวร์เฉพาะที่ถูกตรวจสอบแล้วในบีบีเอส
9. สำรองข้อมูลที่สำคัญของฮาร์ดิสก์ไปเก็บในฟลอปปีดิสก์
10. เตรียมฟลอปปีดิสก์ที่ไว้สำหรับให้เรียกดอสก์ขึ้นมาทำงานได้
11. เมื่อเครื่องติดไวรัส ให้พยายามหาที่มาของไวรัสนั้น

จริยธรรมในการใช้ ICT
1.ไม่ใช้คอมพิวเตอร์ทำร้ายผู้อื่น
2.ไม่รบกวนจนงานคอมพิวเตอร์ของผู้อื่น
3. ไม่แอบดูแฟ้มข้อมูลของผู้อื่น
4. ไม่ใช้คอมพิวเตอร์เพื่อลักขโมย
5.ไม่ใช้คอมพิวเตอร์เพื่อเป็นพยานเท็จ
6.ไม่ใช้หรือทำสำเนาซอฟต์แวร์ที่ตนไม่ได้ซื้อสิทธิ์
7.ไม่ใช้คอมพิวเตอร์ของผู้อื่นโดยไม่มีอำนาจหน้าที่
8. ไม่ฉวยเอาทรัพย์ทางปัญญาของผู้อื่นมาเป็นของตน
9. คิดถึงผลต่อเนื่องทางสังคมของโปรแกรมที่เขียน
10. ใช้คอมพิวเตอร์ในทางที่แสดงถึงความใคร่ครวญและเคารพจรรยาวิชาชีพของสมาชิกสมาคมเครื่องจักรกลคอมพิวเตอร์

พรบ.ว่าด้วยการกระทำความผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์
(มาตรา 5 ) แฮกเกอร์ที่เจาะเข้าระบบคอมพิวเตอร์ที่มีมาตรการป้องกันการเข้าถึง จำคุกไม่เกินหกเดือนหรือปรับไม่เกินหนึ่งหมื่นบาทหรือทั้งจำทั้งปรับ
(มาตรา 7) แฮกเกอร์ที่เจาะเข้าระบบและได้เข้าไปดูข้อมูลของผู้อื่นจำคุกไม่เกินสองปีหรือปรับไม่เกินสี่หมื่นบาทหรือทั้งจำทั้งปรับ
(มาตรา 8) ผู้ที่ชอบดักรับข้อมูลของผู้อื่นระหว่างการส่งข้อมูลในระบบคอมพิวเตอร์ จำคุกไม่เกินสามปีหรือปรับไม่เกินหกหมื่นบาทหรือทั้งจำทั้งปรับ
(มาตรา 9,10 และ 12) ผู้ที่ทำการปลอมแปลง ทำลาย แก้ไขข้อมูลคอมพิวเตอร์ของผู้อื่น หรือทำการใดๆ ที่ไประงับ ชะลอ ขัดขวาง หรือรบกวนการทำงานระบบคอมพิวเตอร์ของผู้อื่น จำคุกสูงสุดยี่สิบปี
(มาตรา 11 ) ผู้ที่ส่งอีเมล์ปกปิดหรือปลอมแปลงแหล่งที่มา เช่น สแปมเมล์ (spam mail ) ทำให้รบกวนการใช้งานระบบคอมพิวเตอร์ของผู้อื่น ปรับไม่เกินหนึ่งแสนบาท
(มาตรา 14) ผู้ที่นำเข้าข้อมูลที่ไม่เหมาะสมเข้าไปในระบบคอมพิวเตอร์ซึ่งคนอื่นสามารถเข้าไปดูข้อมูลนั้นได้ เช่นข้อมูลอันเป็นเท็จที่ส่งผลกระทบต่อความมั่นคงของประเทศ ก่อให้เกิดความตื่นตระหนกแก่ประชาชน หรือทำให้ผู้อื่นเสียหาย ข้อมูลความผิดเกี่ยวกับการก่อการร้าย ข้อมูลลามกอนาจาร หรือผู้ที่เผยแพร่หรือส่งต่อข้อมูลเหล่านี้ ไม่ว่าจะเป็นทางเครื่องคอมพิวเตอร์ พีดีเอ โทรศัพท์มือถือ หรือระบบคอมพิวเตอร์อื่นๆ จำคุกไม่เกินห้าปีหรือปรับไม่เกินหนึ่งแสนบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ
(มาตรา 16) ผู้ที่นำเข้าภาพตัดต่อ ภาพดัดแปลงด้วยวิธีการใดๆ ของบุคคลอื่นเข้าไปในระบบคอมพิวเตอร์โดยมีเจตนาให้ผู้นั้นเสียชื่อเสียง ถูกดูหมิ่น ถูกเกลียดชัง หรือได้รับความอับอาย จำคุกไม่เกินสามปี หรือปรับไม่เกินหกหมื่นบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ
(มาตรา 26) ผู้ให้บริการ เช่น อินเตอร์เน็ตคาเฟ่ ผู้ให้บริการสัญญาณอินเตอร์เน็ต กลุ่มผู้ประกอบการอีคอมเมิร์ช รวมถึงมหาวิทยาลัย ต้องเก็บข้อมูลการเข้าใช้งานระบบคอมพิวเตอร์ของผู้ใช้บริการไม่น้อยกว่าเก้าสิบวัน เพื่อใช้ติดตามผู้กระทำความผิดมาลงโทษ หากผู้ให้บริการไม่ปฏิบัติตามนี้ ปรับสูงสุดถึงห้าแสนบาท


นายมนูญ จันทร์หนองสรวง 56191470119
ดนตรีศึกษา

Unknown กล่าวว่า...

ไวรัสคอมพิวเตอร์ คือ ชื่อเรียกสำหรับโปรแกรมประเภทหนึ่งที่มีพฤติกรรมคล้ายๆ กับไวรัสที่เป็นเชื้อโรค ที่สามารถแพร่เชื้อได้และมักทำอันตรายต่อสิ่งมีชีวิตที่มันอาศัยอยู่ แต่ต่างกันตรงที่ว่าคอมพิวเตอร์ไวรัสเป็นแค่เพียงโปรแกรมเท่านั้น ไม่ใช่สิ่งมีชีวิต

การป้องกันไวรัส
1.สำรองไฟล์ข้อมูลที่สำคัญ
2.สำหรับเครื่องที่มีฮาร์ดดิสก์ อย่าเรียกดอสจากฟลอปปีดิสก์
3.ป้องกันการเขียนให้กับฟลอปปีดิสก์
4.อย่าเรียกโปรแกรมที่ติดมากับดิสก์อื่น
5.เสาะหาโปรแกรมตรวจหาไวรัสที่ใหม่และมากกว่าหนึ่งโปรแกรมจากคนละบริษัท
6.เรียกใช้โปรแกรมตรวจหาไวรัสเป็นช่วงๆ
7. เรียกใช้โปรแกรมตรวจจับไวรัสแบบเฝ้าดูทุกครั้ง
8. เลือกคัดลอกซอฟแวร์เฉพาะที่ถูกตรวจสอบแล้วในบีบีเอส
9. สำรองข้อมูลที่สำคัญของฮาร์ดิสก์ไปเก็บในฟลอปปีดิสก์
10. เตรียมฟลอปปีดิสก์ที่ไว้สำหรับให้เรียกดอสก์ขึ้นมาทำงานได้
11. เมื่อเครื่องติดไวรัส ให้พยายามหาที่มาของไวรัสนั้น

จริยธรรมในการใช้ ICT
1.ไม่ใช้คอมพิวเตอร์ทำร้ายผู้อื่น
2.ไม่รบกวนจนงานคอมพิวเตอร์ของผู้อื่น
3. ไม่แอบดูแฟ้มข้อมูลของผู้อื่น
4. ไม่ใช้คอมพิวเตอร์เพื่อลักขโมย
5.ไม่ใช้คอมพิวเตอร์เพื่อเป็นพยานเท็จ
6.ไม่ใช้หรือทำสำเนาซอฟต์แวร์ที่ตนไม่ได้ซื้อสิทธิ์
7.ไม่ใช้คอมพิวเตอร์ของผู้อื่นโดยไม่มีอำนาจหน้าที่
8. ไม่ฉวยเอาทรัพย์ทางปัญญาของผู้อื่นมาเป็นของตน
9. คิดถึงผลต่อเนื่องทางสังคมของโปรแกรมที่เขียน
10. ใช้คอมพิวเตอร์ในทางที่แสดงถึงความใคร่ครวญและเคารพจรรยาวิชาชีพของสมาชิกสมาคมเครื่องจักรกลคอมพิวเตอร์

พรบ.ว่าด้วยการกระทำความผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์
(มาตรา 5 ) แฮกเกอร์ที่เจาะเข้าระบบคอมพิวเตอร์ที่มีมาตรการป้องกันการเข้าถึง จำคุกไม่เกินหกเดือนหรือปรับไม่เกินหนึ่งหมื่นบาทหรือทั้งจำทั้งปรับ
(มาตรา 7) แฮกเกอร์ที่เจาะเข้าระบบและได้เข้าไปดูข้อมูลของผู้อื่นจำคุกไม่เกินสองปีหรือปรับไม่เกินสี่หมื่นบาทหรือทั้งจำทั้งปรับ
(มาตรา 8) ผู้ที่ชอบดักรับข้อมูลของผู้อื่นระหว่างการส่งข้อมูลในระบบคอมพิวเตอร์ จำคุกไม่เกินสามปีหรือปรับไม่เกินหกหมื่นบาทหรือทั้งจำทั้งปรับ
(มาตรา 9,10 และ 12) ผู้ที่ทำการปลอมแปลง ทำลาย แก้ไขข้อมูลคอมพิวเตอร์ของผู้อื่น หรือทำการใดๆ ที่ไประงับ ชะลอ ขัดขวาง หรือรบกวนการทำงานระบบคอมพิวเตอร์ของผู้อื่น จำคุกสูงสุดยี่สิบปี
(มาตรา 11 ) ผู้ที่ส่งอีเมล์ปกปิดหรือปลอมแปลงแหล่งที่มา เช่น สแปมเมล์ (spam mail ) ทำให้รบกวนการใช้งานระบบคอมพิวเตอร์ของผู้อื่น ปรับไม่เกินหนึ่งแสนบาท
(มาตรา 14) ผู้ที่นำเข้าข้อมูลที่ไม่เหมาะสมเข้าไปในระบบคอมพิวเตอร์ซึ่งคนอื่นสามารถเข้าไปดูข้อมูลนั้นได้ เช่นข้อมูลอันเป็นเท็จที่ส่งผลกระทบต่อความมั่นคงของประเทศ ก่อให้เกิดความตื่นตระหนกแก่ประชาชน หรือทำให้ผู้อื่นเสียหาย ข้อมูลความผิดเกี่ยวกับการก่อการร้าย ข้อมูลลามกอนาจาร หรือผู้ที่เผยแพร่หรือส่งต่อข้อมูลเหล่านี้ ไม่ว่าจะเป็นทางเครื่องคอมพิวเตอร์ พีดีเอ โทรศัพท์มือถือ หรือระบบคอมพิวเตอร์อื่นๆ จำคุกไม่เกินห้าปีหรือปรับไม่เกินหนึ่งแสนบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ
(มาตรา 16) ผู้ที่นำเข้าภาพตัดต่อ ภาพดัดแปลงด้วยวิธีการใดๆ ของบุคคลอื่นเข้าไปในระบบคอมพิวเตอร์โดยมีเจตนาให้ผู้นั้นเสียชื่อเสียง ถูกดูหมิ่น ถูกเกลียดชัง หรือได้รับความอับอาย จำคุกไม่เกินสามปี หรือปรับไม่เกินหกหมื่นบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ
(มาตรา 26) ผู้ให้บริการ เช่น อินเตอร์เน็ตคาเฟ่ ผู้ให้บริการสัญญาณอินเตอร์เน็ต กลุ่มผู้ประกอบการอีคอมเมิร์ช รวมถึงมหาวิทยาลัย ต้องเก็บข้อมูลการเข้าใช้งานระบบคอมพิวเตอร์ของผู้ใช้บริการไม่น้อยกว่าเก้าสิบวัน เพื่อใช้ติดตามผู้กระทำความผิดมาลงโทษ หากผู้ให้บริการไม่ปฏิบัติตามนี้ ปรับสูงสุดถึงห้าแสนบาท


นายปิชรวิทย์ วงศ์หินกอง
56191470118
ดนตรีศึกษา

Unknown กล่าวว่า...

ไวรัสคอมพิวเตอร์ คือ ชื่อเรียกสำหรับโปรแกรมประเภทหนึ่งที่มีพฤติกรรมคล้ายๆ กับไวรัสที่เป็นเชื้อโรค ที่สามารถแพร่เชื้อได้และมักทำอันตรายต่อสิ่งมีชีวิตที่มันอาศัยอยู่ แต่ต่างกันตรงที่ว่าคอมพิวเตอร์ไวรัสเป็นแค่เพียงโปรแกรมเท่านั้น ไม่ใช่สิ่งมีชีวิต

การป้องกันไวรัส
1.สำรองไฟล์ข้อมูลที่สำคัญ
2.สำหรับเครื่องที่มีฮาร์ดดิสก์ อย่าเรียกดอสจากฟลอปปีดิสก์
3.ป้องกันการเขียนให้กับฟลอปปีดิสก์
4.อย่าเรียกโปรแกรมที่ติดมากับดิสก์อื่น
5.เสาะหาโปรแกรมตรวจหาไวรัสที่ใหม่และมากกว่าหนึ่งโปรแกรมจากคนละบริษัท
6.เรียกใช้โปรแกรมตรวจหาไวรัสเป็นช่วงๆ
7. เรียกใช้โปรแกรมตรวจจับไวรัสแบบเฝ้าดูทุกครั้ง
8. เลือกคัดลอกซอฟแวร์เฉพาะที่ถูกตรวจสอบแล้วในบีบีเอส
9. สำรองข้อมูลที่สำคัญของฮาร์ดิสก์ไปเก็บในฟลอปปีดิสก์
10. เตรียมฟลอปปีดิสก์ที่ไว้สำหรับให้เรียกดอสก์ขึ้นมาทำงานได้
11. เมื่อเครื่องติดไวรัส ให้พยายามหาที่มาของไวรัสนั้น

จริยธรรมในการใช้ ICT
1.ไม่ใช้คอมพิวเตอร์ทำร้ายผู้อื่น
2.ไม่รบกวนจนงานคอมพิวเตอร์ของผู้อื่น
3. ไม่แอบดูแฟ้มข้อมูลของผู้อื่น
4. ไม่ใช้คอมพิวเตอร์เพื่อลักขโมย
5.ไม่ใช้คอมพิวเตอร์เพื่อเป็นพยานเท็จ
6.ไม่ใช้หรือทำสำเนาซอฟต์แวร์ที่ตนไม่ได้ซื้อสิทธิ์
7.ไม่ใช้คอมพิวเตอร์ของผู้อื่นโดยไม่มีอำนาจหน้าที่
8. ไม่ฉวยเอาทรัพย์ทางปัญญาของผู้อื่นมาเป็นของตน
9. คิดถึงผลต่อเนื่องทางสังคมของโปรแกรมที่เขียน
10. ใช้คอมพิวเตอร์ในทางที่แสดงถึงความใคร่ครวญและเคารพจรรยาวิชาชีพของสมาชิกสมาคมเครื่องจักรกลคอมพิวเตอร์

พรบ.ว่าด้วยการกระทำความผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์
(มาตรา 5 ) แฮกเกอร์ที่เจาะเข้าระบบคอมพิวเตอร์ที่มีมาตรการป้องกันการเข้าถึง จำคุกไม่เกินหกเดือนหรือปรับไม่เกินหนึ่งหมื่นบาทหรือทั้งจำทั้งปรับ
(มาตรา 7) แฮกเกอร์ที่เจาะเข้าระบบและได้เข้าไปดูข้อมูลของผู้อื่นจำคุกไม่เกินสองปีหรือปรับไม่เกินสี่หมื่นบาทหรือทั้งจำทั้งปรับ
(มาตรา 8) ผู้ที่ชอบดักรับข้อมูลของผู้อื่นระหว่างการส่งข้อมูลในระบบคอมพิวเตอร์ จำคุกไม่เกินสามปีหรือปรับไม่เกินหกหมื่นบาทหรือทั้งจำทั้งปรับ
(มาตรา 9,10 และ 12) ผู้ที่ทำการปลอมแปลง ทำลาย แก้ไขข้อมูลคอมพิวเตอร์ของผู้อื่น หรือทำการใดๆ ที่ไประงับ ชะลอ ขัดขวาง หรือรบกวนการทำงานระบบคอมพิวเตอร์ของผู้อื่น จำคุกสูงสุดยี่สิบปี
(มาตรา 11 ) ผู้ที่ส่งอีเมล์ปกปิดหรือปลอมแปลงแหล่งที่มา เช่น สแปมเมล์ (spam mail ) ทำให้รบกวนการใช้งานระบบคอมพิวเตอร์ของผู้อื่น ปรับไม่เกินหนึ่งแสนบาท
(มาตรา 14) ผู้ที่นำเข้าข้อมูลที่ไม่เหมาะสมเข้าไปในระบบคอมพิวเตอร์ซึ่งคนอื่นสามารถเข้าไปดูข้อมูลนั้นได้ เช่นข้อมูลอันเป็นเท็จที่ส่งผลกระทบต่อความมั่นคงของประเทศ ก่อให้เกิดความตื่นตระหนกแก่ประชาชน หรือทำให้ผู้อื่นเสียหาย ข้อมูลความผิดเกี่ยวกับการก่อการร้าย ข้อมูลลามกอนาจาร หรือผู้ที่เผยแพร่หรือส่งต่อข้อมูลเหล่านี้ ไม่ว่าจะเป็นทางเครื่องคอมพิวเตอร์ พีดีเอ โทรศัพท์มือถือ หรือระบบคอมพิวเตอร์อื่นๆ จำคุกไม่เกินห้าปีหรือปรับไม่เกินหนึ่งแสนบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ
(มาตรา 16) ผู้ที่นำเข้าภาพตัดต่อ ภาพดัดแปลงด้วยวิธีการใดๆ ของบุคคลอื่นเข้าไปในระบบคอมพิวเตอร์โดยมีเจตนาให้ผู้นั้นเสียชื่อเสียง ถูกดูหมิ่น ถูกเกลียดชัง หรือได้รับความอับอาย จำคุกไม่เกินสามปี หรือปรับไม่เกินหกหมื่นบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ
(มาตรา 26) ผู้ให้บริการ เช่น อินเตอร์เน็ตคาเฟ่ ผู้ให้บริการสัญญาณอินเตอร์เน็ต กลุ่มผู้ประกอบการอีคอมเมิร์ช รวมถึงมหาวิทยาลัย ต้องเก็บข้อมูลการเข้าใช้งานระบบคอมพิวเตอร์ของผู้ใช้บริการไม่น้อยกว่าเก้าสิบวัน เพื่อใช้ติดตามผู้กระทำความผิดมาลงโทษ หากผู้ให้บริการไม่ปฏิบัติตามนี้ ปรับสูงสุดถึงห้าแสนบาท
นายราเชนทร์ ไชยพันธ์ 55128040238 รปศ (การปกครองท้องถิ่น)หมู่2

Unknown กล่าวว่า...

ไวรัสคอมพิวเตอร์ (Computer Virus) คือ โปรแกรมชนิดหนึ่งที่มีความสามารถในการสำเนาตัวเองเข้าไปติดอยู่ในเครื่องคอมพิวเตอร์ และถ้ามีโอกาสก็สามารถแทรกเข้าไปติดอยู่ในระบบคอมพิวเตอร์อื่นๆ ซึ่งอาจเกิดจากการนำเอาแผ่นดิสก์หรือแฟลชไดร์ฟที่ติดไวรัสจากเครื่องหนึ่งไปใช้กับอีกเครื่องหนึ่ง การที่คอมพิวเตอร์ใดติดไวรัส หมายความว่าไวรัสได้เข้าไปผังตัวอยู่ในหน่วยความจำคอมพิวเตอร์เครื่องนั้นเรียบร้อยแล้ว การที่ไวรัสจะเข้าไปอยู่ในหน่วยความจำได้นั้นจะต้องมีการถูกเรียกใช้ให้ทำงาน ซึ่งโดยปกติแล้วผู้ใช้มักจะไม่รู้ตัวเลยว่า ขณะที่ตนเรียกใช้โปรแกรมหรือเปิดไฟล์ใดๆขึ้นมาทำงาน ก็ได้เรียกไวรัสขึ้นมาทำงานด้วย จุดประสงค์การทำงานของไวรัสแต่ละตัวขึ้นอยู่กับผู้เขียนโปรแกรมไวรัสนั้น เช่น อาจสร้างไวรัสให้ไปทำลายโปรแกรมหรือข้อมูลอื่นๆ ที่อยู่ในเครื่องคอมพิวเตอร์ หรือแสดงข้อความวิ่งไปมาบนหน้าจอคอมพิวเตอร์ เป็นต้น
การป้องกันไวรัส
1.สำรองไฟล์ข้อมูลที่สำคัญ
2.สำหรับเครื่องที่มีฮาร์ดดิสก์ อย่าเรียกดอสจากฟลอปปีดิสก์
3.ป้องกันการเขียนให้กับฟลอปปีดิสก์
4.อย่าเรียกโปรแกรมที่ติดมากับดิสก์อื่น
5.เสาะหาโปรแกรมตรวจหาไวรัสที่ใหม่และมากกว่าหนึ่งโปรแกรมจากคนละบริษัท
6.เรียกใช้โปรแกรมตรวจหาไวรัสเป็นช่วงๆ
7. เรียกใช้โปรแกรมตรวจจับไวรัสแบบเฝ้าดูทุกครั้ง
8. เลือกคัดลอกซอฟแวร์เฉพาะที่ถูกตรวจสอบแล้วในบีบีเอส
9. สำรองข้อมูลที่สำคัญของฮาร์ดิสก์ไปเก็บในฟลอปปีดิสก์
10. เตรียมฟลอปปีดิสก์ที่ไว้สำหรับให้เรียกดอสก์ขึ้นมาทำงานได้
11. เมื่อเครื่องติดไวรัส ให้พยายามหาที่มาของไวรัสนั้น

จรรยาบรรในการใช้ICT จริยธรรม (Ethics) เป็นเรื่องของการกำหนดความถูกต้องดีงามสิ่งที่ไม่ควรทำมีหลักปฏิบัติในระดับที่สูงกว่ามารยาทในสังคมเช่นคนที่ไม่ยอมเข้าแถวเพื่อขอรับบริการตามสิทธิ์ก่อนหลังอาจถือว่าไม่มีมารยาทหรือพนักงานคอมพิวเตอร์คนหนึ่งเอาข้อมูลทางการเงินของลูกค้าที่เขาจะต้องเห็นตามหน้าที่การงานไปหาผลประโยชน์แก่ตนเองเช่นขายรายชื่อนั้นให้ธุรกิจอื่นหรือบอกให้แก่คู่สมรสซึ่งเป็นพนักงานขายตรงไปเสนอขายสินค้าการกระทำเช่นนี้ถือว่าไม่ถูกต้องไม่มีจริยธรรมจริงอยู่แม้ว่าบริษัทที่พนักงานผู้นั้นทำงานอยู่จะไม่เสียหายแต่การนำเอาของบริษัทไปใช้เพื่อประโยชน์ส่วนตัวก็เป็นสิ่งที่ไม่อาจทำได้อย่างเปิดเผยหรือพนักงานขายสินค้าของทางบริการหนึ่งซึ่งลาออกจากบริษัทเพื่อไปทำงานกับบริษัทคู่แข่งแล้วใช้ประโยชน์จากความรู้ ในเรื่องข้อมูลราคาหรือความลับทางการค้าของบริษัทแรกไปให้บริษัทหลังก็อาจเรียกได้ว่าพนักงานคนนั้นไม่มีจริยธรรมเมื่อสังคมสลับซับซ้อนขึ้นมีการแบ่งหน้าที่กันออกเป็นหน้าที่ต่างๆจึงมีข้อกำหนดที่เรียกว่า“จรรยาวิชาชีพ
” (Code of Conduct) ขึ้นเพื่อใช้เป็นหลักปฏิบัติของคนในอาชีพนั้นๆเราคงเคยได้ยินจรรยาบรรณของแพทย์ที่จะไม่เปิดเผยเรื่องราวส่วนตัวของคนไข้จรรยาบรรณของนักหนังสือพิมพ์ที่รับเงินทองสิ่งตอบแทนเพื่อเสนอข่าวหรือไม่เสนอข่าวไม่เปิดเผยแหล่งข่าวถ้าแหล่งข่าวไม่ต้องการจรรยาบรรณวิชาชีพของสถาปนิกหรือวิศวกรผู้ออกแบบที่ต้องไม่รับผลประโยชน์ใดๆจากผู้ขายอุปกรณ์ที่ใช้ในงานที่เขาออกแบบซึ่งขายให้กับผู้ว่าจ้างงานชิ้นนั้นเพราะเขาได้รับปลตอบแทนจากผู้ว่าจ้างแล้วจรรยาบรรณของวิชาชีพใดก็มักกำหนดขึ้นโดยสมาคมวิชาชีพนั้นโดยมีข้อกำหนดบทลงโทษที่นอกเหนือไปจากกฏหมายบ้านเมืองเช่นเพิกถอนสมาชิกภาพเพิกถอนหรือพักใบประกอบวิชาชีพและอาจมีกฏหมายรองรับอีกด้วยอาชีพนักคอมพิวเตอร์เป็นอาชีพใหม่ในสังคมสารสนเทศการใช้คอมพิวเตอร์และระบบสารสนเทศก็เป็นสิ่งใหม่ที่มีศีลธรรมจริยธรรมและจรรยาบรรณเฉพาะของตนซึ่งบางครั้งก็แตกต่างจากจริยธรรมที่ยอมรับกันมาแต่ก่อนหลักพื้นฐานของจริยธรรมในสังคมสารสนเทศก็คือการเคารพผู้อื่นเคารพความเป็นส่วนตัว
พรบ.ว่าด้วยการกระทำความผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์
(มาตรา 5 ) แฮกเกอร์ที่เจาะเข้าระบบคอมพิวเตอร์ที่มีมาตรการป้องกันการเข้าถึง จำคุกไม่เกินหกเดือนหรือปรับไม่เกินหนึ่งหมื่นบาทหรือทั้งจำทั้งปรับ
(มาตรา 7) แฮกเกอร์ที่เจาะเข้าระบบและได้เข้าไปดูข้อมูลของผู้อื่นจำคุกไม่เกินสองปีหรือปรับไม่เกินสี่หมื่นบาทหรือทั้งจำทั้งปรับ
(มาตรา 8) ผู้ที่ชอบดักรับข้อมูลของผู้อื่นระหว่างการส่งข้อมูลในระบบคอมพิวเตอร์ จำคุกไม่เกินสามปีหรือปรับไม่เกินหกหมื่นบาทหรือทั้งจำทั้งปรับ


นาสาวอรไท จันศร
รหัสนักศึกษา 54191700245
สาขาอุตสาหกรรมศิลป์และเทคโนโลยี หมู่ 2

Unknown กล่าวว่า...

ไวรัสคอมพิวเตอร์ (Computer Virus) คือ โปรแกรมชนิดหนึ่งที่มีความสามารถในการสำเนาตัวเองเข้าไปติดอยู่ในเครื่องคอมพิวเตอร์ และถ้ามีโอกาสก็สามารถแทรกเข้าไปติดอยู่ในระบบคอมพิวเตอร์อื่นๆ ซึ่งอาจเกิดจากการนำเอาแผ่นดิสก์หรือแฟลชไดร์ฟที่ติดไวรัสจากเครื่องหนึ่งไปใช้กับอีกเครื่องหนึ่ง การที่คอมพิวเตอร์ใดติดไวรัส หมายความว่าไวรัสได้เข้าไปผังตัวอยู่ในหน่วยความจำคอมพิวเตอร์เครื่องนั้นเรียบร้อยแล้ว การที่ไวรัสจะเข้าไปอยู่ในหน่วยความจำได้นั้นจะต้องมีการถูกเรียกใช้ให้ทำงาน ซึ่งโดยปกติแล้วผู้ใช้มักจะไม่รู้ตัวเลยว่า ขณะที่ตนเรียกใช้โปรแกรมหรือเปิดไฟล์ใดๆขึ้นมาทำงาน ก็ได้เรียกไวรัสขึ้นมาทำงานด้วย จุดประสงค์การทำงานของไวรัสแต่ละตัวขึ้นอยู่กับผู้เขียนโปรแกรมไวรัสนั้น เช่น อาจสร้างไวรัสให้ไปทำลายโปรแกรมหรือข้อมูลอื่นๆ ที่อยู่ในเครื่องคอมพิวเตอร์ หรือแสดงข้อความวิ่งไปมาบนหน้าจอคอมพิวเตอร์ เป็นต้น
การป้องกันไวรัส
1.สำรองไฟล์ข้อมูลที่สำคัญ
2.สำหรับเครื่องที่มีฮาร์ดดิสก์ อย่าเรียกดอสจากฟลอปปีดิสก์
3.ป้องกันการเขียนให้กับฟลอปปีดิสก์
4.อย่าเรียกโปรแกรมที่ติดมากับดิสก์อื่น
5.เสาะหาโปรแกรมตรวจหาไวรัสที่ใหม่และมากกว่าหนึ่งโปรแกรมจากคนละบริษัท
6.เรียกใช้โปรแกรมตรวจหาไวรัสเป็นช่วงๆ
7. เรียกใช้โปรแกรมตรวจจับไวรัสแบบเฝ้าดูทุกครั้ง
8. เลือกคัดลอกซอฟแวร์เฉพาะที่ถูกตรวจสอบแล้วในบีบีเอส
9. สำรองข้อมูลที่สำคัญของฮาร์ดิสก์ไปเก็บในฟลอปปีดิสก์
10. เตรียมฟลอปปีดิสก์ที่ไว้สำหรับให้เรียกดอสก์ขึ้นมาทำงานได้
11. เมื่อเครื่องติดไวรัส ให้พยายามหาที่มาของไวรัสนั้น

จรรยาบรรในการใช้ICT จริยธรรม (Ethics) เป็นเรื่องของการกำหนดความถูกต้องดีงามสิ่งที่ไม่ควรทำมีหลักปฏิบัติในระดับที่สูงกว่ามารยาทในสังคมเช่นคนที่ไม่ยอมเข้าแถวเพื่อขอรับบริการตามสิทธิ์ก่อนหลังอาจถือว่าไม่มีมารยาทหรือพนักงานคอมพิวเตอร์คนหนึ่งเอาข้อมูลทางการเงินของลูกค้าที่เขาจะต้องเห็นตามหน้าที่การงานไปหาผลประโยชน์แก่ตนเองเช่นขายรายชื่อนั้นให้ธุรกิจอื่นหรือบอกให้แก่คู่สมรสซึ่งเป็นพนักงานขายตรงไปเสนอขายสินค้าการกระทำเช่นนี้ถือว่าไม่ถูกต้องไม่มีจริยธรรมจริงอยู่แม้ว่าบริษัทที่พนักงานผู้นั้นทำงานอยู่จะไม่เสียหายแต่การนำเอาของบริษัทไปใช้เพื่อประโยชน์ส่วนตัวก็เป็นสิ่งที่ไม่อาจทำได้อย่างเปิดเผยหรือพนักงานขายสินค้าของทางบริการหนึ่งซึ่งลาออกจากบริษัทเพื่อไปทำงานกับบริษัทคู่แข่งแล้วใช้ประโยชน์จากความรู้ ในเรื่องข้อมูลราคาหรือความลับทางการค้าของบริษัทแรกไปให้บริษัทหลังก็อาจเรียกได้ว่าพนักงานคนนั้นไม่มีจริยธรรมเมื่อสังคมสลับซับซ้อนขึ้นมีการแบ่งหน้าที่กันออกเป็นหน้าที่ต่างๆจึงมีข้อกำหนดที่เรียกว่า“จรรยาวิชาชีพ
” (Code of Conduct) ขึ้นเพื่อใช้เป็นหลักปฏิบัติของคนในอาชีพนั้นๆเราคงเคยได้ยินจรรยาบรรณของแพทย์ที่จะไม่เปิดเผยเรื่องราวส่วนตัวของคนไข้จรรยาบรรณของนักหนังสือพิมพ์ที่รับเงินทองสิ่งตอบแทนเพื่อเสนอข่าวหรือไม่เสนอข่าวไม่เปิดเผยแหล่งข่าวถ้าแหล่งข่าวไม่ต้องการจรรยาบรรณวิชาชีพของสถาปนิกหรือวิศวกรผู้ออกแบบที่ต้องไม่รับผลประโยชน์ใดๆจากผู้ขายอุปกรณ์ที่ใช้ในงานที่เขาออกแบบซึ่งขายให้กับผู้ว่าจ้างงานชิ้นนั้นเพราะเขาได้รับปลตอบแทนจากผู้ว่าจ้างแล้วจรรยาบรรณของวิชาชีพใดก็มักกำหนดขึ้นโดยสมาคมวิชาชีพนั้นโดยมีข้อกำหนดบทลงโทษที่นอกเหนือไปจากกฏหมายบ้านเมืองเช่นเพิกถอนสมาชิกภาพเพิกถอนหรือพักใบประกอบวิชาชีพและอาจมีกฏหมายรองรับอีกด้วยอาชีพนักคอมพิวเตอร์เป็นอาชีพใหม่ในสังคมสารสนเทศการใช้คอมพิวเตอร์และระบบสารสนเทศก็เป็นสิ่งใหม่ที่มีศีลธรรมจริยธรรมและจรรยาบรรณเฉพาะของตนซึ่งบางครั้งก็แตกต่างจากจริยธรรมที่ยอมรับกันมาแต่ก่อนหลักพื้นฐานของจริยธรรมในสังคมสารสนเทศก็คือการเคารพผู้อื่นเคารพความเป็นส่วนตัว
พรบ.ว่าด้วยการกระทำความผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์
(มาตรา 5 ) แฮกเกอร์ที่เจาะเข้าระบบคอมพิวเตอร์ที่มีมาตรการป้องกันการเข้าถึง จำคุกไม่เกินหกเดือนหรือปรับไม่เกินหนึ่งหมื่นบาทหรือทั้งจำทั้งปรับ
(มาตรา 7) แฮกเกอร์ที่เจาะเข้าระบบและได้เข้าไปดูข้อมูลของผู้อื่นจำคุกไม่เกินสองปีหรือปรับไม่เกินสี่หมื่นบาทหรือทั้งจำทั้งปรับ
(มาตรา 8) ผู้ที่ชอบดักรับข้อมูลของผู้อื่นระหว่างการส่งข้อมูลในระบบคอมพิวเตอร์ จำคุกไม่เกินสามปีหรือปรับไม่เกินหกหมื่นบาทหรือทั้งจำทั้งปรับ
นาสาวอรไท จันศร
รหัสนักศึกษา 54191700245
สาขาอุตสาหกรรมศิลป์และเทคโนโลยี หมู่ 2

Unknown กล่าวว่า...

ไวรัสคอมพิวเตอร์
ที่บุกรุกเข้าไปในเครื่องคอมพิวเตอร์โดยไม่ได้รับความยินยอมจากผู้ใช้ ส่วนมากมักจะมีประสงค์ร้ายและสร้างความเสียหายให้กับระบบของเครื่องคอมพิวเตอร์นั้นๆในเชิงเทคโนโลยีความมั่นคงของระบบคอมพิวเตอร์นั้น ไวรัสเป็นโปรแกรมคอมพิวเตอร์ที่สามารถทำสำเนาของตัวเอง เพื่อแพร่ออกไปโดยการสอดแทรกตัวสำเนาไปในรหัสคอมพิวเตอร์ส่วนของข้อมูลเอกสารหรือส่วนที่สามารถปฏิบัติการได้ ดังนั้นไวรัสคอมพิวเตอร์จึงมีพฤติกรรมในลักษณะเดียวกับไวรัสในทางชีววิทยา ซึ่งสามารถแพร่กระจายไปในเซลล์ของสิ่งมีชีวิตในลักษณะเดียวกันนี้ คำอื่นๆ ที่ใช้กับไวรัสในทางชีววิทยายังขยายขอบข่ายของความหมายครอบคลุมถึงไวรัสในทางคอมพิวเตอร์ เช่น การติดไวรัส (infection) แฟ้มข้อมูลที่ติดไวรัสนี้จะเรียกว่า โฮสต์ (host) ไวรัสนั้นเป็นประเภทหนึ่งของโปรแกรมประเภทมัลแวร์ (malware) หรือโปรแกรมที่มีประสงค์ร้าย ในความหมายที่ใช้กันทั่วไปนั้น ไวรัสยังใช้หมายรวมถึง เวิร์ม (worm) ซึ่งก็เป็นโปรแกรมอีกรูปแบบหนึ่งของมัลแวร์ ซึ่งบางครั้งก็ทำให้ผู้ใช้คอมพิวเตอร์นั้นสับสนเมื่อคำไวรัสนั้นใช้ในความหมายที่เฉพาะเจาะจง คอมพิวเตอร์ไวรัสนั้นโดยทั่วไปจะไม่ส่งผลก่อให้เกิดความเสียหายต่อฮาร์ดแวร์โดยตรง แต่จะทำความเสียหายต่อซอฟต์แวร์
โปรแกรมป้องกันไวรัส
โปรแกรมป้องกันไวรัส หรือ แอนติไวรัส (อังกฤษ: antivirus software) เป็นโปรแกรมที่สร้างขึ้นเพื่อคอยตรวจจับ ป้องกัน และกำจัดโปรแกรมคุกคามทางคอมพิวเตอ ร์หรือมัลแวร์ ซึ่งหมายถึง ไวรัส เวิร์ม โทรจันสปายแวร์ แอดแวร์ และซอฟต์แวร์คุกคามประเภทอื่นๆ
โปรแกรมป้องกันไวรัสมี 2 แบบหลักๆ คือ
1. แอนติไวรัส (Anti-Virus) เป็นโปรแกรมโปรแกรมป้องกันไวรัสทั่วๆไป จะค้นหาและทำลายไวรัสในคอมพิวเตอร์ของเรา
2. แอนติสปายแวร์ (Anti-Spyware) เป็นโปรแกรมป้องกันการโจรกรรมข้อมูล จากไวรัสสปายแวร์ และจากแฮ็กเกอร์ รวมถึงการกำจัด Adsware ซึ่งเป็นป๊อปอัพโฆษณาอีกด้วย
โปรแกรมป้องกันไวรัสจะค้นหาและทำลายไวรัสที่ไฟล์โดยตรง แต่ในทุกๆวันจะมีไวรัสชนิดใหม่เกิดขึ้นมาเสมอ ทำให้เราต้องอัปเดตโปรแกรมป้องกันไวรัสตลอดเวลาเพื่อให้คอมพิวเตอร์ของเราปลอดภัย โดยแอนติไวรัสจะมีหลายรูปแบบตามบริษัทกันไปและแต่ละบริษัทจะมีการอัปเดตและการป้องกันไม่เหมือนกัน แต่ในคอมพิวเตอร์เครื่องเดียวไม่ควรมีแอนติไวรัส 2 โปรแกรมเพราะจะทำให้โปรแกรมขัดแย้งกันเองจนไม่สามารถใช้งานได้
จรรยาบรรณในการใช้คอมพิวเตอร์
จริยธรรม (Ethics) เป็นเรื่องของการกำหนดความถูกต้องดีงามสิ่งที่ไม่ควรทำมีหลักปฏิบัติในระดับที่สูงกว่ามารยาทในสังคมเช่นคนที่ไม่ยอมเข้าแถวเพื่อขอรับบริการตามสิทธิ์ก่อนหลังอาจถือว่าไม่มีมารยาทหรือพนักงานคอมพิวเตอร์คนหนึ่งเอาข้อมูลทางการเงินของลูกค้าที่เขาจะต้องเห็นตามหน้าที่การงานไปหาผลประโยชน์แก่ตนเองเช่นขายรายชื่อนั้นให้ธุรกิจอื่นหรือบอกให้แก่คู่สมรสซึ่งเป็นพนักงานขายตรงไปเสนอขายสินค้าการกระทำเช่นนี้ถือว่าไม่ถูกต้องไม่มีจริยธรรมจริงอยู่แม้ว่าบริษัทที่พนักงานผู้นั้นทำงานอยู่จะไม่เสียหายแต่การนำเอาของบริษัทไปใช้เพื่อประโยชน์ส่วนตัวก็เป็นสิ่งที่ไม่อาจทำได้อย่างเปิดเผยหรือพนักงานขายสินค้าของทางบริการหนึ่งซึ่งลาออกจากบริษัทเพื่อไปทำงานกับบริษัทคู่แข่งแล้วใช้ประโยชน์จากความรู้ ในเรื่องข้อมูลราคาหรือความลับทางการค้าของบริษัทแรกไปให้บริษัทหลังก็อาจเรียกได้ว่าพนักงานคนนั้นไม่มีจริยธรรมเมื่อสังคมสลับซับซ้อนขึ้นมีการแบ่งหน้าที่กันออกเป็นหน้าที่ต่างๆจึงมีข้อกำหนดที่เรียกว่า“จรรยาวิชาชีพ

Unknown กล่าวว่า...

ไวรัสคอมพิวเตอร์
ที่บุกรุกเข้าไปในเครื่องคอมพิวเตอร์โดยไม่ได้รับความยินยอมจากผู้ใช้ ส่วนมากมักจะมีประสงค์ร้ายและสร้างความเสียหายให้กับระบบของเครื่องคอมพิวเตอร์นั้นๆในเชิงเทคโนโลยีความมั่นคงของระบบคอมพิวเตอร์นั้น ไวรัสเป็นโปรแกรมคอมพิวเตอร์ที่สามารถทำสำเนาของตัวเอง เพื่อแพร่ออกไปโดยการสอดแทรกตัวสำเนาไปในรหัสคอมพิวเตอร์ส่วนของข้อมูลเอกสารหรือส่วนที่สามารถปฏิบัติการได้ ดังนั้นไวรัสคอมพิวเตอร์จึงมีพฤติกรรมในลักษณะเดียวกับไวรัสในทางชีววิทยา ซึ่งสามารถแพร่กระจายไปในเซลล์ของสิ่งมีชีวิตในลักษณะเดียวกันนี้ คำอื่นๆ ที่ใช้กับไวรัสในทางชีววิทยายังขยายขอบข่ายของความหมายครอบคลุมถึงไวรัสในทางคอมพิวเตอร์ เช่น การติดไวรัส (infection) แฟ้มข้อมูลที่ติดไวรัสนี้จะเรียกว่า โฮสต์ (host) ไวรัสนั้นเป็นประเภทหนึ่งของโปรแกรมประเภทมัลแวร์ (malware) หรือโปรแกรมที่มีประสงค์ร้าย ในความหมายที่ใช้กันทั่วไปนั้น ไวรัสยังใช้หมายรวมถึง เวิร์ม (worm) ซึ่งก็เป็นโปรแกรมอีกรูปแบบหนึ่งของมัลแวร์ ซึ่งบางครั้งก็ทำให้ผู้ใช้คอมพิวเตอร์นั้นสับสนเมื่อคำไวรัสนั้นใช้ในความหมายที่เฉพาะเจาะจง คอมพิวเตอร์ไวรัสนั้นโดยทั่วไปจะไม่ส่งผลก่อให้เกิดความเสียหายต่อฮาร์ดแวร์โดยตรง แต่จะทำความเสียหายต่อซอฟต์แวร์
โปรแกรมป้องกันไวรัส
โปรแกรมป้องกันไวรัส หรือ แอนติไวรัส (อังกฤษ: antivirus software) เป็นโปรแกรมที่สร้างขึ้นเพื่อคอยตรวจจับ ป้องกัน และกำจัดโปรแกรมคุกคามทางคอมพิวเตอ ร์หรือมัลแวร์ ซึ่งหมายถึง ไวรัส เวิร์ม โทรจันสปายแวร์ แอดแวร์ และซอฟต์แวร์คุกคามประเภทอื่นๆ
โปรแกรมป้องกันไวรัสมี 2 แบบหลักๆ คือ
1. แอนติไวรัส (Anti-Virus) เป็นโปรแกรมโปรแกรมป้องกันไวรัสทั่วๆไป จะค้นหาและทำลายไวรัสในคอมพิวเตอร์ของเรา
2. แอนติสปายแวร์ (Anti-Spyware) เป็นโปรแกรมป้องกันการโจรกรรมข้อมูล จากไวรัสสปายแวร์ และจากแฮ็กเกอร์ รวมถึงการกำจัด Adsware ซึ่งเป็นป๊อปอัพโฆษณาอีกด้วย
โปรแกรมป้องกันไวรัสจะค้นหาและทำลายไวรัสที่ไฟล์โดยตรง แต่ในทุกๆวันจะมีไวรัสชนิดใหม่เกิดขึ้นมาเสมอ ทำให้เราต้องอัปเดตโปรแกรมป้องกันไวรัสตลอดเวลาเพื่อให้คอมพิวเตอร์ของเราปลอดภัย โดยแอนติไวรัสจะมีหลายรูปแบบตามบริษัทกันไปและแต่ละบริษัทจะมีการอัปเดตและการป้องกันไม่เหมือนกัน แต่ในคอมพิวเตอร์เครื่องเดียวไม่ควรมีแอนติไวรัส 2 โปรแกรมเพราะจะทำให้โปรแกรมขัดแย้งกันเองจนไม่สามารถใช้งานได้
จรรยาบรรณในการใช้คอมพิวเตอร์
จริยธรรม (Ethics) เป็นเรื่องของการกำหนดความถูกต้องดีงามสิ่งที่ไม่ควรทำมีหลักปฏิบัติในระดับที่สูงกว่ามารยาทในสังคมเช่นคนที่ไม่ยอมเข้าแถวเพื่อขอรับบริการตามสิทธิ์ก่อนหลังอาจถือว่าไม่มีมารยาทหรือพนักงานคอมพิวเตอร์คนหนึ่งเอาข้อมูลทางการเงินของลูกค้าที่เขาจะต้องเห็นตามหน้าที่การงานไปหาผลประโยชน์แก่ตนเองเช่นขายรายชื่อนั้นให้ธุรกิจอื่นหรือบอกให้แก่คู่สมรสซึ่งเป็นพนักงานขายตรงไปเสนอขายสินค้าการกระทำเช่นนี้ถือว่าไม่ถูกต้องไม่มีจริยธรรมจริงอยู่แม้ว่าบริษัทที่พนักงานผู้นั้นทำงานอยู่จะไม่เสียหายแต่การนำเอาของบริษัทไปใช้เพื่อประโยชน์ส่วนตัวก็เป็นสิ่งที่ไม่อาจทำได้อย่างเปิดเผยหรือพนักงานขายสินค้าของทางบริการหนึ่งซึ่งลาออกจากบริษัทเพื่อไปทำงานกับบริษัทคู่แข่งแล้วใช้ประโยชน์จากความรู้ ในเรื่องข้อมูลราคาหรือความลับทางการค้าของบริษัทแรกไปให้บริษัทหลังก็อาจเรียกได้ว่าพนักงานคนนั้นไม่มีจริยธรรมเมื่อสังคมสลับซับซ้อนขึ้นมีการแบ่งหน้าที่กันออกเป็นหน้าที่ต่างๆจึงมีข้อกำหนดที่เรียกว่า“จรรยาวิชาชีพ

Unknown กล่าวว่า...

ไวรัสคอมพิวเตอร์
ที่บุกรุกเข้าไปในเครื่องคอมพิวเตอร์โดยไม่ได้รับความยินยอมจากผู้ใช้ ส่วนมากมักจะมีประสงค์ร้ายและสร้างความเสียหายให้กับระบบของเครื่องคอมพิวเตอร์นั้นๆในเชิงเทคโนโลยีความมั่นคงของระบบคอมพิวเตอร์นั้น ไวรัสเป็นโปรแกรมคอมพิวเตอร์ที่สามารถทำสำเนาของตัวเอง เพื่อแพร่ออกไปโดยการสอดแทรกตัวสำเนาไปในรหัสคอมพิวเตอร์ส่วนของข้อมูลเอกสารหรือส่วนที่สามารถปฏิบัติการได้ ดังนั้นไวรัสคอมพิวเตอร์จึงมีพฤติกรรมในลักษณะเดียวกับไวรัสในทางชีววิทยา ซึ่งสามารถแพร่กระจายไปในเซลล์ของสิ่งมีชีวิตในลักษณะเดียวกันนี้ คำอื่นๆ ที่ใช้กับไวรัสในทางชีววิทยายังขยายขอบข่ายของความหมายครอบคลุมถึงไวรัสในทางคอมพิวเตอร์ เช่น การติดไวรัส (infection) แฟ้มข้อมูลที่ติดไวรัสนี้จะเรียกว่า โฮสต์ (host) ไวรัสนั้นเป็นประเภทหนึ่งของโปรแกรมประเภทมัลแวร์ (malware) หรือโปรแกรมที่มีประสงค์ร้าย ในความหมายที่ใช้กันทั่วไปนั้น ไวรัสยังใช้หมายรวมถึง เวิร์ม (worm) ซึ่งก็เป็นโปรแกรมอีกรูปแบบหนึ่งของมัลแวร์ ซึ่งบางครั้งก็ทำให้ผู้ใช้คอมพิวเตอร์นั้นสับสนเมื่อคำไวรัสนั้นใช้ในความหมายที่เฉพาะเจาะจง คอมพิวเตอร์ไวรัสนั้นโดยทั่วไปจะไม่ส่งผลก่อให้เกิดความเสียหายต่อฮาร์ดแวร์โดยตรง แต่จะทำความเสียหายต่อซอฟต์แวร์
โปรแกรมป้องกันไวรัส
โปรแกรมป้องกันไวรัส หรือ แอนติไวรัส (อังกฤษ: antivirus software) เป็นโปรแกรมที่สร้างขึ้นเพื่อคอยตรวจจับ ป้องกัน และกำจัดโปรแกรมคุกคามทางคอมพิวเตอ ร์หรือมัลแวร์ ซึ่งหมายถึง ไวรัส เวิร์ม โทรจันสปายแวร์ แอดแวร์ และซอฟต์แวร์คุกคามประเภทอื่นๆ
โปรแกรมป้องกันไวรัสมี 2 แบบหลักๆ คือ
1. แอนติไวรัส (Anti-Virus) เป็นโปรแกรมโปรแกรมป้องกันไวรัสทั่วๆไป จะค้นหาและทำลายไวรัสในคอมพิวเตอร์ของเรา
2. แอนติสปายแวร์ (Anti-Spyware) เป็นโปรแกรมป้องกันการโจรกรรมข้อมูล จากไวรัสสปายแวร์ และจากแฮ็กเกอร์ รวมถึงการกำจัด Adsware ซึ่งเป็นป๊อปอัพโฆษณาอีกด้วย
โปรแกรมป้องกันไวรัสจะค้นหาและทำลายไวรัสที่ไฟล์โดยตรง แต่ในทุกๆวันจะมีไวรัสชนิดใหม่เกิดขึ้นมาเสมอ ทำให้เราต้องอัปเดตโปรแกรมป้องกันไวรัสตลอดเวลาเพื่อให้คอมพิวเตอร์ของเราปลอดภัย โดยแอนติไวรัสจะมีหลายรูปแบบตามบริษัทกันไปและแต่ละบริษัทจะมีการอัปเดตและการป้องกันไม่เหมือนกัน แต่ในคอมพิวเตอร์เครื่องเดียวไม่ควรมีแอนติไวรัส 2 โปรแกรมเพราะจะทำให้โปรแกรมขัดแย้งกันเองจนไม่สามารถใช้งานได้
จรรยาบรรณในการใช้คอมพิวเตอร์
จริยธรรม (Ethics) เป็นเรื่องของการกำหนดความถูกต้องดีงามสิ่งที่ไม่ควรทำมีหลักปฏิบัติในระดับที่สูงกว่ามารยาทในสังคมเช่นคนที่ไม่ยอมเข้าแถวเพื่อขอรับบริการตามสิทธิ์ก่อนหลังอาจถือว่าไม่มีมารยาทหรือพนักงานคอมพิวเตอร์คนหนึ่งเอาข้อมูลทางการเงินของลูกค้าที่เขาจะต้องเห็นตามหน้าที่การงานไปหาผลประโยชน์แก่ตนเองเช่นขายรายชื่อนั้นให้ธุรกิจอื่นหรือบอกให้แก่คู่สมรสซึ่งเป็นพนักงานขายตรงไปเสนอขายสินค้าการกระทำเช่นนี้ถือว่าไม่ถูกต้องไม่มีจริยธรรมจริงอยู่แม้ว่าบริษัทที่พนักงานผู้นั้นทำงานอยู่จะไม่เสียหายแต่การนำเอาของบริษัทไปใช้เพื่อประโยชน์ส่วนตัวก็เป็นสิ่งที่ไม่อาจทำได้อย่างเปิดเผยหรือพนักงานขายสินค้าของทางบริการหนึ่งซึ่งลาออกจากบริษัทเพื่อไปทำงานกับบริษัทคู่แข่งแล้วใช้ประโยชน์จากความรู้ ในเรื่องข้อมูลราคาหรือความลับทางการค้าของบริษัทแรกไปให้บริษัทหลังก็อาจเรียกได้ว่าพนักงานคนนั้นไม่มีจริยธรรมเมื่อสังคมสลับซับซ้อนขึ้นมีการแบ่งหน้าที่กันออกเป็นหน้าที่ต่างๆจึงมีข้อกำหนดที่เรียกว่า“จรรยาวิชาชีพ

Unknown กล่าวว่า...

ไวรัสคอมพิวเตอร์
ที่บุกรุกเข้าไปในเครื่องคอมพิวเตอร์โดยไม่ได้รับความยินยอมจากผู้ใช้ ส่วนมากมักจะมีประสงค์ร้ายและสร้างความเสียหายให้กับระบบของเครื่องคอมพิวเตอร์นั้นๆในเชิงเทคโนโลยีความมั่นคงของระบบคอมพิวเตอร์นั้น ไวรัสเป็นโปรแกรมคอมพิวเตอร์ที่สามารถทำสำเนาของตัวเอง เพื่อแพร่ออกไปโดยการสอดแทรกตัวสำเนาไปในรหัสคอมพิวเตอร์ส่วนของข้อมูลเอกสารหรือส่วนที่สามารถปฏิบัติการได้ ดังนั้นไวรัสคอมพิวเตอร์จึงมีพฤติกรรมในลักษณะเดียวกับไวรัสในทางชีววิทยา ซึ่งสามารถแพร่กระจายไปในเซลล์ของสิ่งมีชีวิตในลักษณะเดียวกันนี้ คำอื่นๆ ที่ใช้กับไวรัสในทางชีววิทยายังขยายขอบข่ายของความหมายครอบคลุมถึงไวรัสในทางคอมพิวเตอร์ เช่น การติดไวรัส (infection) แฟ้มข้อมูลที่ติดไวรัสนี้จะเรียกว่า โฮสต์ (host) ไวรัสนั้นเป็นประเภทหนึ่งของโปรแกรมประเภทมัลแวร์ (malware) หรือโปรแกรมที่มีประสงค์ร้าย ในความหมายที่ใช้กันทั่วไปนั้น ไวรัสยังใช้หมายรวมถึง เวิร์ม (worm) ซึ่งก็เป็นโปรแกรมอีกรูปแบบหนึ่งของมัลแวร์ ซึ่งบางครั้งก็ทำให้ผู้ใช้คอมพิวเตอร์นั้นสับสนเมื่อคำไวรัสนั้นใช้ในความหมายที่เฉพาะเจาะจง คอมพิวเตอร์ไวรัสนั้นโดยทั่วไปจะไม่ส่งผลก่อให้เกิดความเสียหายต่อฮาร์ดแวร์โดยตรง แต่จะทำความเสียหายต่อซอฟต์แวร์
โปรแกรมป้องกันไวรัส
โปรแกรมป้องกันไวรัส หรือ แอนติไวรัส (อังกฤษ: antivirus software) เป็นโปรแกรมที่สร้างขึ้นเพื่อคอยตรวจจับ ป้องกัน และกำจัดโปรแกรมคุกคามทางคอมพิวเตอ ร์หรือมัลแวร์ ซึ่งหมายถึง ไวรัส เวิร์ม โทรจันสปายแวร์ แอดแวร์ และซอฟต์แวร์คุกคามประเภทอื่นๆ
โปรแกรมป้องกันไวรัสมี 2 แบบหลักๆ คือ
1. แอนติไวรัส (Anti-Virus) เป็นโปรแกรมโปรแกรมป้องกันไวรัสทั่วๆไป จะค้นหาและทำลายไวรัสในคอมพิวเตอร์ของเรา
2. แอนติสปายแวร์ (Anti-Spyware) เป็นโปรแกรมป้องกันการโจรกรรมข้อมูล จากไวรัสสปายแวร์ และจากแฮ็กเกอร์ รวมถึงการกำจัด Adsware ซึ่งเป็นป๊อปอัพโฆษณาอีกด้วย
โปรแกรมป้องกันไวรัสจะค้นหาและทำลายไวรัสที่ไฟล์โดยตรง แต่ในทุกๆวันจะมีไวรัสชนิดใหม่เกิดขึ้นมาเสมอ ทำให้เราต้องอัปเดตโปรแกรมป้องกันไวรัสตลอดเวลาเพื่อให้คอมพิวเตอร์ของเราปลอดภัย โดยแอนติไวรัสจะมีหลายรูปแบบตามบริษัทกันไปและแต่ละบริษัทจะมีการอัปเดตและการป้องกันไม่เหมือนกัน แต่ในคอมพิวเตอร์เครื่องเดียวไม่ควรมีแอนติไวรัส 2 โปรแกรมเพราะจะทำให้โปรแกรมขัดแย้งกันเองจนไม่สามารถใช้งานได้
จรรยาบรรณในการใช้คอมพิวเตอร์
จริยธรรม (Ethics) เป็นเรื่องของการกำหนดความถูกต้องดีงามสิ่งที่ไม่ควรทำมีหลักปฏิบัติในระดับที่สูงกว่ามารยาทในสังคมเช่นคนที่ไม่ยอมเข้าแถวเพื่อขอรับบริการตามสิทธิ์ก่อนหลังอาจถือว่าไม่มีมารยาทหรือพนักงานคอมพิวเตอร์คนหนึ่งเอาข้อมูลทางการเงินของลูกค้าที่เขาจะต้องเห็นตามหน้าที่การงานไปหาผลประโยชน์แก่ตนเองเช่นขายรายชื่อนั้นให้ธุรกิจอื่นหรือบอกให้แก่คู่สมรสซึ่งเป็นพนักงานขายตรงไปเสนอขายสินค้าการกระทำเช่นนี้ถือว่าไม่ถูกต้องไม่มีจริยธรรมจริงอยู่แม้ว่าบริษัทที่พนักงานผู้นั้นทำงานอยู่จะไม่เสียหายแต่การนำเอาของบริษัทไปใช้เพื่อประโยชน์ส่วนตัวก็เป็นสิ่งที่ไม่อาจทำได้อย่างเปิดเผยหรือพนักงานขายสินค้าของทางบริการหนึ่งซึ่งลาออกจากบริษัทเพื่อไปทำงานกับบริษัทคู่แข่งแล้วใช้ประโยชน์จากความรู้ ในเรื่องข้อมูลราคาหรือความลับทางการค้าของบริษัทแรกไปให้บริษัทหลังก็อาจเรียกได้ว่าพนักงานคนนั้นไม่มีจริยธรรมเมื่อสังคมสลับซับซ้อนขึ้นมีการแบ่งหน้าที่กันออกเป็นหน้าที่ต่างๆจึงมีข้อกำหนดที่เรียกว่า“จรรยาวิชาชีพ

Unknown กล่าวว่า...

ไวรัสคอมพิวเตอร์
ที่บุกรุกเข้าไปในเครื่องคอมพิวเตอร์โดยไม่ได้รับความยินยอมจากผู้ใช้ ส่วนมากมักจะมีประสงค์ร้ายและสร้างความเสียหายให้กับระบบของเครื่องคอมพิวเตอร์นั้นๆในเชิงเทคโนโลยีความมั่นคงของระบบคอมพิวเตอร์นั้น ไวรัสเป็นโปรแกรมคอมพิวเตอร์ที่สามารถทำสำเนาของตัวเอง เพื่อแพร่ออกไปโดยการสอดแทรกตัวสำเนาไปในรหัสคอมพิวเตอร์ส่วนของข้อมูลเอกสารหรือส่วนที่สามารถปฏิบัติการได้ ดังนั้นไวรัสคอมพิวเตอร์จึงมีพฤติกรรมในลักษณะเดียวกับไวรัสในทางชีววิทยา ซึ่งสามารถแพร่กระจายไปในเซลล์ของสิ่งมีชีวิตในลักษณะเดียวกันนี้ คำอื่นๆ ที่ใช้กับไวรัสในทางชีววิทยายังขยายขอบข่ายของความหมายครอบคลุมถึงไวรัสในทางคอมพิวเตอร์ เช่น การติดไวรัส (infection) แฟ้มข้อมูลที่ติดไวรัสนี้จะเรียกว่า โฮสต์ (host) ไวรัสนั้นเป็นประเภทหนึ่งของโปรแกรมประเภทมัลแวร์ (malware) หรือโปรแกรมที่มีประสงค์ร้าย ในความหมายที่ใช้กันทั่วไปนั้น ไวรัสยังใช้หมายรวมถึง เวิร์ม (worm) ซึ่งก็เป็นโปรแกรมอีกรูปแบบหนึ่งของมัลแวร์ ซึ่งบางครั้งก็ทำให้ผู้ใช้คอมพิวเตอร์นั้นสับสนเมื่อคำไวรัสนั้นใช้ในความหมายที่เฉพาะเจาะจง คอมพิวเตอร์ไวรัสนั้นโดยทั่วไปจะไม่ส่งผลก่อให้เกิดความเสียหายต่อฮาร์ดแวร์โดยตรง แต่จะทำความเสียหายต่อซอฟต์แวร์
โปรแกรมป้องกันไวรัส
โปรแกรมป้องกันไวรัส หรือ แอนติไวรัส (อังกฤษ: antivirus software) เป็นโปรแกรมที่สร้างขึ้นเพื่อคอยตรวจจับ ป้องกัน และกำจัดโปรแกรมคุกคามทางคอมพิวเตอ ร์หรือมัลแวร์ ซึ่งหมายถึง ไวรัส เวิร์ม โทรจันสปายแวร์ แอดแวร์ และซอฟต์แวร์คุกคามประเภทอื่นๆ
โปรแกรมป้องกันไวรัสมี 2 แบบหลักๆ คือ
1. แอนติไวรัส (Anti-Virus) เป็นโปรแกรมโปรแกรมป้องกันไวรัสทั่วๆไป จะค้นหาและทำลายไวรัสในคอมพิวเตอร์ของเรา
2. แอนติสปายแวร์ (Anti-Spyware) เป็นโปรแกรมป้องกันการโจรกรรมข้อมูล จากไวรัสสปายแวร์ และจากแฮ็กเกอร์ รวมถึงการกำจัด Adsware ซึ่งเป็นป๊อปอัพโฆษณาอีกด้วย
โปรแกรมป้องกันไวรัสจะค้นหาและทำลายไวรัสที่ไฟล์โดยตรง แต่ในทุกๆวันจะมีไวรัสชนิดใหม่เกิดขึ้นมาเสมอ ทำให้เราต้องอัปเดตโปรแกรมป้องกันไวรัสตลอดเวลาเพื่อให้คอมพิวเตอร์ของเราปลอดภัย โดยแอนติไวรัสจะมีหลายรูปแบบตามบริษัทกันไปและแต่ละบริษัทจะมีการอัปเดตและการป้องกันไม่เหมือนกัน แต่ในคอมพิวเตอร์เครื่องเดียวไม่ควรมีแอนติไวรัส 2 โปรแกรมเพราะจะทำให้โปรแกรมขัดแย้งกันเองจนไม่สามารถใช้งานได้
จรรยาบรรณในการใช้คอมพิวเตอร์
จริยธรรม (Ethics) เป็นเรื่องของการกำหนดความถูกต้องดีงามสิ่งที่ไม่ควรทำมีหลักปฏิบัติในระดับที่สูงกว่ามารยาทในสังคมเช่นคนที่ไม่ยอมเข้าแถวเพื่อขอรับบริการตามสิทธิ์ก่อนหลังอาจถือว่าไม่มีมารยาทหรือพนักงานคอมพิวเตอร์คนหนึ่งเอาข้อมูลทางการเงินของลูกค้าที่เขาจะต้องเห็นตามหน้าที่การงานไปหาผลประโยชน์แก่ตนเองเช่นขายรายชื่อนั้นให้ธุรกิจอื่นหรือบอกให้แก่คู่สมรสซึ่งเป็นพนักงานขายตรงไปเสนอขายสินค้าการกระทำเช่นนี้ถือว่าไม่ถูกต้องไม่มีจริยธรรมจริงอยู่แม้ว่าบริษัทที่พนักงานผู้นั้นทำงานอยู่จะไม่เสียหายแต่การนำเอาของบริษัทไปใช้เพื่อประโยชน์ส่วนตัวก็เป็นสิ่งที่ไม่อาจทำได้อย่างเปิดเผยหรือพนักงานขายสินค้าของทางบริการหนึ่งซึ่งลาออกจากบริษัทเพื่อไปทำงานกับบริษัทคู่แข่งแล้วใช้ประโยชน์จากความรู้ ในเรื่องข้อมูลราคาหรือความลับทางการค้าของบริษัทแรกไปให้บริษัทหลังก็อาจเรียกได้ว่าพนักงานคนนั้นไม่มีจริยธรรมเมื่อสังคมสลับซับซ้อนขึ้นมีการแบ่งหน้าที่กันออกเป็นหน้าที่ต่างๆจึงมีข้อกำหนดที่เรียกว่า“จรรยาวิชาชีพ

Unknown กล่าวว่า...

ไวรัสคอมพิวเตอร์
ที่บุกรุกเข้าไปในเครื่องคอมพิวเตอร์โดยไม่ได้รับความยินยอมจากผู้ใช้ ส่วนมากมักจะมีประสงค์ร้ายและสร้างความเสียหายให้กับระบบของเครื่องคอมพิวเตอร์นั้นๆในเชิงเทคโนโลยีความมั่นคงของระบบคอมพิวเตอร์นั้น ไวรัสเป็นโปรแกรมคอมพิวเตอร์ที่สามารถทำสำเนาของตัวเอง เพื่อแพร่ออกไปโดยการสอดแทรกตัวสำเนาไปในรหัสคอมพิวเตอร์ส่วนของข้อมูลเอกสารหรือส่วนที่สามารถปฏิบัติการได้ ดังนั้นไวรัสคอมพิวเตอร์จึงมีพฤติกรรมในลักษณะเดียวกับไวรัสในทางชีววิทยา ซึ่งสามารถแพร่กระจายไปในเซลล์ของสิ่งมีชีวิตในลักษณะเดียวกันนี้ คำอื่นๆ ที่ใช้กับไวรัสในทางชีววิทยายังขยายขอบข่ายของความหมายครอบคลุมถึงไวรัสในทางคอมพิวเตอร์ เช่น การติดไวรัส (infection) แฟ้มข้อมูลที่ติดไวรัสนี้จะเรียกว่า โฮสต์ (host) ไวรัสนั้นเป็นประเภทหนึ่งของโปรแกรมประเภทมัลแวร์ (malware) หรือโปรแกรมที่มีประสงค์ร้าย ในความหมายที่ใช้กันทั่วไปนั้น ไวรัสยังใช้หมายรวมถึง เวิร์ม (worm) ซึ่งก็เป็นโปรแกรมอีกรูปแบบหนึ่งของมัลแวร์ ซึ่งบางครั้งก็ทำให้ผู้ใช้คอมพิวเตอร์นั้นสับสนเมื่อคำไวรัสนั้นใช้ในความหมายที่เฉพาะเจาะจง คอมพิวเตอร์ไวรัสนั้นโดยทั่วไปจะไม่ส่งผลก่อให้เกิดความเสียหายต่อฮาร์ดแวร์โดยตรง แต่จะทำความเสียหายต่อซอฟต์แวร์
โปรแกรมป้องกันไวรัส
โปรแกรมป้องกันไวรัส หรือ แอนติไวรัส (อังกฤษ: antivirus software) เป็นโปรแกรมที่สร้างขึ้นเพื่อคอยตรวจจับ ป้องกัน และกำจัดโปรแกรมคุกคามทางคอมพิวเตอ ร์หรือมัลแวร์ ซึ่งหมายถึง ไวรัส เวิร์ม โทรจันสปายแวร์ แอดแวร์ และซอฟต์แวร์คุกคามประเภทอื่นๆ
โปรแกรมป้องกันไวรัสมี 2 แบบหลักๆ คือ
1. แอนติไวรัส (Anti-Virus) เป็นโปรแกรมโปรแกรมป้องกันไวรัสทั่วๆไป จะค้นหาและทำลายไวรัสในคอมพิวเตอร์ของเรา
2. แอนติสปายแวร์ (Anti-Spyware) เป็นโปรแกรมป้องกันการโจรกรรมข้อมูล จากไวรัสสปายแวร์ และจากแฮ็กเกอร์ รวมถึงการกำจัด Adsware ซึ่งเป็นป๊อปอัพโฆษณาอีกด้วย
โปรแกรมป้องกันไวรัสจะค้นหาและทำลายไวรัสที่ไฟล์โดยตรง แต่ในทุกๆวันจะมีไวรัสชนิดใหม่เกิดขึ้นมาเสมอ ทำให้เราต้องอัปเดตโปรแกรมป้องกันไวรัสตลอดเวลาเพื่อให้คอมพิวเตอร์ของเราปลอดภัย โดยแอนติไวรัสจะมีหลายรูปแบบตามบริษัทกันไปและแต่ละบริษัทจะมีการอัปเดตและการป้องกันไม่เหมือนกัน แต่ในคอมพิวเตอร์เครื่องเดียวไม่ควรมีแอนติไวรัส 2 โปรแกรมเพราะจะทำให้โปรแกรมขัดแย้งกันเองจนไม่สามารถใช้งานได้
จรรยาบรรณในการใช้คอมพิวเตอร์
จริยธรรม (Ethics) เป็นเรื่องของการกำหนดความถูกต้องดีงามสิ่งที่ไม่ควรทำมีหลักปฏิบัติในระดับที่สูงกว่ามารยาทในสังคมเช่นคนที่ไม่ยอมเข้าแถวเพื่อขอรับบริการตามสิทธิ์ก่อนหลังอาจถือว่าไม่มีมารยาทหรือพนักงานคอมพิวเตอร์คนหนึ่งเอาข้อมูลทางการเงินของลูกค้าที่เขาจะต้องเห็นตามหน้าที่การงานไปหาผลประโยชน์แก่ตนเองเช่นขายรายชื่อนั้นให้ธุรกิจอื่นหรือบอกให้แก่คู่สมรสซึ่งเป็นพนักงานขายตรงไปเสนอขายสินค้าการกระทำเช่นนี้ถือว่าไม่ถูกต้องไม่มีจริยธรรมจริงอยู่แม้ว่าบริษัทที่พนักงานผู้นั้นทำงานอยู่จะไม่เสียหายแต่การนำเอาของบริษัทไปใช้เพื่อประโยชน์ส่วนตัวก็เป็นสิ่งที่ไม่อาจทำได้อย่างเปิดเผยหรือพนักงานขายสินค้าของทางบริการหนึ่งซึ่งลาออกจากบริษัทเพื่อไปทำงานกับบริษัทคู่แข่งแล้วใช้ประโยชน์จากความรู้ ในเรื่องข้อมูลราคาหรือความลับทางการค้าของบริษัทแรกไปให้บริษัทหลังก็อาจเรียกได้ว่าพนักงานคนนั้นไม่มีจริยธรรมเมื่อสังคมสลับซับซ้อนขึ้นมีการแบ่งหน้าที่กันออกเป็นหน้าที่ต่างๆจึงมีข้อกำหนดที่เรียกว่า“จรรยาวิชาชีพ
นางสาวจริยา ศิลาไกร 55128030107 รปศ.บริหารรัฐกิจ

Unknown กล่าวว่า...

วรัสคอมพิวเตอร์ คือ ชื่อเรียกสำหรับโปรแกรมประเภทหนึ่งที่มีพฤติกรรมคล้ายๆ กับไวรัสที่เป็นเชื้อโรค ที่สามารถแพร่เชื้อได้และมักทำอันตรายต่อสิ่งมีชีวิตที่มันอาศัยอยู่ แต่ต่างกันตรงที่ว่าคอมพิวเตอร์ไวรัสเป็นแค่เพียงโปรแกรมเท่านั้น ไม่ใช่สิ่งมีชีวิต

การป้องกันไวรัส
1.สำรองไฟล์ข้อมูลที่สำคัญ
2.สำหรับเครื่องที่มีฮาร์ดดิสก์ อย่าเรียกดอสจากฟลอปปีดิสก์
3.ป้องกันการเขียนให้กับฟลอปปีดิสก์
4.อย่าเรียกโปรแกรมที่ติดมากับดิสก์อื่น
5.เสาะหาโปรแกรมตรวจหาไวรัสที่ใหม่และมากกว่าหนึ่งโปรแกรมจากคนละบริษัท
6.เรียกใช้โปรแกรมตรวจหาไวรัสเป็นช่วงๆ
7. เรียกใช้โปรแกรมตรวจจับไวรัสแบบเฝ้าดูทุกครั้ง
8. เลือกคัดลอกซอฟแวร์เฉพาะที่ถูกตรวจสอบแล้วในบีบีเอส
9. สำรองข้อมูลที่สำคัญของฮาร์ดิสก์ไปเก็บในฟลอปปีดิสก์
10. เตรียมฟลอปปีดิสก์ที่ไว้สำหรับให้เรียกดอสก์ขึ้นมาทำงานได้
11. เมื่อเครื่องติดไวรัส ให้พยายามหาที่มาของไวรัสนั้น

จริยธรรมในการใช้ ICT
1.ไม่ใช้คอมพิวเตอร์ทำร้ายผู้อื่น
2.ไม่รบกวนจนงานคอมพิวเตอร์ของผู้อื่น
3. ไม่แอบดูแฟ้มข้อมูลของผู้อื่น
4. ไม่ใช้คอมพิวเตอร์เพื่อลักขโมย
5.ไม่ใช้คอมพิวเตอร์เพื่อเป็นพยานเท็จ
6.ไม่ใช้หรือทำสำเนาซอฟต์แวร์ที่ตนไม่ได้ซื้อสิทธิ์
7.ไม่ใช้คอมพิวเตอร์ของผู้อื่นโดยไม่มีอำนาจหน้าที่
8. ไม่ฉวยเอาทรัพย์ทางปัญญาของผู้อื่นมาเป็นของตน
9. คิดถึงผลต่อเนื่องทางสังคมของโปรแกรมที่เขียน
10. ใช้คอมพิวเตอร์ในทางที่แสดงถึงความใคร่ครวญและเคารพจรรยาวิชาชีพของสมาชิกสมาคมเครื่องจักรกลคอมพิวเตอร์

พรบ.ว่าด้วยการกระทำความผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์
(มาตรา 5 ) แฮกเกอร์ที่เจาะเข้าระบบคอมพิวเตอร์ที่มีมาตรการป้องกันการเข้าถึง จำคุกไม่เกินหกเดือนหรือปรับไม่เกินหนึ่งหมื่นบาทหรือทั้งจำทั้งปรับ
(มาตรา 7) แฮกเกอร์ที่เจาะเข้าระบบและได้เข้าไปดูข้อมูลของผู้อื่นจำคุกไม่เกินสองปีหรือปรับไม่เกินสี่หมื่นบาทหรือทั้งจำทั้งปรับ
(มาตรา 8) ผู้ที่ชอบดักรับข้อมูลของผู้อื่นระหว่างการส่งข้อมูลในระบบคอมพิวเตอร์ จำคุกไม่เกินสามปีหรือปรับไม่เกินหกหมื่นบาทหรือทั้งจำทั้งปรับ
(มาตรา 9,10 และ 12) ผู้ที่ทำการปลอมแปลง ทำลาย แก้ไขข้อมูลคอมพิวเตอร์ของผู้อื่น หรือทำการใดๆ ที่ไประงับ ชะลอ ขัดขวาง หรือรบกวนการทำงานระบบคอมพิวเตอร์ของผู้อื่น จำคุกสูงสุดยี่สิบปี
(มาตรา 11 ) ผู้ที่ส่งอีเมล์ปกปิดหรือปลอมแปลงแหล่งที่มา เช่น สแปมเมล์ (spam mail ) ทำให้รบกวนการใช้งานระบบคอมพิวเตอร์ของผู้อื่น ปรับไม่เกินหนึ่งแสนบาท
(มาตรา 14) ผู้ที่นำเข้าข้อมูลที่ไม่เหมาะสมเข้าไปในระบบคอมพิวเตอร์ซึ่งคนอื่นสามารถเข้าไปดูข้อมูลนั้นได้ เช่นข้อมูลอันเป็นเท็จที่ส่งผลกระทบต่อความมั่นคงของประเทศ ก่อให้เกิดความตื่นตระหนกแก่ประชาชน หรือทำให้ผู้อื่นเสียหาย ข้อมูลความผิดเกี่ยวกับการก่อการร้าย ข้อมูลลามกอนาจาร หรือผู้ที่เผยแพร่หรือส่งต่อข้อมูลเหล่านี้ ไม่ว่าจะเป็นทางเครื่องคอมพิวเตอร์ พีดีเอ โทรศัพท์มือถือ หรือระบบคอมพิวเตอร์อื่นๆ จำคุกไม่เกินห้าปีหรือปรับไม่เกินหนึ่งแสนบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ
(มาตรา 16) ผู้ที่นำเข้าภาพตัดต่อ ภาพดัดแปลงด้วยวิธีการใดๆ ของบุคคลอื่นเข้าไปในระบบคอมพิวเตอร์โดยมีเจตนาให้ผู้นั้นเสียชื่อเสียง ถูกดูหมิ่น ถูกเกลียดชัง หรือได้รับความอับอาย จำคุกไม่เกินสามปี หรือปรับไม่เกินหกหมื่นบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ
(มาตรา 26) ผู้ให้บริการ เช่น อินเตอร์เน็ตคาเฟ่ ผู้ให้บริการสัญญาณอินเตอร์เน็ต กลุ่มผู้ประกอบการอีคอมเมิร์ช รวมถึงมหาวิทยาลัย ต้องเก็บข้อมูลการเข้าใช้งานระบบคอมพิวเตอร์ของผู้ใช้บริการไม่น้อยกว่าเก้าสิบวัน เพื่อใช้ติดตามผู้กระทำความผิดมาลงโทษ หากผู้ให้บริการไม่ปฏิบัติตามนี้ ปรับสูงสุดถึงห้าแสนบาท


นางสาวจันทิรา จุกหอม สาขาภาษาไทย คบ. 5/2 หมู่ 1 55191010108

นางสาวโสภา พราวแดง คบ.คหกรรมศาสตร์ หมู่ 2 55191600227 กล่าวว่า...

ไวรัสคอมพิวเตอร์

ไวรัส คือโปรแกรมชนิดหนึ่งที่มีความสามารถในการสำเนาตัวเองเข้าไปติดอยู่ในระบบคอมพิวเตอร์ได้และถ้ามีโอกาสก็สามารถแทรกเข้าไประบาดในระบบคอมพิวเตอร์อื่น ๆ ซึ่งอาจเกิดจากการนำเอาดิสก์ที่ติดไวรัสจากเครื่องหนึ่งไปใช้อีกเครื่องหนึ่ง หรืออาจผ่านระบบเครือข่ายหรือระบบสื่อสารข้อมูลไวรัสก็อาจแพร่ระบาดได้เช่นกัน
การที่คอมพิวเตอร์ใดติดไวรัส หมายถึงว่าไวรัสได้เข้าไปผังตัวอยู่ในหน่วยความจำ คอมพิวเตอร์ เรียบร้อยแล้ว เนื่องจากไวรัสก็เป็นแค่โปรแกรม ๆ หนึ่งการที่ไวรัสจะเข้าไปอยู่ ในหน่วยความจำได้นั้นจะต้องมีการถูกเรียกให้ทำงานได้นั้นยังขึ้นอยู่กับประเภทของไวรัส แต่ละตัวปกติผู้ใช้มักจะไม่รู้ตัวว่าได้ทำการปลุกคอมพิวเตอร์ไวรัสขึ้นมาทำงานแล้ว

การป้องกัน
1. ใช้โปรแกรมป้องกันไวรัส
2. ใช้โปรแกรมป้องกันไวรัสที่เหมาะกับตัวเอง
3. ติดตั้งโปรแกรมป้องกันไวรัสให้เป็น
4.อัพเดตฐานข้อมูลไวรัส (Definition) อยู่เสมอ
5. เปลี่ยนเวอร์ชันใหม่ทันทีที่มีโอกาส
6. อย่ารับไฟล์แปลกหน้า และติดตามข่าวสารอยู่เสมอ
7. ติดไวรัสแล้วอย่ากลัว

จรรยาบรรณการใช้ ICT
จรรยาบรรณการใช้ ICT 10 ประการของผู้ใช้คอมพิวเตอร์
1. ไม่ใช้คอมพิวเตอร์ทำร้ายผู้อื่น
2. ไม่รบกวนจนงานคอมพิวเตอร์ของผู้อื่น
3. ไม่แอบดูแฟ้มข้อมูลของผู้อื่น
4. ไม่ใช้คอมพิวเตอร์เพื่อลักขโมย
5. ไม่ใช้คอมพิวเตอร์เพื่อเป็นพยานเท็จ
6. ไม่ใช้หรือทำสำเนาซอฟต์แวร์ที่ตนไม่ได้ซื้อสิทธิ์
7. ไม่ใช้คอมพิวเตอร์ของผู้อื่นโดยไม่มีอำนาจหน้าที่
8. ไม่ฉวยเอาทรัพย์ทางปัญญาของผู้อื่นมาเป็นของตน
9. คิดถึงผลต่อเนื่องทางสังคมของโปรแกรมที่เขียน
10. ใช้คอมพิวเตอร์ในทางที่แสดงถึงความใคร่ครวญและเคารพจรรยาวิชาชีพของสมาชิกสมาคมเครื่องจักรกลคอมพิวเตอร์
พรบ.ว่าด้วยการกระทำความผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์
มาตรา ๑ พระราชบัญญัตินี้เรียกว่า “พระราชบัญญัติว่าด้วยการกระทำความผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ พ.ศ. ๒๕๕๐”
มาตรา ๒ พระราชบัญญัตินี้ให้ใช้บังคับเมื่อพ้นกำหนดสามสิบวันนับแต่วันประกาศในราชกิจจานุเบกษาเป็นต้นไป

มาตรา ๓ ในพระราชบัญญัตินี้
“ระบบคอมพิวเตอร์”หมายความว่า อุปกรณ์หรือชุดอุปกรณ์ของคอมพิวเตอร์ที่เชื่อมการทำงานเข้าด้วยกัน โดยได้มีการกำหนดคำสั่ง ชุดคำสั่ง หรือสิ่งอื่นใด และแนวทางปฏิบัติงานให้อุปกรณ์หรือชุดอุปกรณ์ทำหน้าที่ประมวลผลข้อมูลโดยอัตโนมัติ
“ข้อมูลคอมพิวเตอร์”หมายความว่า ข้อมูล ข้อความ คำสั่ง ชุดคำสั่ง หรือสิ่งอื่นใดบรรดาที่อยู่ในระบบคอมพิวเตอร์ในสภาพที่ระบบคอมพิวเตอร์อาจประมวลผลได้
“ข้อมูลจราจรทางคอมพิวเตอร์”หมายความว่า ข้อมูลเกี่ยวกับการติดต่อสื่อสารของระบบคอมพิวเตอร์ ซึ่งแสดงถึงแหล่งกำเนิด ต้นทาง ปลายทาง เส้นทาง เวลา วันที่ ปริมาณ ระยะเวลาชนิดของบริการ หรืออื่นๆ
“ผู้ให้บริการ”หมายความว่า
- ผู้ให้บริการแก่บุคคลอื่นในการเข้าสู่อินเทอร์เน็ต หรือให้สามารถติดต่อถึงกันโดยประการอื่น
- ผู้ให้บริการเก็บรักษาข้อมูลคอมพิวเตอร์เพื่อประโยชน์ของบุคคลอื่น
“ผู้ใช้บริการ”หมายความว่า ผู้ใช้บริการของผู้ให้บริการไม่ว่าต้องเสียค่าใช้บริการหรือไม่ก็ตาม
“พนักงานเจ้าหน้าที่”หมายความว่า ผู้ซึ่งรัฐมนตรีแต่งตั้งให้ปฏิบัติการตามพระราชบัญญัตินี้
“รัฐมนตรี”หมายความว่า รัฐมนตรีผู้รักษาการตามพระราชบัญญัตินี้
มาตรา ๔ ให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารรักษาการตามพระราชบัญญัตินี้ และให้มีอำนาจออกกฎกระทรวงเพื่อปฏิบัติการตามพระราชบัญญัตินี้กฎกระทรวงนั้น เมื่อได้ประกาศในราชกิจจานุเบกษาแล้วให้ใช้บังคับได้


Unknown กล่าวว่า...

ไวรัสคอมพิวเตอร์ (computer virus) ที่เป็นสิ่งมีชีวิต แต่เป็นคำเรียกแบบย่อของ โปรแกรมคอมพิวเตอร์ ที่มีชุดคำสั่งระบบปฏิบัติการใดๆก็ตามเท่าที่โปรแกรมถูกเขียนขึ้นมาเพื่อการใดการหนึ่งทางการทำงานตามผู้เขียนโปรแกรมนั้นขึ้นมา
ประเภทของไวรัสคอมพิวเตอร์
- บูตเซกเตอร์ไวรัส
- ไฟล์ไวรัส
- หนอน
การป้องกันไวรัสคอมพิวเตอร์
1. ใช้โปรแกรมป้องกันไวรัส
2. ใช้โปรแกรมป้องกันไวรัสที่เหมาะกับตัวเอง
3. ติดตั้งโปรแกรมป้องกันไวรัสให้เป็น
4. อัพเดตฐานข้อมูลไวรัส (Definition) อยู่เสมอ
5. เปลี่ยนเวอร์ชันใหม่ทันทีที่มีโ
6. อย่ารับไฟล์แปลกหน้า และติดตามข่าวสารอยู่เสมอ
7. ติดไวรัสแล้วอย่ากลัว
จรรยาบรรณการใช้คอมพิวเตอร์
1. ไม่ใช้คอมพิวเตอร์ทำร้ายผู้อื่น
2. ไม่รบกวนจนงานคอมพิวเตอร์ของผู้อื่น
3. ไม่แอบดูแฟ้มข้อมูลของผู้อื่น
4. ไม่ใช้คอมพิวเตอร์เพื่อลักขโมย
5. ไม่ใช้คอมพิวเตอร์เพื่อเป็นพยานเท็จ
6. ไม่ใช้หรือทำสำเนาซอฟต์แวร์ที่ตนไม่ได้ซื้อสิทธิ์
7. ไม่ใช้คอมพิวเตอร์ของผู้อื่นโดยไม่มีอำนาจหน้าที่
8. ไม่ฉวยเอาทรัพย์ทางปัญญาของผู้อื่นมาเป็นของตน
9. คิดถึงผลต่อเนื่องทางสังคมของโปรแกรมที่เขียน
10. ใช้คอมพิวเตอร์ในทางที่แสดงถึงความใคร่ครวญและเคารพจรรยาวิชาชีพของสมาชิกสมาคมเครื่องจักรกลคอมพิวเตอร์
พรบ.ว่าด้วยการกระทำความผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ พ.ศ.2550
สรุปมาตราที่ควรทราบ

(มาตรา 5 ) แฮกเกอร์ที่เจาะเข้าระบบคอมพิวเตอร์ที่มีมาตรการป้องกันการเข้าถึง จำคุกไม่เกินหกเดือนหรือปรับไม่เกินหนึ่งหมื่นบาทหรือทั้งจำทั้งปรับ
(มาตรา 7) แฮกเกอร์ที่เจาะเข้าระบบและได้เข้าไปดูข้อมูลของผู้อื่นจำคุกไม่เกินสองปีหรือปรับไม่เกินสี่หมื่นบาทหรือทั้งจำทั้งปรับ
(มาตรา 8) ผู้ที่ชอบดักรับข้อมูลของผู้อื่นระหว่างการส่งข้อมูลในระบบคอมพิวเตอร์ จำคุกไม่เกินสามปีหรือปรับไม่เกินหกหมื่นบาทหรือทั้งจำทั้งปรับ
(มาตรา 9,10 และ 12) ผู้ที่ทำการปลอมแปลง ทำลาย แก้ไขข้อมูลคอมพิวเตอร์ของผู้อื่น หรือทำการใดๆ ที่ไประงับ ชะลอ ขัดขวาง หรือรบกวนการทำงานระบบคอมพิวเตอร์ของผู้อื่น จำคุกสูงสุดยี่สิบปี
(มาตรา 11 ) ผู้ที่ส่งอีเมล์ปกปิดหรือปลอมแปลงแหล่งที่มา เช่น สแปมเมล์ (spam mail ) ทำให้รบกวนการใช้งานระบบคอมพิวเตอร์ของผู้อื่น ปรับไม่เกินหนึ่งแสนบาท
(มาตรา 14) ผู้ที่นำเข้าข้อมูลที่ไม่เหมาะสมเข้าไปในระบบคอมพิวเตอร์ซึ่งคนอื่นสามารถเข้าไปดูข้อมูลนั้นได้ เช่นข้อมูลอันเป็นเท็จที่ส่งผลกระทบต่อความมั่นคงของประเทศ ก่อให้เกิดความตื่นตระหนกแก่ประชาชน หรือทำให้ผู้อื่นเสียหาย ข้อมูลความผิดเกี่ยวกับการก่อการร้าย ข้อมูลลามกอนาจาร หรือผู้ที่เผยแพร่หรือส่งต่อข้อมูลเหล่านี้ ไม่ว่าจะเป็นทางเครื่องคอมพิวเตอร์ พีดีเอ โทรศัพท์มือถือ หรือระบบคอมพิวเตอร์อื่นๆ จำคุกไม่เกินห้าปีหรือปรับไม่เกินหนึ่งแสนบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ
(มาตรา 16) ผู้ที่นำเข้าภาพตัดต่อ ภาพดัดแปลงด้วยวิธีการใดๆ ของบุคคลอื่นเข้าไปในระบบคอมพิวเตอร์โดยมีเจตนาให้ผู้นั้นเสียชื่อเสียง ถูกดูหมิ่น ถูกเกลียดชัง หรือได้รับความอับอาย จำคุกไม่เกินสามปี หรือปรับไม่เกินหกหมื่นบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ
(มาตรา 26) ผู้ให้บริการ เช่น อินเตอร์เน็ตคาเฟ่ ผู้ให้บริการสัญญาณอินเตอร์เน็ต กลุ่มผู้ประกอบการอีคอมเมิร์ช รวมถึงมหาวิทยาลัย ต้องเก็บข้อมูลการเข้าใช้งานระบบคอมพิวเตอร์ของผู้ใช้บริการไม่น้อยกว่าเก้าสิบวัน เพื่อใช้ติดตามผู้กระทำความผิดมาลงโทษ หากผู้ให้บริการไม่ปฏิบัติตามนี้ ปรับสูงสุดถึงห้าแสนบาท
นางสาวเจนจิรา พอกพูน ค.บ.ฟิสิกส์ 5/1 56191430101

Unknown กล่าวว่า...

พรบ.ว่าด้วยการกระทำผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์
มาตรา ๑ พระราชบัญญัตินี้เรียกว่า “พระราชบัญญัติว่าด้วยการกระทำความผิดเกี่ยวกับ
คอมพิวเตอร์ พ.ศ. ๒๕๕๐”
มาตรา ๒ พระราชบัญญัตินี้ให้ใช้บังคับเมื่อพ้นกำหนดสามสิบวันนับแต่วันประกาศ
ในราชกิจจานุเบกษาเป็นต้นไป
มาตรา ๓ ในพระราชบัญญัตินี้
“ระบบคอมพิวเตอร์” หมายความว่า อุปกรณ์หรือชุดอุปกรณ์ของคอมพิวเตอร์ที่เชื่อมการทำงาน
เข้าด้วยกัน โดยได้มีการกำหนดคำสั่ง ชุดคำสั่ง หรือสิ่งอื่นใด
“ข้อมูลคอมพิวเตอร์” หมายความว่า ข้อมูล ข้อความ คำสั่ง ชุดคำสั่ง หรือสิ่งอื่นใดบรรดา
ที่อยู่ในระบบคอมพิวเตอร์
“ข้อมูลจราจรทางคอมพิวเตอร์” หมายความว่า ข้อมูลเกี่ยวกับการติดต่อสื่อสารของระบบ
คอมพิวเตอร์
“ผู้ให้บริการ” หมายความว่า
(๑) ผู้ให้บริการแก่บุคคลอื่นในการเข้าสู่อินเทอร์เน็ต
(๒) ผู้ให้บริการเก็บรักษาข้อมูลคอมพิวเตอร์เพื่อประโยชน์ของบุคคลอื่น
“ผู้ใช้บริการ” หมายความว่า ผู้ใช้บริการของผู้ให้บริการไม่ว่าต้องเสียค่าใช้บริการ
“พนักงานเจ้าหน้าที่” หมายความว่า ผู้ซึ่งรัฐมนตรีแต่งตั้งให้ปฏิบัติการตามพระราชบัญญัตินี้
“รัฐมนตรี” หมายความว่า รัฐมนตรีผู้รักษาการตามพระราชบัญญัตินี้
มาตรา ๔ ให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารรักษาการตาม
พระราชบัญญัตินี้ และให้มีอำนาจออกกฎกระทรวง
มาตรา ๕ ผู้ใดเข้าถึงโดยมิชอบซึ่งระบบคอมพิวเตอร์ที่มีมาตรการป้องกันการเข้าถึง
ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินหกเดือน หรือปรับไม่เกิน
หนึ่งหมื่นบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ
มาตรา ๖ ผู้ใดล่วงรู้มาตรการป้องกันการเข้าถึงระบบคอมพิวเตอร์ที่ผู้อื่นจัดทำขึ้นต้องระวางโทษจำคุก
ไม่เกินหนึ่งปี หรือปรับไม่เกินสองหมื่นบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ
มาตรา ๗ ผู้ใดเข้าถึงโดยมิชอบซึ่งต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินสองปีหรือปรับไม่เกินสี่หมื่นบาท
หรือทั้งจำทั้งปรับ
มาตรา ๘ ผู้ใดกระทำด้วยประการใดโดยมิชอบด้วยวิธีการทางอิเล็กทรอนิกส์ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินสามปี หรือปรับไม่เกินหกหมื่นบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ
มาตรา ๙ ผู้ใดทำให้เสียหาย ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินห้าปี หรือปรับไม่เกินหนึ่งแสนบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ
มาตรา ๑๐ ผู้ใดกระทำผิด เพื่อให้การทำงานของระบบคอมพิวเตอร์
ของผู้อื่นถูกระงับ ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินห้าปี หรือปรับไม่เกินหนึ่งแสนบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ
มาตรา ๑๑ ผู้ใดส่งข้อมูลคอมพิวเตอร์โดยปกปิดแหล่งที่มา ต้องระวางโทษปรับไม่เกินหนึ่งแสนบาท
มาตรา ๑๒ ถ้าการกระทำความผิดตามมาตรา ๙ หรือมาตรา ๑๐
มาตรา ๑๓ ผู้ใดจำหน่ายชุดคำสั่งที่จัดทำขึ้นในการกระทำความผิดตามมาตรา ๕ มาตรา ๖ มาตรา ๗ มาตรา ๘ มาตรา ๙ มาตรา ๑๐ หรือมาตรา ๑๑ ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินหนึ่งปี หรือปรับไม่เกินสองหมื่นบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ
มาตรา ๑๔ ผู้ใดกระทำความผิดที่ระบุไว้ดังต่อไปนี้ ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินห้าปี หรือ
ปรับไม่เกินหนึ่งแสนบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ
มาตรา ๑๕ ผู้ให้บริการผู้ใดจงใจสนับสนุนให้มีการกระทำความผิดตามมาตรา ๑๔
มาตรา ๑๖ ผู้ใดนำเข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์ที่ประชาชนทั่วไปเข้าถึงที่เป็นภาพของผู้อื่น ทำให้ได้รับความอับอาย ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินสามปี หรือปรับไม่เกินหกหมื่นบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ
มาตรา ๑๗ ผู้ใดกระทำความผิดตามพระราชบัญญัตินี้นอกราชอาณาจักร
มาตรา ๑๘ ภายใต้บังคับมาตรา ๑๙ เพื่อประโยชน์ในการสืบสวนและสอบสวน
มาตรา ๑๙ การใช้อำนาจของพนักงานเจ้าหน้าที่ตามมาตรา ๑๘ (๔) (๕) (๖) (๗) และ
(๘)
มาตรา ๒๐ ในกรณีที่การกระทำความผิดตามพระราชบัญญัตินี้เป็นการทำให้แพร่หลาย
มาตรา ๒๑ ในกรณีที่พนักงานเจ้าหน้าที่พบว่า ข้อมูลคอมพิวเตอร์ใดมีชุดคำสั่งไม่พึง
ประสงค์ ให้ยื่นคำร้องต่อศาลที่มีเขตอำนาจเพื่อขอให้มีคำสั่งห้ามเผยแพร่
มาตรา ๒๒ ห้ามมิให้พนักงานเจ้าหน้าที่เปิดเผยหรือส่งมอบข้อมูลคอมพิวเตอร์
มาตรา ๒๓ พนักงานเจ้าหน้าที่ผู้ใดกระทำโดยประมาท ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินหนึ่งปี หรือปรับไม่เกินสองหมื่นบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ
มาตรา ๒๔ ผู้ใดล่วงรู้ข้อมูลคอมพิวเตอร์ เปิดเผยข้อมูลนั้น ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินสองปี หรือปรับไม่เกินสี่หมื่นบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ
มาตรา ๒๕ ข้อมูล ข้อมูลคอมพิวเตอร์ หรือให้อ้างและรับฟังเป็นพยานหลักฐานมาตรา ๒๖ ผู้ให้บริการต้องเก็บรักษาข้อมูลจราจรทางคอมพิวเตอร์ไว้ไม่น้อยกว่าเก้าสิบวัน
มาตรา ๒๗ ผู้ใดไม่ปฏิบัติตามคำสั่งของศาลหรือพนักงานเจ้าหน้าที่ ต้องระวางโทษปรับไม่เกินสองแสนบาท

มาตรา ๒๘ การแต่งตั้งพนักงานเจ้าหน้าที่ตามพระราชบัญญัตินี้ ให้รัฐมนตรีแต่งตั้งจากผู้มีความรู้
และความชำนาญ
มาตรา ๒๙ ในการปฏิบัติหน้าที่ตามพระราชบัญญัตินี้ ให้พนักงานเจ้าหน้าที่เป็นพนักงาน
ฝ่ายปกครองหรือตำรวจชั้นผู้ใหญ่ตามประมวลกฎหมาย
มาตรา ๓๐ พนักงานเจ้าหน้าที่ต้องแสดงบัตรประจำตัวต่อบุคคล
ซึ่งเกี่ยวข้อง
นางสาวเจนจิรา พอกพูน ค.บ.ฟิสิกส์ 5/1 56191430101

Unknown กล่าวว่า...

ไวรัสคอมพิวเตอร์ คือ ชื่อเรียกสำหรับโปรแกรมประเภทหนึ่งที่มีพฤติกรรมคล้ายๆ กับไวรัสที่เป็นเชื้อโรค ที่สามารถแพร่เชื้อได้และมักทำอันตรายต่อสิ่งมีชีวิตที่มันอาศัยอยู่ แต่ต่างกันตรงที่ว่าคอมพิวเตอร์ไวรัสเป็นแค่เพียงโปรแกรมเท่านั้น ไม่ใช่สิ่งมีชีวิต

การป้องกันไวรัส
1.สำรองไฟล์ข้อมูลที่สำคัญ
2.สำหรับเครื่องที่มีฮาร์ดดิสก์ อย่าเรียกดอสจากฟลอปปีดิสก์
3.ป้องกันการเขียนให้กับฟลอปปีดิสก์
4.อย่าเรียกโปรแกรมที่ติดมากับดิสก์อื่น
5.เสาะหาโปรแกรมตรวจหาไวรัสที่ใหม่และมากกว่าหนึ่งโปรแกรมจากคนละบริษัท
6.เรียกใช้โปรแกรมตรวจหาไวรัสเป็นช่วงๆ
7. เรียกใช้โปรแกรมตรวจจับไวรัสแบบเฝ้าดูทุกครั้ง
8. เลือกคัดลอกซอฟแวร์เฉพาะที่ถูกตรวจสอบแล้วในบีบีเอส
9. สำรองข้อมูลที่สำคัญของฮาร์ดิสก์ไปเก็บในฟลอปปีดิสก์
10. เตรียมฟลอปปีดิสก์ที่ไว้สำหรับให้เรียกดอสก์ขึ้นมาทำงานได้
11. เมื่อเครื่องติดไวรัส ให้พยายามหาที่มาของไวรัสนั้น

จริยธรรมในการใช้ ICT
1.ไม่ใช้คอมพิวเตอร์ทำร้ายผู้อื่น
2.ไม่รบกวนจนงานคอมพิวเตอร์ของผู้อื่น
3. ไม่แอบดูแฟ้มข้อมูลของผู้อื่น
4. ไม่ใช้คอมพิวเตอร์เพื่อลักขโมย
5.ไม่ใช้คอมพิวเตอร์เพื่อเป็นพยานเท็จ
6.ไม่ใช้หรือทำสำเนาซอฟต์แวร์ที่ตนไม่ได้ซื้อสิทธิ์
7.ไม่ใช้คอมพิวเตอร์ของผู้อื่นโดยไม่มีอำนาจหน้าที่
8. ไม่ฉวยเอาทรัพย์ทางปัญญาของผู้อื่นมาเป็นของตน
9. คิดถึงผลต่อเนื่องทางสังคมของโปรแกรมที่เขียน
10. ใช้คอมพิวเตอร์ในทางที่แสดงถึงความใคร่ครวญและเคารพจรรยาวิชาชีพของสมาชิกสมาคมเครื่องจักรกลคอมพิวเตอร์

พรบ.ว่าด้วยการกระทำความผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์
(มาตรา 5 ) แฮกเกอร์ที่เจาะเข้าระบบคอมพิวเตอร์ที่มีมาตรการป้องกันการเข้าถึง จำคุกไม่เกินหกเดือนหรือปรับไม่เกินหนึ่งหมื่นบาทหรือทั้งจำทั้งปรับ
(มาตรา 7) แฮกเกอร์ที่เจาะเข้าระบบและได้เข้าไปดูข้อมูลของผู้อื่นจำคุกไม่เกินสองปีหรือปรับไม่เกินสี่หมื่นบาทหรือทั้งจำทั้งปรับ
(มาตรา 8) ผู้ที่ชอบดักรับข้อมูลของผู้อื่นระหว่างการส่งข้อมูลในระบบคอมพิวเตอร์ จำคุกไม่เกินสามปีหรือปรับไม่เกินหกหมื่นบาทหรือทั้งจำทั้งปรับ
(มาตรา 9,10 และ 12) ผู้ที่ทำการปลอมแปลง ทำลาย แก้ไขข้อมูลคอมพิวเตอร์ของผู้อื่น หรือทำการใดๆ ที่ไประงับ ชะลอ ขัดขวาง หรือรบกวนการทำงานระบบคอมพิวเตอร์ของผู้อื่น จำคุกสูงสุดยี่สิบปี
(มาตรา 11 ) ผู้ที่ส่งอีเมล์ปกปิดหรือปลอมแปลงแหล่งที่มา เช่น สแปมเมล์ (spam mail ) ทำให้รบกวนการใช้งานระบบคอมพิวเตอร์ของผู้อื่น ปรับไม่เกินหนึ่งแสนบาท
(มาตรา 14) ผู้ที่นำเข้าข้อมูลที่ไม่เหมาะสมเข้าไปในระบบคอมพิวเตอร์ซึ่งคนอื่นสามารถเข้าไปดูข้อมูลนั้นได้ เช่นข้อมูลอันเป็นเท็จที่ส่งผลกระทบต่อความมั่นคงของประเทศ ก่อให้เกิดความตื่นตระหนกแก่ประชาชน หรือทำให้ผู้อื่นเสียหาย ข้อมูลความผิดเกี่ยวกับการก่อการร้าย ข้อมูลลามกอนาจาร หรือผู้ที่เผยแพร่หรือส่งต่อข้อมูลเหล่านี้ ไม่ว่าจะเป็นทางเครื่องคอมพิวเตอร์ พีดีเอ โทรศัพท์มือถือ หรือระบบคอมพิวเตอร์อื่นๆ จำคุกไม่เกินห้าปีหรือปรับไม่เกินหนึ่งแสนบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ
(มาตรา 16) ผู้ที่นำเข้าภาพตัดต่อ ภาพดัดแปลงด้วยวิธีการใดๆ ของบุคคลอื่นเข้าไปในระบบคอมพิวเตอร์โดยมีเจตนาให้ผู้นั้นเสียชื่อเสียง ถูกดูหมิ่น ถูกเกลียดชัง หรือได้รับความอับอาย จำคุกไม่เกินสามปี หรือปรับไม่เกินหกหมื่นบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ
(มาตรา 26) ผู้ให้บริการ เช่น อินเตอร์เน็ตคาเฟ่ ผู้ให้บริการสัญญาณอินเตอร์เน็ต กลุ่มผู้ประกอบการอีคอมเมิร์ช รวมถึงมหาวิทยาลัย ต้องเก็บข้อมูลการเข้าใช้งานระบบคอมพิวเตอร์ของผู้ใช้บริการไม่น้อยกว่าเก้าสิบวัน เพื่อใช้ติดตามผู้กระทำความผิดมาลงโทษ หากผู้ให้บริการไม่ปฏิบัติตามนี้ ปรับสูงสุดถึงห้าแสนบาท
นางสาวจรีญา จงใจรักษ์ รหัส 56191500229 สาขา ค.บ.เกษตรศาสตร์ 5/1

Unknown กล่าวว่า...

ไวรัสคอมพิวเตอร์ (Computer Virus) คือ โปรแกรมชนิดหนึ่งที่มีความสามารถในการสำเนาตัวเองเข้าไปติดอยู่ในเครื่องคอมพิวเตอร์ และถ้ามีโอกาสก็สามารถแทรกเข้าไปติดอยู่ในระบบคอมพิวเตอร์อื่นๆ ซึ่งอาจเกิดจากการนำเอาแผ่นดิสก์หรือแฟลชไดร์ฟที่ติดไวรัสจากเครื่องหนึ่งไปใช้กับอีกเครื่องหนึ่ง การที่คอมพิวเตอร์ใดติดไวรัส หมายความว่าไวรัสได้เข้าไปผังตัวอยู่ในหน่วยความจำคอมพิวเตอร์เครื่องนั้นเรียบร้อยแล้ว การที่ไวรัสจะเข้าไปอยู่ในหน่วยความจำได้นั้นจะต้องมีการถูกเรียกใช้ให้ทำงาน ซึ่งโดยปกติแล้วผู้ใช้มักจะไม่รู้ตัวเลยว่า ขณะที่ตนเรียกใช้โปรแกรมหรือเปิดไฟล์ใดๆขึ้นมาทำงาน ก็ได้เรียกไวรัสขึ้นมาทำงานด้วย จุดประสงค์การทำงานของไวรัสแต่ละตัวขึ้นอยู่กับผู้เขียนโปรแกรมไวรัสนั้น เช่น อาจสร้างไวรัสให้ไปทำลายโปรแกรมหรือข้อมูลอื่นๆ ที่อยู่ในเครื่องคอมพิวเตอร์ หรือแสดงข้อความวิ่งไปมาบนหน้าจอคอมพิวเตอร์ เป็นต้น
การป้องกันไวรัส
1.สำรองไฟล์ข้อมูลที่สำคัญ
2.สำหรับเครื่องที่มีฮาร์ดดิสก์ อย่าเรียกดอสจากฟลอปปีดิสก์
3.ป้องกันการเขียนให้กับฟลอปปีดิสก์
4.อย่าเรียกโปรแกรมที่ติดมากับดิสก์อื่น
5.เสาะหาโปรแกรมตรวจหาไวรัสที่ใหม่และมากกว่าหนึ่งโปรแกรมจากคนละบริษัท
6.เรียกใช้โปรแกรมตรวจหาไวรัสเป็นช่วงๆ
7. เรียกใช้โปรแกรมตรวจจับไวรัสแบบเฝ้าดูทุกครั้ง
8. เลือกคัดลอกซอฟแวร์เฉพาะที่ถูกตรวจสอบแล้วในบีบีเอส
9. สำรองข้อมูลที่สำคัญของฮาร์ดิสก์ไปเก็บในฟลอปปีดิสก์
10. เตรียมฟลอปปีดิสก์ที่ไว้สำหรับให้เรียกดอสก์ขึ้นมาทำงานได้
11. เมื่อเครื่องติดไวรัส ให้พยายามหาที่มาของไวรัสนั้น

จรรยาบรรในการใช้ICT จริยธรรม (Ethics) เป็นเรื่องของการกำหนดความถูกต้องดีงามสิ่งที่ไม่ควรทำมีหลักปฏิบัติในระดับที่สูงกว่ามารยาทในสังคมเช่นคนที่ไม่ยอมเข้าแถวเพื่อขอรับบริการตามสิทธิ์ก่อนหลังอาจถือว่าไม่มีมารยาทหรือพนักงานคอมพิวเตอร์คนหนึ่งเอาข้อมูลทางการเงินของลูกค้าที่เขาจะต้องเห็นตามหน้าที่การงานไปหาผลประโยชน์แก่ตนเองเช่นขายรายชื่อนั้นให้ธุรกิจอื่นหรือบอกให้แก่คู่สมรสซึ่งเป็นพนักงานขายตรงไปเสนอขายสินค้าการกระทำเช่นนี้ถือว่าไม่ถูกต้องไม่มีจริยธรรมจริงอยู่แม้ว่าบริษัทที่พนักงานผู้นั้นทำงานอยู่จะไม่เสียหายแต่การนำเอาของบริษัทไปใช้เพื่อประโยชน์ส่วนตัวก็เป็นสิ่งที่ไม่อาจทำได้อย่างเปิดเผยหรือพนักงานขายสินค้าของทางบริการหนึ่งซึ่งลาออกจากบริษัทเพื่อไปทำงานกับบริษัทคู่แข่งแล้วใช้ประโยชน์จากความรู้ ในเรื่องข้อมูลราคาหรือความลับทางการค้าของบริษัทแรกไปให้บริษัทหลังก็อาจเรียกได้ว่าพนักงานคนนั้นไม่มีจริยธรรมเมื่อสังคมสลับซับซ้อนขึ้นมีการแบ่งหน้าที่กันออกเป็นหน้าที่ต่างๆจึงมีข้อกำหนดที่เรียกว่า“จรรยาวิชาชีพ
” (Code of Conduct) ขึ้นเพื่อใช้เป็นหลักปฏิบัติของคนในอาชีพนั้นๆเราคงเคยได้ยินจรรยาบรรณของแพทย์ที่จะไม่เปิดเผยเรื่องราวส่วนตัวของคนไข้จรรยาบรรณของนักหนังสือพิมพ์ที่รับเงินทองสิ่งตอบแทนเพื่อเสนอข่าวหรือไม่เสนอข่าวไม่เปิดเผยแหล่งข่าวถ้าแหล่งข่าวไม่ต้องการจรรยาบรรณวิชาชีพของสถาปนิกหรือวิศวกรผู้ออกแบบที่ต้องไม่รับผลประโยชน์ใดๆจากผู้ขายอุปกรณ์ที่ใช้ในงานที่เขาออกแบบซึ่งขายให้กับผู้ว่าจ้างงานชิ้นนั้นเพราะเขาได้รับปลตอบแทนจากผู้ว่าจ้างแล้วจรรยาบรรณของวิชาชีพใดก็มักกำหนดขึ้นโดยสมาคมวิชาชีพนั้นโดยมีข้อกำหนดบทลงโทษที่นอกเหนือไปจากกฏหมายบ้านเมืองเช่นเพิกถอนสมาชิกภาพเพิกถอนหรือพักใบประกอบวิชาชีพและอาจมีกฏหมายรองรับอีกด้วยอาชีพนักคอมพิวเตอร์เป็นอาชีพใหม่ในสังคมสารสนเทศการใช้คอมพิวเตอร์และระบบสารสนเทศก็เป็นสิ่งใหม่ที่มีศีลธรรมจริยธรรมและจรรยาบรรณเฉพาะของตนซึ่งบางครั้งก็แตกต่างจากจริยธรรมที่ยอมรับกันมาแต่ก่อนหลักพื้นฐานของจริยธรรมในสังคมสารสนเทศก็คือการเคารพผู้อื่นเคารพความเป็นส่วนตัว
พรบ.ว่าด้วยการกระทำความผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์
(มาตรา 5 ) แฮกเกอร์ที่เจาะเข้าระบบคอมพิวเตอร์ที่มีมาตรการป้องกันการเข้าถึง จำคุกไม่เกินหกเดือนหรือปรับไม่เกินหนึ่งหมื่นบาทหรือทั้งจำทั้งปรับ
(มาตรา 7) แฮกเกอร์ที่เจาะเข้าระบบและได้เข้าไปดูข้อมูลของผู้อื่นจำคุกไม่เกินสองปีหรือปรับไม่เกินสี่หมื่นบาทหรือทั้งจำทั้งปรับ
(มาตรา 8) ผู้ที่ชอบดักรับข้อมูลของผู้อื่นระหว่างการส่งข้อมูลในระบบคอมพิวเตอร์ จำคุกไม่เกินสามปีหรือปรับไม่เกินหกหมื่นบาทหรือทั้งจำทั้งปรับ นางสาว ทนิดา อรรคบาล รหัสนักศึกษา 56191430134 สาขา ฟิสิกส์

Unknown กล่าวว่า...

ไวรัสคอมพิวเตอร์ คือ ชื่อเรียกสำหรับโปรแกรมประเภทหนึ่งที่มีพฤติกรรมคล้ายๆ กับไวรัสที่เป็นเชื้อโรค ที่สามารถแพร่เชื้อได้และมักทำอันตรายต่อสิ่งมีชีวิตที่มันอาศัยอยู่ แต่ต่างกันตรงที่ว่าคอมพิวเตอร์ไวรัสเป็นแค่เพียงโปรแกรมเท่านั้น ไม่ใช่สิ่งมีชีวิต

การป้องกันไวรัส
1.สำรองไฟล์ข้อมูลที่สำคัญ
2.สำหรับเครื่องที่มีฮาร์ดดิสก์ อย่าเรียกดอสจากฟลอปปีดิสก์
3.ป้องกันการเขียนให้กับฟลอปปีดิสก์
4.อย่าเรียกโปรแกรมที่ติดมากับดิสก์อื่น
5.เสาะหาโปรแกรมตรวจหาไวรัสที่ใหม่และมากกว่าหนึ่งโปรแกรมจากคนละบริษัท
6.เรียกใช้โปรแกรมตรวจหาไวรัสเป็นช่วงๆ
7. เรียกใช้โปรแกรมตรวจจับไวรัสแบบเฝ้าดูทุกครั้ง
8. เลือกคัดลอกซอฟแวร์เฉพาะที่ถูกตรวจสอบแล้วในบีบีเอส
9. สำรองข้อมูลที่สำคัญของฮาร์ดิสก์ไปเก็บในฟลอปปีดิสก์
10. เตรียมฟลอปปีดิสก์ที่ไว้สำหรับให้เรียกดอสก์ขึ้นมาทำงานได้
11. เมื่อเครื่องติดไวรัส ให้พยายามหาที่มาของไวรัสนั้น

จริยธรรมในการใช้ ICT
1.ไม่ใช้คอมพิวเตอร์ทำร้ายผู้อื่น
2.ไม่รบกวนจนงานคอมพิวเตอร์ของผู้อื่น
3. ไม่แอบดูแฟ้มข้อมูลของผู้อื่น
4. ไม่ใช้คอมพิวเตอร์เพื่อลักขโมย
5.ไม่ใช้คอมพิวเตอร์เพื่อเป็นพยานเท็จ
6.ไม่ใช้หรือทำสำเนาซอฟต์แวร์ที่ตนไม่ได้ซื้อสิทธิ์
7.ไม่ใช้คอมพิวเตอร์ของผู้อื่นโดยไม่มีอำนาจหน้าที่
8. ไม่ฉวยเอาทรัพย์ทางปัญญาของผู้อื่นมาเป็นของตน
9. คิดถึงผลต่อเนื่องทางสังคมของโปรแกรมที่เขียน
10. ใช้คอมพิวเตอร์ในทางที่แสดงถึงความใคร่ครวญและเคารพจรรยาวิชาชีพของสมาชิกสมาคมเครื่องจักรกลคอมพิวเตอร์

พรบ.ว่าด้วยการกระทำความผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์
(มาตรา 5 ) แฮกเกอร์ที่เจาะเข้าระบบคอมพิวเตอร์ที่มีมาตรการป้องกันการเข้าถึง จำคุกไม่เกินหกเดือนหรือปรับไม่เกินหนึ่งหมื่นบาทหรือทั้งจำทั้งปรับ
(มาตรา 7) แฮกเกอร์ที่เจาะเข้าระบบและได้เข้าไปดูข้อมูลของผู้อื่นจำคุกไม่เกินสองปีหรือปรับไม่เกินสี่หมื่นบาทหรือทั้งจำทั้งปรับ
(มาตรา 8) ผู้ที่ชอบดักรับข้อมูลของผู้อื่นระหว่างการส่งข้อมูลในระบบคอมพิวเตอร์ จำคุกไม่เกินสามปีหรือปรับไม่เกินหกหมื่นบาทหรือทั้งจำทั้งปรับ
(มาตรา 9,10 และ 12) ผู้ที่ทำการปลอมแปลง ทำลาย แก้ไขข้อมูลคอมพิวเตอร์ของผู้อื่น หรือทำการใดๆ ที่ไประงับ ชะลอ ขัดขวาง หรือรบกวนการทำงานระบบคอมพิวเตอร์ของผู้อื่น จำคุกสูงสุดยี่สิบปี
(มาตรา 11 ) ผู้ที่ส่งอีเมล์ปกปิดหรือปลอมแปลงแหล่งที่มา เช่น สแปมเมล์ (spam mail ) ทำให้รบกวนการใช้งานระบบคอมพิวเตอร์ของผู้อื่น ปรับไม่เกินหนึ่งแสนบาท
(มาตรา 14) ผู้ที่นำเข้าข้อมูลที่ไม่เหมาะสมเข้าไปในระบบคอมพิวเตอร์ซึ่งคนอื่นสามารถเข้าไปดูข้อมูลนั้นได้ เช่นข้อมูลอันเป็นเท็จที่ส่งผลกระทบต่อความมั่นคงของประเทศ ก่อให้เกิดความตื่นตระหนกแก่ประชาชน หรือทำให้ผู้อื่นเสียหาย ข้อมูลความผิดเกี่ยวกับการก่อการร้าย ข้อมูลลามกอนาจาร หรือผู้ที่เผยแพร่หรือส่งต่อข้อมูลเหล่านี้ ไม่ว่าจะเป็นทางเครื่องคอมพิวเตอร์ พีดีเอ โทรศัพท์มือถือ หรือระบบคอมพิวเตอร์อื่นๆ จำคุกไม่เกินห้าปีหรือปรับไม่เกินหนึ่งแสนบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ
(มาตรา 16) ผู้ที่นำเข้าภาพตัดต่อ ภาพดัดแปลงด้วยวิธีการใดๆ ของบุคคลอื่นเข้าไปในระบบคอมพิวเตอร์โดยมีเจตนาให้ผู้นั้นเสียชื่อเสียง ถูกดูหมิ่น ถูกเกลียดชัง หรือได้รับความอับอาย จำคุกไม่เกินสามปี หรือปรับไม่เกินหกหมื่นบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ
(มาตรา 26) ผู้ให้บริการ เช่น อินเตอร์เน็ตคาเฟ่ ผู้ให้บริการสัญญาณอินเตอร์เน็ต กลุ่มผู้ประกอบการอีคอมเมิร์ช รวมถึงมหาวิทยาลัย ต้องเก็บข้อมูลการเข้าใช้งานระบบคอมพิวเตอร์ของผู้ใช้บริการไม่น้อยกว่าเก้าสิบวัน เพื่อใช้ติดตามผู้กระทำความผิดมาลงโทษ หากผู้ให้บริการไม่ปฏิบัติตามนี้ ปรับสูงสุดถึงห้าแสนบาท
นางสาวจรีญา จงใจรักษ์ รหัส 56191500229 สาขา ค.บ.เกษตรศาสตร์ 5/1

Unknown กล่าวว่า...

ไวรัสคอมพิวเตอร์ คือ ชื่อเรียกสำหรับโปรแกรมประเภทหนึ่งที่มีพฤติกรรมคล้ายๆ กับไวรัสที่เป็นเชื้อโรค ที่สามารถแพร่เชื้อได้และมักทำอันตรายต่อสิ่งมีชีวิตที่มันอาศัยอยู่ แต่ต่างกันตรงที่ว่าคอมพิวเตอร์ไวรัสเป็นแค่เพียงโปรแกรมเท่านั้น ไม่ใช่สิ่งมีชีวิต

การป้องกันไวรัส
1.สำรองไฟล์ข้อมูลที่สำคัญ
2.สำหรับเครื่องที่มีฮาร์ดดิสก์ อย่าเรียกดอสจากฟลอปปีดิสก์
3.ป้องกันการเขียนให้กับฟลอปปีดิสก์
4.อย่าเรียกโปรแกรมที่ติดมากับดิสก์อื่น
5.เสาะหาโปรแกรมตรวจหาไวรัสที่ใหม่และมากกว่าหนึ่งโปรแกรมจากคนละบริษัท
6.เรียกใช้โปรแกรมตรวจหาไวรัสเป็นช่วงๆ
7. เรียกใช้โปรแกรมตรวจจับไวรัสแบบเฝ้าดูทุกครั้ง
8. เลือกคัดลอกซอฟแวร์เฉพาะที่ถูกตรวจสอบแล้วในบีบีเอส
9. สำรองข้อมูลที่สำคัญของฮาร์ดิสก์ไปเก็บในฟลอปปีดิสก์
10. เตรียมฟลอปปีดิสก์ที่ไว้สำหรับให้เรียกดอสก์ขึ้นมาทำงานได้
11. เมื่อเครื่องติดไวรัส ให้พยายามหาที่มาของไวรัสนั้น

จริยธรรมในการใช้ ICT
1.ไม่ใช้คอมพิวเตอร์ทำร้ายผู้อื่น
2.ไม่รบกวนจนงานคอมพิวเตอร์ของผู้อื่น
3. ไม่แอบดูแฟ้มข้อมูลของผู้อื่น
4. ไม่ใช้คอมพิวเตอร์เพื่อลักขโมย
5.ไม่ใช้คอมพิวเตอร์เพื่อเป็นพยานเท็จ
6.ไม่ใช้หรือทำสำเนาซอฟต์แวร์ที่ตนไม่ได้ซื้อสิทธิ์
7.ไม่ใช้คอมพิวเตอร์ของผู้อื่นโดยไม่มีอำนาจหน้าที่
8. ไม่ฉวยเอาทรัพย์ทางปัญญาของผู้อื่นมาเป็นของตน
9. คิดถึงผลต่อเนื่องทางสังคมของโปรแกรมที่เขียน
10. ใช้คอมพิวเตอร์ในทางที่แสดงถึงความใคร่ครวญและเคารพจรรยาวิชาชีพของสมาชิกสมาคมเครื่องจักรกลคอมพิวเตอร์

พรบ.ว่าด้วยการกระทำความผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์
(มาตรา 5 ) แฮกเกอร์ที่เจาะเข้าระบบคอมพิวเตอร์ที่มีมาตรการป้องกันการเข้าถึง จำคุกไม่เกินหกเดือนหรือปรับไม่เกินหนึ่งหมื่นบาทหรือทั้งจำทั้งปรับ
(มาตรา 7) แฮกเกอร์ที่เจาะเข้าระบบและได้เข้าไปดูข้อมูลของผู้อื่นจำคุกไม่เกินสองปีหรือปรับไม่เกินสี่หมื่นบาทหรือทั้งจำทั้งปรับ
(มาตรา 8) ผู้ที่ชอบดักรับข้อมูลของผู้อื่นระหว่างการส่งข้อมูลในระบบคอมพิวเตอร์ จำคุกไม่เกินสามปีหรือปรับไม่เกินหกหมื่นบาทหรือทั้งจำทั้งปรับ
(มาตรา 9,10 และ 12) ผู้ที่ทำการปลอมแปลง ทำลาย แก้ไขข้อมูลคอมพิวเตอร์ของผู้อื่น หรือทำการใดๆ ที่ไประงับ ชะลอ ขัดขวาง หรือรบกวนการทำงานระบบคอมพิวเตอร์ของผู้อื่น จำคุกสูงสุดยี่สิบปี
(มาตรา 11 ) ผู้ที่ส่งอีเมล์ปกปิดหรือปลอมแปลงแหล่งที่มา เช่น สแปมเมล์ (spam mail ) ทำให้รบกวนการใช้งานระบบคอมพิวเตอร์ของผู้อื่น ปรับไม่เกินหนึ่งแสนบาท
(มาตรา 14) ผู้ที่นำเข้าข้อมูลที่ไม่เหมาะสมเข้าไปในระบบคอมพิวเตอร์ซึ่งคนอื่นสามารถเข้าไปดูข้อมูลนั้นได้ เช่นข้อมูลอันเป็นเท็จที่ส่งผลกระทบต่อความมั่นคงของประเทศ ก่อให้เกิดความตื่นตระหนกแก่ประชาชน หรือทำให้ผู้อื่นเสียหาย ข้อมูลความผิดเกี่ยวกับการก่อการร้าย ข้อมูลลามกอนาจาร หรือผู้ที่เผยแพร่หรือส่งต่อข้อมูลเหล่านี้ ไม่ว่าจะเป็นทางเครื่องคอมพิวเตอร์ พีดีเอ โทรศัพท์มือถือ หรือระบบคอมพิวเตอร์อื่นๆ จำคุกไม่เกินห้าปีหรือปรับไม่เกินหนึ่งแสนบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ
(มาตรา 16) ผู้ที่นำเข้าภาพตัดต่อ ภาพดัดแปลงด้วยวิธีการใดๆ ของบุคคลอื่นเข้าไปในระบบคอมพิวเตอร์โดยมีเจตนาให้ผู้นั้นเสียชื่อเสียง ถูกดูหมิ่น ถูกเกลียดชัง หรือได้รับความอับอาย จำคุกไม่เกินสามปี หรือปรับไม่เกินหกหมื่นบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ
(มาตรา 26) ผู้ให้บริการ เช่น อินเตอร์เน็ตคาเฟ่ ผู้ให้บริการสัญญาณอินเตอร์เน็ต กลุ่มผู้ประกอบการอีคอมเมิร์ช รวมถึงมหาวิทยาลัย ต้องเก็บข้อมูลการเข้าใช้งานระบบคอมพิวเตอร์ของผู้ใช้บริการไม่น้อยกว่าเก้าสิบวัน เพื่อใช้ติดตามผู้กระทำความผิดมาลงโทษ หากผู้ให้บริการไม่ปฏิบัติตามนี้ ปรับสูงสุดถึงห้าแสนบาท
นางสาวปาริชาติ ชัยรังษี ค.บ.5/2 สาขาภาษาไทย รหัสนักศึกษา 55191010238

ไม่ระบุชื่อ กล่าวว่า...

ไวรัสคอมพิวเตอร์ คือ ชื่อเรียกสำหรับโปรแกรมประเภทหนึ่งที่มีพฤติกรรมคล้ายๆ กับไวรัสที่เป็นเชื้อโรค ที่สามารถแพร่เชื้อได้และมักทำอันตรายต่อสิ่งมีชีวิตที่มันอาศัยอยู่ แต่ต่างกันตรงที่ว่าคอมพิวเตอร์ไวรัสเป็นแค่เพียงโปรแกรมเท่านั้น ไม่ใช่สิ่งมีชีวิต

การป้องกันไวรัส
1.สำรองไฟล์ข้อมูลที่สำคัญ
2.สำหรับเครื่องที่มีฮาร์ดดิสก์ อย่าเรียกดอสจากฟลอปปีดิสก์
3.ป้องกันการเขียนให้กับฟลอปปีดิสก์
4.อย่าเรียกโปรแกรมที่ติดมากับดิสก์อื่น
5.เสาะหาโปรแกรมตรวจหาไวรัสที่ใหม่และมากกว่าหนึ่งโปรแกรมจากคนละบริษัท
6.เรียกใช้โปรแกรมตรวจหาไวรัสเป็นช่วงๆ
7. เรียกใช้โปรแกรมตรวจจับไวรัสแบบเฝ้าดูทุกครั้ง
8. เลือกคัดลอกซอฟแวร์เฉพาะที่ถูกตรวจสอบแล้วในบีบีเอส
9. สำรองข้อมูลที่สำคัญของฮาร์ดิสก์ไปเก็บในฟลอปปีดิสก์
10. เตรียมฟลอปปีดิสก์ที่ไว้สำหรับให้เรียกดอสก์ขึ้นมาทำงานได้
11. เมื่อเครื่องติดไวรัส ให้พยายามหาที่มาของไวรัสนั้น

จริยธรรมในการใช้ ICT
1.ไม่ใช้คอมพิวเตอร์ทำร้ายผู้อื่น
2.ไม่รบกวนจนงานคอมพิวเตอร์ของผู้อื่น
3. ไม่แอบดูแฟ้มข้อมูลของผู้อื่น
4. ไม่ใช้คอมพิวเตอร์เพื่อลักขโมย
5.ไม่ใช้คอมพิวเตอร์เพื่อเป็นพยานเท็จ
6.ไม่ใช้หรือทำสำเนาซอฟต์แวร์ที่ตนไม่ได้ซื้อสิทธิ์
7.ไม่ใช้คอมพิวเตอร์ของผู้อื่นโดยไม่มีอำนาจหน้าที่
8. ไม่ฉวยเอาทรัพย์ทางปัญญาของผู้อื่นมาเป็นของตน
9. คิดถึงผลต่อเนื่องทางสังคมของโปรแกรมที่เขียน
10. ใช้คอมพิวเตอร์ในทางที่แสดงถึงความใคร่ครวญและเคารพจรรยาวิชาชีพของสมาชิกสมาคมเครื่องจักรกลคอมพิวเตอร์

พรบ.ว่าด้วยการกระทำความผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์
(มาตรา 5 ) แฮกเกอร์ที่เจาะเข้าระบบคอมพิวเตอร์ที่มีมาตรการป้องกันการเข้าถึง จำคุกไม่เกินหกเดือนหรือปรับไม่เกินหนึ่งหมื่นบาทหรือทั้งจำทั้งปรับ
(มาตรา 7) แฮกเกอร์ที่เจาะเข้าระบบและได้เข้าไปดูข้อมูลของผู้อื่นจำคุกไม่เกินสองปีหรือปรับไม่เกินสี่หมื่นบาทหรือทั้งจำทั้งปรับ
(มาตรา 8) ผู้ที่ชอบดักรับข้อมูลของผู้อื่นระหว่างการส่งข้อมูลในระบบคอมพิวเตอร์ จำคุกไม่เกินสามปีหรือปรับไม่เกินหกหมื่นบาทหรือทั้งจำทั้งปรับ
(มาตรา 9,10 และ 12) ผู้ที่ทำการปลอมแปลง ทำลาย แก้ไขข้อมูลคอมพิวเตอร์ของผู้อื่น หรือทำการใดๆ ที่ไประงับ ชะลอ ขัดขวาง หรือรบกวนการทำงานระบบคอมพิวเตอร์ของผู้อื่น จำคุกสูงสุดยี่สิบปี
(มาตรา 11 ) ผู้ที่ส่งอีเมล์ปกปิดหรือปลอมแปลงแหล่งที่มา เช่น สแปมเมล์ (spam mail ) ทำให้รบกวนการใช้งานระบบคอมพิวเตอร์ของผู้อื่น ปรับไม่เกินหนึ่งแสนบาท
(มาตรา 14) ผู้ที่นำเข้าข้อมูลที่ไม่เหมาะสมเข้าไปในระบบคอมพิวเตอร์ซึ่งคนอื่นสามารถเข้าไปดูข้อมูลนั้นได้ เช่นข้อมูลอันเป็นเท็จที่ส่งผลกระทบต่อความมั่นคงของประเทศ ก่อให้เกิดความตื่นตระหนกแก่ประชาชน หรือทำให้ผู้อื่นเสียหาย ข้อมูลความผิดเกี่ยวกับการก่อการร้าย ข้อมูลลามกอนาจาร หรือผู้ที่เผยแพร่หรือส่งต่อข้อมูลเหล่านี้ ไม่ว่าจะเป็นทางเครื่องคอมพิวเตอร์ พีดีเอ โทรศัพท์มือถือ หรือระบบคอมพิวเตอร์อื่นๆ จำคุกไม่เกินห้าปีหรือปรับไม่เกินหนึ่งแสนบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ
(มาตรา 16) ผู้ที่นำเข้าภาพตัดต่อ ภาพดัดแปลงด้วยวิธีการใดๆ ของบุคคลอื่นเข้าไปในระบบคอมพิวเตอร์โดยมีเจตนาให้ผู้นั้นเสียชื่อเสียง ถูกดูหมิ่น ถูกเกลียดชัง หรือได้รับความอับอาย จำคุกไม่เกินสามปี หรือปรับไม่เกินหกหมื่นบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ
(มาตรา 26) ผู้ให้บริการ เช่น อินเตอร์เน็ตคาเฟ่ ผู้ให้บริการสัญญาณอินเตอร์เน็ต กลุ่มผู้ประกอบการอีคอมเมิร์ช รวมถึงมหาวิทยาลัย ต้องเก็บข้อมูลการเข้าใช้งานระบบคอมพิวเตอร์ของผู้ใช้บริการไม่น้อยกว่าเก้าสิบวัน เพื่อใช้ติดตามผู้กระทำความผิดมาลงโทษ หากผู้ให้บริการไม่ปฏิบัติตามนี้ ปรับสูงสุดถึงห้าแสนบาท

นางสาวจิรัฐกาล สามาลย์ คบ.ฟิสิกส์ 5/1 รหัสนักศึกษา 56191430135

ไม่ระบุชื่อ กล่าวว่า...

ไวรัสคอมพิวเตอร์ คือ
ไวรัส คือ โปรแกรมชนิดหนึ่งที่มีความสามารถในการสำเนาตัวเองเข้าไปติดอยู่ในระบบคอมพิวเตอร์ได้ และถ้ามีโอกาสก็สามารถแทรกเข้าไประบาดในระบบคอมพิวเตอร์อื่นๆ ซึ่งอาจเกิดจากการนำเอาดิสก์ที่ติดไวรัสจากเครื่องหนึ่งไปใช้อีกเครื่องหนึ่ง หรืออาจผ่านระบบเครือข่ายหรือระบบสื่อสารข้อมูล ไวรัสก็อาจแพร่ระบาดได้เช่นกัน
การป้องกันไวรัสคอมพิวเตอร์
7 ขั้นตอนในการช่วยป้องกันคุณไม่ให้ติดไวรัสคอมพิวเตอร์
1. ใช้โปรแกรมป้องกันไวรัส
2. ใช้โปรแกรมป้องกันไวรัสที่เหมาะกับตัวเอง
3. ติดตั้งโปรแกรมป้องกันไวรัสให้เป็น
4. อัพเดตฐานข้อมูลไวรัส (Definition) อยู่เสมอ
5. เปลี่ยนเวอร์ชันใหม่ทันทีที่มีโอกาส
6. อย่ารับไฟล์แปลกหน้า และติดตามข่าวสารอยู่เสมอ
7. ติดไวรัสแล้วอย่ากลัว
จรรยาบรรณการใช้ ICT
จริยธรรม (Ethics) เป็นเรื่องของการกำหนดความถูกต้องดีงามสิ่งที่ไม่ควรทำมีหลักปฏิบัติในระดับที่สูงกว่ามารยาทในสังคม
บัญญัติ10 ประการของผู้ใช้คอมพิวเตอร์
การเข้าถึงระบบคอมพิวเตอร์และข้อมูลก็จะเฉพาะสิทธิ์ที่ตนเองมีในส่วนที่เกี่ยวข้องกับงาน
1. ไม่ใช้คอมพิวเตอร์ทำร้ายผู้อื่น
2. ไม่รบกวนจนงานคอมพิวเตอร์ของผู้อื่น
3. ไม่แอบดูแฟ้มข้อมูลของผู้อื่น
4. ไม่ใช้คอมพิวเตอร์เพื่อลักขโมย
5. ไม่ใช้คอมพิวเตอร์เพื่อเป็นพยานเท็จ
6. ไม่ใช้หรือทำสำเนาซอฟต์แวร์ที่ตนไม่ได้ซื้อสิทธิ์
7. ไม่ใช้คอมพิวเตอร์ของผู้อื่นโดยไม่มีอำนาจหน้าที่
8. ไม่ฉวยเอาทรัพย์ทางปัญญาของผู้อื่นมาเป็นของตน
9. คิดถึงผลต่อเนื่องทางสังคมของโปรแกรมที่เขียน
10. ใช้คอมพิวเตอร์ในทางที่แสดงถึงความใคร่ครวญและเคารพจรรยาวิชาชีพของสมาชิกสมาคมเครื่องจักรกลคอมพิวเตอร์
พรบ.ว่าด้วยการกระทำความผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์
พระราชบัญญัติ
ว่าด้วยการกระทำความผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์
พ.ศ. ๒๕๕๐
ภูมิพลอดุลยเดช ป.ร.
ให้ไว้ ณ วันที่ ๑๐ มิถุนายน พ.ศ. ๒๕๕๐
เป็นปีที่ ๖๒ ในรัชกาลปัจจุบัน
พระราชบัญญัติ ว่าด้วยการกระทําความผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ พ.ศ. 2550
พ.ร.บ.ฉบับนี้ประกาศในพระราชกิจจานุเบกษา เมื่อวันที่ 18 มิ.ย 2550 และมีผลบังคับใช้ ตั้งแต่วันที่ 18 ก.ค. 2550 ป็นต้นไป
ความผิดที่เข้าข่ายตาม พ.ร.บ ฉบับนี้
- การเข้าถึงระบบคอมพิวเตอร์ของผู้อื่นโดยมิชอบ
- การเปิดเผยข้อมูลมาตรการป้องกันการเข้าถึงระบบคอมพิวเตอร์ที่ผู้อื่นจัดทำขึ้นเป็นการเฉพาะ
- การดักรับข้อมูลคอมพิวเตอร์ของผู้อื่น
- การทำให้เสียหาย ทำลาย แก้ไข เปลี่ยนแปลงข้อมูลโดยมิชอบ
- การกระทำเพื่อใหการทำงานของระบบคอมพิวเตอร์ของผู้อื่นไม่สามารถทำงานได้ตามปกติ
- การส่งข้อมูลรบกวนการใช้ระบบคอมพิวเตอร์ของผู้อื่น
- การจำหน่ายชุดคำสั่งที่จัดทำขึ้นเพื่อนำไปเป็นเครื่องมือในการกระทำผิด
- การใช้ระบบคอมพิวเตอร์ทำความผิดอื่น
- การตกแต่งข้อมูลคอมพิวเตอร์ที่เป็นภาพของบุคคล

นางสาวจิรัฐกาล สามาลย์ คบ ฟิสิกส์ รหัสนักศึกษา 56191430135

ไม่ระบุชื่อ กล่าวว่า...

ไวรัสคอมพิวเตอร์
ไวรัสคอมพิวเตอร์ เป็นโปรแกรมพิเศษชนิดหนึ่งที่เขียนขึ้นมาเพื่อให้จัดการกับตัวมันเอง โดยมีลักษณะเลียบแบบสิ่งมีชีวิต คือ เจริญเติบโตเองได้ ขยายและแพร่กระจายเองได้ สามารถอยู่รอดได้ โปรแกรมนี้เข้าไปอยู่ในระบบคอมพิวเตอร์ได้ โดยผ่านทาง
- แผ่นฟลอปปีดิสก์
- เครือข่ายคอมพิวเตอร์
จากการที่ไวรัสคอมพิวเตอร์ ทำงานได้ด้วยเงื่อนไขลักษณะใดลักษณะหนึ่งหลายลักษณะ จึงทำให้ผู้ใช้ไม่รู้ว่าเครื่องคอมพิวเตอร์ของตนติดไวรัสหรือไม่ พอเปิดเครื่องใช้ก็อาจพบว่าระบบคอมพิวเตอร์ของตนถูกไวรัสทำลายเสียแล้ว ไวรัสบางตัวไม่เพียงทำลาย ลบ ล้าง ย้ายข้อมูลของเรา โดยไม่ได้รับอนุญาตเท่านั้น แต่ยังสามารถทำลายโปรแกรมอื่น ๆได้อีกด้วยโดยสังเกตได้จากการที่หน้าจอแสดงผลโดยอาการแปลก ๆ
การป้องกันไวรัสคอมพิวเตอร์
มีเทคนิคอยู่มากมายหลายวิธี ดังนี้
-ทุกครั้งที่นำซอฟแวร์ที่ไม่ทราบแหล่งที่ผลิต หรือได้รับแจกฟรี ต้องตรวจสอบให้แน่ใจก่อนนำไปใช้
-ควรตรวจสอบทั้งฮาร์ดแวร์และซอฟแวร์อย่างสม่ำเสมอ อย่างน้อยวันละ 1 ครั้ง
- เตรียมแผ่นที่สะอาดไว้สำหรับบูตเครื่องเมื่อคราวจำเป็น
- ควรสำรองข้อมูลไว้เสมอ
- พยายามสังเกตุสิ่งผิดปกติที่เกิดขึ้นกับเครื่องอย่างสม่ำเสมอ เช่น การทำงานที่ช้าลง ขนาดไฟล์ หน้าจอแสดงผลแปลก ๆ ไดรฟ์มีเสียงผิดปกติ
-ไม่นำแผ่นดิสก์ไปใช้กับเครื่องคอมพิวเตอร์อื่น ๆ ถ้ายังไม่ได้ปิดแถบป้องกันการบันทึก (Write Protect )
- ควรแยกแผ่นโปรแกรม และแผ่นข้อมูลออกจากกันโดยเด็ดขาด
-ไม่อนุญาตให้คนอื่นมาเล่นเครื่องคอมพิวเตอร์ของท่าน โดยปราศจากการควบคุมอย่างใกล้ชิด
-ควรมีโปรแกรมป้องกันไวรัสไว้ใช้ตรวจสอบและป้องกัน โดยเฉพาะโปรแกรมป้องกันไวรัสรุ่นใหม่ ๆ จะมีประสิทธิภาพในการป้องกันได้ดีขึ้นมาก ในที่นี้จะขอแนะนำโปรแกรม SCAN ของบริษัท McAfee Associates รุ่น V.2.5.1 หรือ Norton Antivirus
จรรยาบรรณในการใช้คอมพิวเตอร์
บัญญัติ10 ประการของผู้ใช้คอมพิวเตอร์
การเข้าถึงระบบคอมพิวเตอร์และข้อมูลก็จะเฉพาะสิทธิ์ที่ตนเองมีในส่วนที่เกี่ยวข้องกับงาน

1.ไม่ใช้คอมพิวเตอร์ทำร้ายผู้อื่น
2.ไม่รบกวนจนงานคอมพิวเตอร์ของผู้อื่น
3. ไม่แอบดูแฟ้มข้อมูลของผู้อื่น
4.ไม่ใช้คอมพิวเตอร์เพื่อลักขโมย
5.ไม่ใช้คอมพิวเตอร์เพื่อเป็นพยานเท็จ
6. ไม่ใช้หรือทำสำเนาซอฟต์แวร์ที่ตนไม่ได้ซื้อสิทธิ์
7.ไม่ใช้คอมพิวเตอร์ของผู้อื่นโดยไม่มีอำนาจหน้าที่
8.ไม่ฉวยเอาทรัพย์ทางปัญญาของผู้อื่นมาเป็นของตน
9.คิดถึงผลต่อเนื่องทางสังคมของโปรแกรมที่เขียน
10.ใช้คอมพิวเตอร์ในทางที่แสดงถึงความใคร่ครวญและเคารพจรรยาวิชาชีพของสมาชิกสมาคมเครื่องจักรกลคอมพิวเตอร์
พระราชบัญญัติ ว่าด้วยการกระทําความผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ พ.ศ. 2550

พ.ร.บ.ฉบับนี้ประกาศในพระราชกิจจานุเบกษา เมื่อวันที่ 18 มิ.ย 2550 และมีผลบังคับใช้ ตั้งแต่วันที่ 18 ก.ค. 2550 ป็นต้นไป

ความผิดที่เข้าข่ายตาม พ.ร.บ ฉบับนี้

- การเข้าถึงระบบคอมพิวเตอร์ของผู้อื่นโดยมิชอบ
- การเปิดเผยข้อมูลมาตรการป้องกันการเข้าถึงระบบคอมพิวเตอร์ที่ผู้อื่นจัดทำขึ้นเป็นการเฉพาะ
- การดักรับข้อมูลคอมพิวเตอร์ของผู้อื่น
- การทำให้เสียหาย ทำลาย แก้ไข เปลี่ยนแปลงข้อมูลโดยมิชอบ
- การกระทำเพื่อใหการทำงานของระบบคอมพิวเตอร์ของผู้อื่นไม่สามารถทำงานได้ตามปกติ
- การส่งข้อมูลรบกวนการใช้ระบบคอมพิวเตอร์ของผู้อื่น
- การจำหน่ายชุดคำสั่งที่จัดทำขึ้นเพื่อนำไปเป็นเครื่องมือในการกระทำผิด
- การใช้ระบบคอมพิวเตอร์ทำความผิดอื่น
- การตกแต่งข้อมูลคอมพิวเตอร์ที่เป็นภาพของบุคคล

นางสาวเดือนเพ็ญ สาระติ สาขาภาษาไทย 55191010115

Unknown กล่าวว่า...

ไวรัสคอมพิวเตอร์
ไวรัสคอมพิวเตอร์ (computer virus) ซึ่งเรียกชื่อเลียนแบบ ไวรัส ที่เป็นสิ่งมีชีวิต แต่เป็นคำเรียกแบบย่อของ โปรแกรมคอมพิวเตอร์ ที่มีชุดคำสั่งระบบปฏิบัติการใดๆก็ตามเท่าที่โปรแกรมถูกเขียนขึ้นมาเพื่อการใดการหนึ่งทั้งที่มีประโยนช์ทางการทำงานตามผู้เขียนโปรแกรมนั้นขึ้นมา ไวรัสคอมพิวเตอร์ ที่บุกรุกเข้าไปในเครื่องคอมพิวเตอร์โดยไม่ได้รับความยินยอมจากผู้ใช้ ส่วนมากมักจะมีประสงค์ร้ายและสร้างความเสียหายให้กับระบบของเครื่องคอมพิวเตอร์นั้นๆ

วิธีการป้องกัน
1. ใช้โปรแกรมป้องกันไวรัส
2. ใช้โปรแกรมป้องกันไวรัสที่เหมาะกับตัวเอง
3. ติดตั้งโปรแกรมป้องกันไวรัสให้เป็น
4. อัพเดตฐานข้อมูลไวรัส (Definition) อยู่เสมอ
5. เปลี่ยนเวอร์ชันใหม่ทันทีที่มีโอกาส
6. อย่ารับไฟล์แปลกหน้า และติดตามข่าวสารอยู่เสมอ
7. ติดไวรัสแล้วอย่ากลัว

จรรยาบรรณการใช้ ICT
1. ต้องไม่ใช้คอมพิวเตอร์ทำร้าย หรือละเมิดผู้อื่น
2. ต้องไม่รบกวนการทำงานของผู้อื่น
3. ต้องไม่สอดแนม แก้ไข หรือเปิดดูแฟ้มข้อมูลของผู้อื่น
4. ต้องไม่ใช้คอมพิวเตอร์เพื่อการโจรกรรมข้อมูลข่าวสาร
5. ต้องไม่ใช้คอมพิวเตอร์สร้างหลักฐานที่เป็นเท็จ
6. ต้องไม่คัดลอกโปรแกรมของผู้อื่นที่มีลิขสิทธิ์
7. ต้องไม่ละเมิดการใช้ทรัพยากรคอมพิวเตอร์โดยที่ตนเองไม่มีสิทธิ์
8. ต้องไม่นำเอาผลงานของผู้อื่นมาเป็นของตน
9. ต้องคำนึงถึงสิ่งที่จะเกิดขึ้นกับสังคมอันติดตามมาจากการกระทำของท่าน
10. ต้องใช้คอมพิวเตอร์โดยเคารพกฎระเบียบ กติกา และมีมารยาท

พรบ.ว่าด้วยการกระทำความผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์
มาตรา5 ผู้ใดเข้าถึงโดยมิชอบซึ่งระบบคอมพิวเตอร์ที่มีมาตรการป้องกันการเข้าถึง โดยเฉพาะและมาตรการนั้นมิได้มีไว้สำหรับตน
มาตรา6 ผู้ใดล่วงรู้มาตรการป้องกันการเข้าถึงระบบคอมพิวเตอร์ที่ผู้อื่นจัดทำขึ้นเป็นการเฉพาะ ถ้านำมาตรการดังกล่าวไปเปิดเผยโดยมิชอบในประการที่น่าจะเกิดความเสียหายแก่ผู้อื่น
มาตรา7 ผู้ใดเข้าถึงโดยมิชอบซึ่งข้อมูลคอมพิวเตอร์ที่มีมาตรการป้องกันการเข้าถึงโดยเฉพาะ และมาตรการนั้น มิได้มีไว้สำหรับตน จำคุกไม่เกินสองปี หรือปรับไม่เกินสี่หมื่นบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ
มาตรา8 ผู้ใดกระทำด้วยประการใดโดยมิชอบด้วยวิธีการทางอิเล็กทรอนิกส์เพื่อดักรับไว้ ซึ่งข้อมูลคอมพิวเตอร์ของผู้อื่นที่อยู่ระหว่างการส่งในระบบคอมพิวเตอร์ และข้อมูลคอมพิวเตอร์นั้นมิได้มีไว้ เพื่อประโยชน์สาธารณะหรือเพื่อให้บุคคลทั่วไปใช้ประโยชน์ใด

นางสาวนลิตา คำโฮม 54191700212 สาขาอุตสาหกรรมศิลป์และเทคโนโลยี หมู่2 ปี3

Unknown กล่าวว่า...

ไวรัสคอมพิวเตอร์
ไวรัสคอมพิวเตอร์ (computer virus) ซึ่งเรียกชื่อเลียนแบบ ไวรัส ที่เป็นสิ่งมีชีวิต แต่เป็นคำเรียกแบบย่อของ โปรแกรมคอมพิวเตอร์ ที่มีชุดคำสั่งระบบปฏิบัติการใดๆก็ตามเท่าที่โปรแกรมถูกเขียนขึ้นมาเพื่อการใดการหนึ่งทั้งที่มีประโยนช์ทางการทำงานตามผู้เขียนโปรแกรมนั้นขึ้นมา ไวรัสคอมพิวเตอร์ ที่บุกรุกเข้าไปในเครื่องคอมพิวเตอร์โดยไม่ได้รับความยินยอมจากผู้ใช้ ส่วนมากมักจะมีประสงค์ร้ายและสร้างความเสียหายให้กับระบบของเครื่องคอมพิวเตอร์นั้นๆ

วิธีการป้องกัน
1. ใช้โปรแกรมป้องกันไวรัส
2. ใช้โปรแกรมป้องกันไวรัสที่เหมาะกับตัวเอง
3. ติดตั้งโปรแกรมป้องกันไวรัสให้เป็น
4. อัพเดตฐานข้อมูลไวรัส (Definition) อยู่เสมอ
5. เปลี่ยนเวอร์ชันใหม่ทันทีที่มีโอกาส
6. อย่ารับไฟล์แปลกหน้า และติดตามข่าวสารอยู่เสมอ
7. ติดไวรัสแล้วอย่ากลัว

จรรยาบรรณการใช้ ICT
1. ต้องไม่ใช้คอมพิวเตอร์ทำร้าย หรือละเมิดผู้อื่น
2. ต้องไม่รบกวนการทำงานของผู้อื่น
3. ต้องไม่สอดแนม แก้ไข หรือเปิดดูแฟ้มข้อมูลของผู้อื่น
4. ต้องไม่ใช้คอมพิวเตอร์เพื่อการโจรกรรมข้อมูลข่าวสาร
5. ต้องไม่ใช้คอมพิวเตอร์สร้างหลักฐานที่เป็นเท็จ
6. ต้องไม่คัดลอกโปรแกรมของผู้อื่นที่มีลิขสิทธิ์
7. ต้องไม่ละเมิดการใช้ทรัพยากรคอมพิวเตอร์โดยที่ตนเองไม่มีสิทธิ์
8. ต้องไม่นำเอาผลงานของผู้อื่นมาเป็นของตน
9. ต้องคำนึงถึงสิ่งที่จะเกิดขึ้นกับสังคมอันติดตามมาจากการกระทำของท่าน
10. ต้องใช้คอมพิวเตอร์โดยเคารพกฎระเบียบ กติกา และมีมารยาท

พรบ.ว่าด้วยการกระทำความผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์
มาตรา5 ผู้ใดเข้าถึงโดยมิชอบซึ่งระบบคอมพิวเตอร์ที่มีมาตรการป้องกันการเข้าถึง โดยเฉพาะและมาตรการนั้นมิได้มีไว้สำหรับตน
มาตรา6 ผู้ใดล่วงรู้มาตรการป้องกันการเข้าถึงระบบคอมพิวเตอร์ที่ผู้อื่นจัดทำขึ้นเป็นการเฉพาะ ถ้านำมาตรการดังกล่าวไปเปิดเผยโดยมิชอบในประการที่น่าจะเกิดความเสียหายแก่ผู้อื่น
มาตรา7 ผู้ใดเข้าถึงโดยมิชอบซึ่งข้อมูลคอมพิวเตอร์ที่มีมาตรการป้องกันการเข้าถึงโดยเฉพาะ และมาตรการนั้น มิได้มีไว้สำหรับตน จำคุกไม่เกินสองปี หรือปรับไม่เกินสี่หมื่นบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ
มาตรา8 ผู้ใดกระทำด้วยประการใดโดยมิชอบด้วยวิธีการทางอิเล็กทรอนิกส์เพื่อดักรับไว้ ซึ่งข้อมูลคอมพิวเตอร์ของผู้อื่นที่อยู่ระหว่างการส่งในระบบคอมพิวเตอร์ และข้อมูลคอมพิวเตอร์นั้นมิได้มีไว้ เพื่อประโยชน์สาธารณะหรือเพื่อให้บุคคลทั่วไปใช้ประโยชน์ใด

นางสาวนลิตา คำโฮม 54191700212 สาขาอุตสาหกรรมศิลป์และเทคโนโลยี หมู่2 ปี3

Unknown กล่าวว่า...

ไวรัสคอมพิวเตอร์
ไวรัสคอมพิวเตอร์ (Computer Virus) คือ โปรแกรมชนิดหนึ่งที่มีความสามารถในการสำเนาตัวเองเข้าไปติดอยู่ในเครื่องคอมพิวเตอร์ และถ้ามีโอกาสก็สามารถแทรกเข้าไปติดอยู่ในระบบคอมพิวเตอร์อื่นๆ ซึ่งอาจเกิดจากการนำเอาแผ่นดิสก์หรือแฟลชไดร์ฟที่ติดไวรัสจากเครื่องหนึ่งไปใช้กับอีกเครื่องหนึ่ง การที่คอมพิวเตอร์ใดติดไวรัส หมายความว่าไวรัสได้เข้าไปผังตัวอยู่ในหน่วยความจำคอมพิวเตอร์เครื่องนั้นเรียบร้อยแล้ว การที่ไวรัสจะเข้าไปอยู่ในหน่วยความจำได้นั้นจะต้องมีการถูกเรียกใช้ให้ทำงาน ซึ่งโดยปกติแล้วผู้ใช้มักจะไม่รู้ตัวเลยว่า ขณะที่ตนเรียกใช้โปรแกรมหรือเปิดไฟล์ใดๆขึ้นมาทำงาน ก็ได้เรียกไวรัสขึ้นมาทำงานด้วย จุดประสงค์การทำงานของไวรัสแต่ละตัวขึ้นอยู่กับผู้เขียนโปรแกรมไวรัสนั้น เช่น อาจสร้างไวรัสให้ไปทำลายโปรแกรมหรือข้อมูลอื่นๆ ที่อยู่ในเครื่องคอมพิวเตอร์ หรือแสดงข้อความวิ่งไปมาบนหน้าจอคอมพิวเตอร์ เป็นต้น
ประเภทของไวรัสคอมพิวเตอร์
1.บูตเซกเตอร์ไวรัส(boot sector virus) คือไวรัสคอมพิวเตอร์ที่แพร่เข้าสู่เป้าหมายในระหว่างเริ่มทำการบูตเครื่อง ส่วนมาก มันจะติดต่อเข้าสู่แผ่นฟลอปปี้ดิสก์ระหว่างกำลังสั่งปิดเครื่อง เมื่อนำแผ่นที่ติดไวรัสนี้ไปใช้กับเครื่องคอมพิวเตอร์เครื่องอื่นๆ ไวรัสก็จะเข้าสู่เครื่องคอมพิวเตอร์ตอนเริ่มทำงานทันที
2.บูตไวรัสจะติดต่อเข้าไปอยู่ส่วนหัวสุดของฮาร์ดดิสก์ ที่มาสเตอร์บูตเรคคอร์ด (master boot record) และก็จะโหลดตัวเองเข้าไปสู่หน่วยความจำก่อนที่ระบบปฏิบัติการจะเริ่มทำงาน ทำให้เหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น
3.ไฟล์ไวรัส (file virus) ใช้เรียกไวรัสที่มีการแทรกตามไฟล์ที่นำมาให้บันทึกสู่คอมพิวเตอร์ของผู้ใช้
4.หนอน (Worm) เป็นรูปแบบหนึ่งของไวรัส มีความสามารถในการทำลายระบบในเครื่องคอมพิวเตอร์สูงที่สุดในบรรดาไวรัสทั้ง หมด สามารถกระจายตัวได้รวดเร็ว ผ่านทางระบบอินเทอร์เน็ต ซึ่งสาเหตุที่เรียกว่าหนอนนั้น คงจะเป็นลักษณะของการกระจายและทำลาย ที่คล้ายกับหนอนกินผลไม้ ที่สามารถกระจายตัวได้มากมาย รวดเร็ว และเมื่อยิ่งเพิ่มจำนวนมากขึ้น ระดับการทำลายล้างยิ่งเพิ่มมากขึ้น ไวรัสที่ไม่สามารถสแกนได้ วิธีการป้องกัน ไวรัสคอมพิวเตอร์
1.ติดตั้งโปรแกรมป้องกันไวรัสและอัปเดตข้อมูลไวรัสอยู่เสมอ
2.ติดตั้งโปรแกรมอุดช่องโหว่(patch) โดยการอัปเดตซอฟต์แวร์และโปรแกรมประยุกต์ต่าง ๆ ให้ใหม่อยู่เสมอ
3.ปรับแต่งให้ซอฟต์แวร์ที่ใช้งานปลอดภัยสูงที่สุด
4.ระวังภัยจากการเปิดไฟล์จากสื่อบันทึกข้อมูล(Media) ต่าง ๆ
5.ตระหนักถึงความเสี่ยงของไฟล์ที่ดาวน์โหลด หรือได้รับจากทางอินเตอร์เน็ต

นางสาวพีรยา เพ็งน้ำคำ 56191430107
คบ.ฟิสิกส์ หมู่ 1

ไม่ระบุชื่อ กล่าวว่า...

1.คอมพิวเตอร์ ไวรัสเป็นชื่อเรียกสำหรับโปรแกรมประเภทหนึ่งที่มีพฤติกรรมคล้ายๆ กับไวรัสที่เป็นเชื้อโรค ที่สามารถแพร่เชื้อได้และมักทำอันตรายต่อสิ่งมีชีวิตที่มันอาศัยอยู่ แต่ต่างกันตรงที่ว่าคอมพิวเตอร์ไวรัสเป็นแค่เพียงโปรแกรมเท่านั้น ไม่ใช่สิ่งมีชีวิต
2.การป้องกัน ติดตั้งโปรแกรมป้องกันไวรัสและอัปเดตข้อมูลไวรัสอยู่เสมอ
- ติดตั้งโปรแกรมป้องกันไวรัสที่เหมาะสม
- สร้างแผ่น Emergency Disk เพื่อใช้ในการกู้ระบบ
- อัปเดตข้อมูลไวรัสของโปรแกรมทุกวัน หรือ ทุกครั้งที่โปรแกรมแจ้งเตือนให้อัปเดต
- เปิดใช้งาน auto-protect ถ้าโปรแกรมสนับสนุน
- ตรวจสอบหาไวรัสทุกครั้งก่อนเปิดไฟล์จากแผ่นหรือสื่อบันทึกข้อมูลต่าง ๆ
3.จรรยาบรรการใช้ ICT
จรรยาบรรณในการใช้คอมพิวเตอร์
จริยธรรม (Ethics) เป็นเรื่องของการกำหนดความถูกต้องดีงามสิ่งที่ไม่ควรทำมีหลักปฏิบัติในระดับที่สูงกว่ามารยาทในสังคมเช่นคนที่ไม่ยอมเข้าแถวเพื่อขอรับบริการตามสิทธิ์ก่อนหลังอาจถือว่าไม่มีมารยาทหรือพนักงานคอมพิวเตอร์คนหนึ่งเอาข้อมูลทางการเงินของลูกค้าที่เขาจะต้องเห็นตามหน้าที่การงานไปหาผลประโยชน์แก่ตนเองเช่นขายรายชื่อนั้นให้ธุรกิจอื่นหรือบอกให้แก่คู่สมรสซึ่งเป็นพนักงานขายตรงไปเสนอขายสินค้าการกระทำเช่นนี้ถือว่าไม่ถูกต้องไม่มีจริยธรรมจริงอยู่แม้ว่าบริษัทที่พนักงานผู้นั้นทำงานอยู่จะไม่เสียหายแต่การนำเอาของบริษัทไปใช้เพื่อประโยชน์ส่วนตัวก็เป็นสิ่งที่ไม่อาจทำได้อย่างเปิดเผยหรือพนักงานขายสินค้าของทางบริการหนึ่งซึ่งลาออกจากบริษัทเพื่อไปทำงานกับบริษัทคู่แข่งแล้วใช้ประโยชน์จากความรู้ ในเรื่องข้อมูลราคาหรือความลับทางการค้าของบริษัทแรกไปให้บริษัทหลังก็อาจเรียกได้ว่าพนักงานคนนั้นไม่มีจริยธรรมเมื่อสังคมสลับซับซ้อนขึ้นมีการแบ่งหน้าที่กันออกเป็นหน้าที่ต่างๆจึงมีข้อกำหนดที่เรียกว่า“จรรยาวิชาชีพ
4.พรบ.ว่าด้วยการกระทำความผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์
พระราชบัญญัติ
ว่าด้วยการกระทำความผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์
พ.ศ. ๒๕๕๐
ภูมิพลอดุลยเดช ป.ร.
ให้ไว้ ณ วันที่ ๑๐ มิถุนายน พ.ศ. ๒๕๕๐
เป็นปีที่ ๖๒ ในรัชกาลปัจจุบัน
พระราชบัญญัติ ว่าด้วยการกระทําความผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ พ.ศ. 2550
พ.ร.บ.ฉบับนี้ประกาศในพระราชกิจจานุเบกษา เมื่อวันที่ 18 มิ.ย 2550 และมีผลบังคับใช้ ตั้งแต่วันที่ 18 ก.ค. 2550 ป็นต้นไป
ความผิดที่เข้าข่ายตาม พ.ร.บ ฉบับนี้
- การเข้าถึงระบบคอมพิวเตอร์ของผู้อื่นโดยมิชอบ
- การเปิดเผยข้อมูลมาตรการป้องกันการเข้าถึงระบบคอมพิวเตอร์ที่ผู้อื่นจัดทำขึ้นเป็นการเฉพาะ
- การดักรับข้อมูลคอมพิวเตอร์ของผู้อื่น
- การทำให้เสียหาย ทำลาย แก้ไข เปลี่ยนแปลงข้อมูลโดยมิชอบ
- การกระทำเพื่อใหการทำงานของระบบคอมพิวเตอร์ของผู้อื่นไม่สามารถทำงานได้ตามปกติ
- การส่งข้อมูลรบกวนการใช้ระบบคอมพิวเตอร์ของผู้อื่น
- การจำหน่ายชุดคำสั่งที่จัดทำขึ้นเพื่อนำไปเป็นเครื่องมือในการกระทำผิด
- การใช้ระบบคอมพิวเตอร์ทำความผิดอื่น
- การตกแต่งข้อมูลคอมพิวเตอร์ที่เป็นภาพของบุคคล

นางสาวนิลวรรณ เยาวลักษณื
สาขาอุตสาหกรรมศิลป์
54191700214

ไม่ระบุชื่อ กล่าวว่า...

จรรยาบรรณการใช้ ICT
1. ต้องไม่ใช้คอมพิวเตอร์ทำร้ายหรือละเมิดผู้อื่น
2. ต้องไม่รบกวนการทำงานของผู้อื่น
3. ต้องไม่สอดแนมหรือแก้ไขเปิดดูในแฟ้มของผู้อื่น
4. ต้องไม่ใช้คอมพิวเตอร์เพื่อการโจรกรรมข้อมูลข่าวสาร
5. ต้องไม่ใช้คอมพิวเตอร์สร้างหลักฐานที่เป็นเท็จ
6. ต้องไม่คัดลอกโปรแกรมผู้อื่นที่มีลิขสิทธิ์
7. ต้องไม่ละเมิดการใช้ทรัพยากรคอมพิวเตอร์โดยที่ตนเองไม่มีสิทธิ์
8. ต้องไม่นำเอาผลงานของผู้อื่นมาเป็นของตน
9. ต้องคำนึงถึงสิ่งที่จะเกิดขึ้นกับสังคมอันติดตามมาจากการกระทำ
10.ต้องใช้คอมพิวเตอร์โดยเคารพกฎระเบียบ กติกามารยาท
ไวรัสคอมพิวเตอร์ คือ ชื่อเรียกสำหรับโปรแกรมประเภทหนึ่งที่มีพฤติกรรมคล้ายๆ กับไวรัสที่เป็นเชื้อโรค ที่สามารถแพร่เชื้อได้และมักทำอันตรายต่อสิ่งมีชีวิตที่มันอาศัยอยู่ แต่ต่างกันตรงที่ว่าคอมพิวเตอร์ไวรัสเป็นแค่เพียงโปรแกรมเท่านั้น ไม่ใช่สิ่งมีชีวิต

การป้องกันไวรัส
1.สำรองไฟล์ข้อมูลที่สำคัญ
2.สำหรับเครื่องที่มีฮาร์ดดิสก์ อย่าเรียกดอสจากฟลอปปีดิสก์
3.ป้องกันการเขียนให้กับฟลอปปีดิสก์
4.อย่าเรียกโปรแกรมที่ติดมากับดิสก์อื่น
5.เสาะหาโปรแกรมตรวจหาไวรัสที่ใหม่และมากกว่าหนึ่งโปรแกรมจากคนละบริษัท
6.เรียกใช้โปรแกรมตรวจหาไวรัสเป็นช่วงๆ
7. เรียกใช้โปรแกรมตรวจจับไวรัสแบบเฝ้าดูทุกครั้ง
8. เลือกคัดลอกซอฟแวร์เฉพาะที่ถูกตรวจสอบแล้วในบีบีเอส
9. สำรองข้อมูลที่สำคัญของฮาร์ดิสก์ไปเก็บในฟลอปปีดิสก์
10. เตรียมฟลอปปีดิสก์ที่ไว้สำหรับให้เรียกดอสก์ขึ้นมาทำงานได้
11. เมื่อเครื่องติดไวรัส ให้พยายามหาที่มาของไวรัสนั้น
พรบ.ว่าด้วยการกระทำความผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์
(มาตรา 5 ) แฮกเกอร์ที่เจาะเข้าระบบคอมพิวเตอร์ที่มีมาตรการป้องกันการเข้าถึง จำคุกไม่เกินหกเดือนหรือปรับไม่เกินหนึ่งหมื่นบาทหรือทั้งจำทั้งปรับ
(มาตรา 7) แฮกเกอร์ที่เจาะเข้าระบบและได้เข้าไปดูข้อมูลของผู้อื่นจำคุกไม่เกินสองปีหรือปรับไม่เกินสี่หมื่นบาทหรือทั้งจำทั้งปรับ
(มาตรา 8) ผู้ที่ชอบดักรับข้อมูลของผู้อื่นระหว่างการส่งข้อมูลในระบบคอมพิวเตอร์ จำคุกไม่เกินสามปีหรือปรับไม่เกินหกหมื่นบาทหรือทั้งจำทั้งปรับ
(มาตรา 9,10 และ 12) ผู้ที่ทำการปลอมแปลง ทำลาย แก้ไขข้อมูลคอมพิวเตอร์ของผู้อื่น หรือทำการใดๆ ที่ไประงับ ชะลอ ขัดขวาง หรือรบกวนการทำงานระบบคอมพิวเตอร์ของผู้อื่น จำคุกสูงสุดยี่สิบปี
(มาตรา 11 ) ผู้ที่ส่งอีเมล์ปกปิดหรือปลอมแปลงแหล่งที่มา เช่น สแปมเมล์ (spam mail ) ทำให้รบกวนการใช้งานระบบคอมพิวเตอร์ของผู้อื่น ปรับไม่เกินหนึ่งแสนบาท
(มาตรา 14) ผู้ที่นำเข้าข้อมูลที่ไม่เหมาะสมเข้าไปในระบบคอมพิวเตอร์ซึ่งคนอื่นสามารถเข้าไปดูข้อมูลนั้นได้ เช่นข้อมูลอันเป็นเท็จที่ส่งผลกระทบต่อความมั่นคงของประเทศ ก่อให้เกิดความตื่นตระหนกแก่ประชาชน หรือทำให้ผู้อื่นเสียหาย ข้อมูลความผิดเกี่ยวกับการก่อการร้าย ข้อมูลลามกอนาจาร หรือผู้ที่เผยแพร่หรือส่งต่อข้อมูลเหล่านี้ ไม่ว่าจะเป็นทางเครื่องคอมพิวเตอร์ พีดีเอ โทรศัพท์มือถือ หรือระบบคอมพิวเตอร์อื่นๆ จำคุกไม่เกินห้าปีหรือปรับไม่เกินหนึ่งแสนบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ
(มาตรา 16) ผู้ที่นำเข้าภาพตัดต่อ ภาพดัดแปลงด้วยวิธีการใดๆ ของบุคคลอื่นเข้าไปในระบบคอมพิวเตอร์โดยมีเจตนาให้ผู้นั้นเสียชื่อเสียง ถูกดูหมิ่น ถูกเกลียดชัง หรือได้รับความอับอาย จำคุกไม่เกินสามปี หรือปรับไม่เกินหกหมื่นบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ
(มาตรา 26) ผู้ให้บริการ เช่น อินเตอร์เน็ตคาเฟ่ ผู้ให้บริการสัญญาณอินเตอร์เน็ต กลุ่มผู้ประกอบการอีคอม
เมิร์ช รวมถึงมหาวิทยาลัย ต้องเก็บข้อมูลการเข้าใช้งานระบบคอมพิวเตอร์ของผู้ใช้บริการไม่น้อยกว่าเก้าสิบวัน เพื่อใช้ติดตามผู้กระทำความผิดมาลงโทษ หากผู้ให้บริการไม่ปฏิบัติตามนี้ ปรับสูงสุดถึงห้าแสนบาท

นางสาวนิลวรรณ เยาวลักษณ์
สาขาอุตสาหกรรมศิลป์ หมู่ 2
54191700214

ไม่ระบุชื่อ กล่าวว่า...

ไวรัสคอมพิวเตอร์ คือ ชื่อเรียกสำหรับโปรแกรมประเภทหนึ่งที่มีพฤติกรรมคล้ายๆ กับไวรัสที่เป็นเชื้อโรค ที่สามารถแพร่เชื้อได้และมักทำอันตรายต่อสิ่งมีชีวิตที่มันอาศัยอยู่ แต่ต่างกันตรงที่ว่าคอมพิวเตอร์ไวรัสเป็นแค่เพียงโปรแกรมเท่านั้น ไม่ใช่สิ่งมีชีวิต

การป้องกันไวรัส
1.สำรองไฟล์ข้อมูลที่สำคัญ
2.สำหรับเครื่องที่มีฮาร์ดดิสก์ อย่าเรียกดอสจากฟลอปปีดิสก์
3.ป้องกันการเขียนให้กับฟลอปปีดิสก์
4.อย่าเรียกโปรแกรมที่ติดมากับดิสก์อื่น
5.เสาะหาโปรแกรมตรวจหาไวรัสที่ใหม่และมากกว่าหนึ่งโปรแกรมจากคนละบริษัท
6.เรียกใช้โปรแกรมตรวจหาไวรัสเป็นช่วงๆ
7. เรียกใช้โปรแกรมตรวจจับไวรัสแบบเฝ้าดูทุกครั้ง
8. เลือกคัดลอกซอฟแวร์เฉพาะที่ถูกตรวจสอบแล้วในบีบีเอส
9. สำรองข้อมูลที่สำคัญของฮาร์ดิสก์ไปเก็บในฟลอปปีดิสก์
10. เตรียมฟลอปปีดิสก์ที่ไว้สำหรับให้เรียกดอสก์ขึ้นมาทำงานได้
11. เมื่อเครื่องติดไวรัส ให้พยายามหาที่มาของไวรัสนั้น

จริยธรรมในการใช้ ICT
1.ไม่ใช้คอมพิวเตอร์ทำร้ายผู้อื่น
2.ไม่รบกวนจนงานคอมพิวเตอร์ของผู้อื่น
3. ไม่แอบดูแฟ้มข้อมูลของผู้อื่น
4. ไม่ใช้คอมพิวเตอร์เพื่อลักขโมย
5.ไม่ใช้คอมพิวเตอร์เพื่อเป็นพยานเท็จ
6.ไม่ใช้หรือทำสำเนาซอฟต์แวร์ที่ตนไม่ได้ซื้อสิทธิ์
7.ไม่ใช้คอมพิวเตอร์ของผู้อื่นโดยไม่มีอำนาจหน้าที่
8. ไม่ฉวยเอาทรัพย์ทางปัญญาของผู้อื่นมาเป็นของตน
9. คิดถึงผลต่อเนื่องทางสังคมของโปรแกรมที่เขียน
10. ใช้คอมพิวเตอร์ในทางที่แสดงถึงความใคร่ครวญและเคารพจรรยาวิชาชีพของสมาชิกสมาคมเครื่องจักรกลคอมพิวเตอร์

พรบ.ว่าด้วยการกระทำความผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์
(มาตรา 5 ) แฮกเกอร์ที่เจาะเข้าระบบคอมพิวเตอร์ที่มีมาตรการป้องกันการเข้าถึง จำคุกไม่เกินหกเดือนหรือปรับไม่เกินหนึ่งหมื่นบาทหรือทั้งจำทั้งปรับ
(มาตรา 7) แฮกเกอร์ที่เจาะเข้าระบบและได้เข้าไปดูข้อมูลของผู้อื่นจำคุกไม่เกินสองปีหรือปรับไม่เกินสี่หมื่นบาทหรือทั้งจำทั้งปรับ
(มาตรา 8) ผู้ที่ชอบดักรับข้อมูลของผู้อื่นระหว่างการส่งข้อมูลในระบบคอมพิวเตอร์ จำคุกไม่เกินสามปีหรือปรับไม่เกินหกหมื่นบาทหรือทั้งจำทั้งปรับ
(มาตรา 9,10 และ 12) ผู้ที่ทำการปลอมแปลง ทำลาย แก้ไขข้อมูลคอมพิวเตอร์ของผู้อื่น หรือทำการใดๆ ที่ไประงับ ชะลอ ขัดขวาง หรือรบกวนการทำงานระบบคอมพิวเตอร์ของผู้อื่น จำคุกสูงสุดยี่สิบปี
(มาตรา 11 ) ผู้ที่ส่งอีเมล์ปกปิดหรือปลอมแปลงแหล่งที่มา เช่น สแปมเมล์ (spam mail ) ทำให้รบกวนการใช้งานระบบคอมพิวเตอร์ของผู้อื่น ปรับไม่เกินหนึ่งแสนบาท
(มาตรา 14) ผู้ที่นำเข้าข้อมูลที่ไม่เหมาะสมเข้าไปในระบบคอมพิวเตอร์ซึ่งคนอื่นสามารถเข้าไปดูข้อมูลนั้นได้ เช่นข้อมูลอันเป็นเท็จที่ส่งผลกระทบต่อความมั่นคงของประเทศ ก่อให้เกิดความตื่นตระหนกแก่ประชาชน หรือทำให้ผู้อื่นเสียหาย ข้อมูลความผิดเกี่ยวกับการก่อการร้าย ข้อมูลลามกอนาจาร หรือผู้ที่เผยแพร่หรือส่งต่อข้อมูลเหล่านี้ ไม่ว่าจะเป็นทางเครื่องคอมพิวเตอร์ พีดีเอ โทรศัพท์มือถือ หรือระบบคอมพิวเตอร์อื่นๆ จำคุกไม่เกินห้าปีหรือปรับไม่เกินหนึ่งแสนบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ
(มาตรา 16) ผู้ที่นำเข้าภาพตัดต่อ ภาพดัดแปลงด้วยวิธีการใดๆ ของบุคคลอื่นเข้าไปในระบบคอมพิวเตอร์โดยมีเจตนาให้ผู้นั้นเสียชื่อเสียง ถูกดูหมิ่น ถูกเกลียดชัง หรือได้รับความอับอาย จำคุกไม่เกินสามปี หรือปรับไม่เกินหกหมื่นบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ
(มาตรา 26) ผู้ให้บริการ เช่น อินเตอร์เน็ตคาเฟ่ ผู้ให้บริการสัญญาณอินเตอร์เน็ต กลุ่มผู้ประกอบการอีคอมเมิร์ช รวมถึงมหาวิทยาลัย ต้องเก็บข้อมูลการเข้าใช้งานระบบคอมพิวเตอร์ของผู้ใช้บริการไม่น้อยกว่าเก้าสิบวัน เพื่อใช้ติดตามผู้กระทำความผิดมาลงโทษ หากผู้ให้บริการไม่ปฏิบัติตามนี้ ปรับสูงสุดถึงห้าแสนบาท

นางสาวนิลวรรณ เยาลักษณ์
สาขาอุตสาหกรรมศิลป์ หมู่ 2
54191700214

Unknown กล่าวว่า...

ไวรัส
คือโปรแกรมชนิดหนึ่งที่มีความสามารถในการสำเนาตัวเองเข้าไปติดอยู่ในระบบคอมพิวเตอร์ได้และถ้ามีโอกาสก็สามารถแทรกเข้าไประบาดในระบบคอมพิวเตอร์อื่นๆซึ่งอาจเกิดจากการนำเอาดิสก์ที่ติดไวรัสจากเครื่องหนึ่งไปใช้อีกเครื่องหนึ่ง หรืออาจผ่านระบบเครือข่ายหรือระบบสื่อสารข้อมูลไวรัสก็อาจแพร่ระบาดได้เช่นกัน

การป้องกันไวรัส
-สำรองไฟล์ข้อมูลที่สำคัญ
-สำหรับเครื่องที่มีฮาร์ดดิสก์ อย่าเรียกดอสจากฟลอปปีดิสก์
-ป้องกันการเขียนให้กับฟลอปปีดิสก์
-อย่าเรียกโปรแกรมที่ติดมากับดิสก์อื่น
-เสาะหาโปรแกรมตรวจหาไวรัสที่ใหม่และมากกว่าหนึ่งโปรแกรมจากคนละบริษัท
-เรียกใช้โปรแกรมตรวจหาไวรัสเป็นช่วง ๆ
-เรียกใช้โปรแกรมตรวจจับไวรัสแบบเฝ้าดูทุกครั้ง
-เมื่อเครื่องติดไวรัส ให้พยายามหาที่มาของไวรัสนั้น

จรรยาบรรณการใช้ICT
1.ไม่ใช้คอมพิวเตอร์ทำร้ายผู้อื่น
2.ไม่รบกวนจนงานคอมพิวเตอร์ของผู้อื่น
3. ไม่แอบดูแฟ้มข้อมูลของผู้อื่น
4. ไม่ใช้คอมพิวเตอร์เพื่อลักขโมย
5.ไม่ใช้คอมพิวเตอร์เพื่อเป็นพยานเท็จ
6.ไม่ใช้หรือทำสำเนาซอฟต์แวร์ที่ตนไม่ได้ซื้อสิทธิ์
7.ไม่ใช้คอมพิวเตอร์ของผู้อื่นโดยไม่มีอำนาจหน้าที่
8. ไม่ฉวยเอาทรัพย์ทางปัญญาของผู้อื่นมาเป็นของตน
9.คิดถึงผลต่อเนื่องทางสังคมของโปรแกรมที่เขียน
10.ใช้คอมพิวเตอร์ในทางที่แสดงถึงความใคร่ครวญและเคารพจรรยาวิชาชีพของสมาชิกสมาคมเครื่องจักรกลคอมพิวเตอร์

พรบ.ว่าด้วยการกระทำผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ พ.ศ.2550
(มาตรา 5 ) แฮกเกอร์ที่เจาะเข้าระบบคอมพิวเตอร์ที่มีมาตรการป้องกันการเข้าถึง จำคุกไม่เกินหกเดือนหรือปรับไม่เกินหนึ่งหมื่นบาทหรือทั้งจำทั้งปรับ
(มาตรา 7) แฮกเกอร์ที่เจาะเข้าระบบและได้เข้าไปดูข้อมูลของผู้อื่นจำคุกไม่เกินสองปีหรือปรับไม่เกินสี่หมื่นบาทหรือทั้งจำทั้งปรับ
(มาตรา 8) ผู้ที่ชอบดักรับข้อมูลของผู้อื่นระหว่างการส่งข้อมูลในระบบคอมพิวเตอร์ จำคุกไม่เกินสามปีหรือปรับไม่เกินหกหมื่นบาทหรือทั้งจำทั้งปรับ
(มาตรา 9,10 และ 12) ผู้ที่ทำการปลอมแปลง ทำลาย แก้ไขข้อมูลคอมพิวเตอร์ของผู้อื่น หรือทำการใดๆ ที่ไประงับ ชะลอ ขัดขวาง หรือรบกวนการทำงานระบบคอมพิวเตอร์ของผู้อื่น จำคุกสูงสุดยี่สิบปี
(มาตรา 11 ) ผู้ที่ส่งอีเมล์ปกปิดหรือปลอมแปลงแหล่งที่มา เช่น สแปมเมล์ (spam mail ) ทำให้รบกวนการใช้งานระบบคอมพิวเตอร์ของผู้อื่น ปรับไม่เกินหนึ่งแสนบาท
(มาตรา 14) ผู้ที่นำเข้าข้อมูลที่ไม่เหมาะสมเข้าไปในระบบคอมพิวเตอร์ซึ่งคนอื่นสามารถเข้าไปดูข้อมูลนั้นได้ เช่นข้อมูลอันเป็นเท็จที่ส่งผลกระทบต่อความมั่นคงของประเทศ ก่อให้เกิดความตื่นตระหนกแก่ประชาชน หรือทำให้ผู้อื่นเสียหาย ข้อมูลความผิดเกี่ยวกับการก่อการร้าย ข้อมูลลามกอนาจาร หรือผู้ที่เผยแพร่หรือส่งต่อข้อมูลเหล่านี้ ไม่ว่าจะเป็นทางเครื่องคอมพิวเตอร์ พีดีเอ โทรศัพท์มือถือ หรือระบบคอมพิวเตอร์อื่นๆ จำคุกไม่เกินห้าปีหรือปรับไม่เกินหนึ่งแสนบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ
(มาตรา 16) ผู้ที่นำเข้าภาพตัดต่อ ภาพดัดแปลงด้วยวิธีการใดๆ ของบุคคลอื่นเข้าไปในระบบคอมพิวเตอร์โดยมีเจตนาให้ผู้นั้นเสียชื่อเสียง ถูกดูหมิ่น ถูกเกลียดชัง หรือได้รับความอับอาย จำคุกไม่เกินสามปี หรือปรับไม่เกินหกหมื่นบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ
(มาตรา 26) ผู้ให้บริการ เช่น อินเตอร์เน็ตคาเฟ่ ผู้ให้บริการสัญญาณอินเตอร์เน็ต กลุ่มผู้ประกอบการอีคอมเมิร์ช รวมถึงมหาวิทยาลัย ต้องเก็บข้อมูลการเข้าใช้งานระบบคอมพิวเตอร์ของผู้ใช้บริการไม่น้อยกว่าเก้าสิบวัน เพื่อใช้ติดตามผู้กระทำความผิดมาลงโทษ หากผู้ให้บริการไม่ปฏิบัติตามนี้ ปรับสูงสุดถึงห้าแสนบาท

นภสร ขบวนฉลาด 54191700211
สาขา อุตสาหกรรมศิลป์

Unknown กล่าวว่า...

ไวรัสคอมพิวเตอร์ คือ ชื่อเรียกสำหรับโปรแกรมประเภทหนึ่งที่มีพฤติกรรมคล้ายๆ กับไวรัสที่เป็นเชื้อโรค ที่สามารถแพร่เชื้อได้และมักทำอันตรายต่อสิ่งมีชีวิตที่มันอาศัยอยู่ แต่ต่างกันตรงที่ว่าคอมพิวเตอร์ไวรัสเป็นแค่เพียงโปรแกรมเท่านั้น ไม่ใช่สิ่งมีชีวิต

การป้องกันไวรัส
1.สำรองไฟล์ข้อมูลที่สำคัญ
2.สำหรับเครื่องที่มีฮาร์ดดิสก์ อย่าเรียกดอสจากฟลอปปีดิสก์
3.ป้องกันการเขียนให้กับฟลอปปีดิสก์
4.อย่าเรียกโปรแกรมที่ติดมากับดิสก์อื่น
5.เสาะหาโปรแกรมตรวจหาไวรัสที่ใหม่และมากกว่าหนึ่งโปรแกรมจากคนละบริษัท
6.เรียกใช้โปรแกรมตรวจหาไวรัสเป็นช่วงๆ
7. เรียกใช้โปรแกรมตรวจจับไวรัสแบบเฝ้าดูทุกครั้ง
8. เลือกคัดลอกซอฟแวร์เฉพาะที่ถูกตรวจสอบแล้วในบีบีเอส
9. สำรองข้อมูลที่สำคัญของฮาร์ดิสก์ไปเก็บในฟลอปปีดิสก์
10. เตรียมฟลอปปีดิสก์ที่ไว้สำหรับให้เรียกดอสก์ขึ้นมาทำงานได้
11. เมื่อเครื่องติดไวรัส ให้พยายามหาที่มาของไวรัสนั้น

จริยธรรมในการใช้ ICT
1.ไม่ใช้คอมพิวเตอร์ทำร้ายผู้อื่น
2.ไม่รบกวนจนงานคอมพิวเตอร์ของผู้อื่น
3. ไม่แอบดูแฟ้มข้อมูลของผู้อื่น
4. ไม่ใช้คอมพิวเตอร์เพื่อลักขโมย
5.ไม่ใช้คอมพิวเตอร์เพื่อเป็นพยานเท็จ
6.ไม่ใช้หรือทำสำเนาซอฟต์แวร์ที่ตนไม่ได้ซื้อสิทธิ์
7.ไม่ใช้คอมพิวเตอร์ของผู้อื่นโดยไม่มีอำนาจหน้าที่
8. ไม่ฉวยเอาทรัพย์ทางปัญญาของผู้อื่นมาเป็นของตน
9. คิดถึงผลต่อเนื่องทางสังคมของโปรแกรมที่เขียน
10. ใช้คอมพิวเตอร์ในทางที่แสดงถึงความใคร่ครวญและเคารพจรรยาวิชาชีพของสมาชิกสมาคมเครื่องจักรกลคอมพิวเตอร์

พรบ.ว่าด้วยการกระทำความผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์
(มาตรา 5 ) แฮกเกอร์ที่เจาะเข้าระบบคอมพิวเตอร์ที่มีมาตรการป้องกันการเข้าถึง จำคุกไม่เกินหกเดือนหรือปรับไม่เกินหนึ่งหมื่นบาทหรือทั้งจำทั้งปรับ
(มาตรา 7) แฮกเกอร์ที่เจาะเข้าระบบและได้เข้าไปดูข้อมูลของผู้อื่นจำคุกไม่เกินสองปีหรือปรับไม่เกินสี่หมื่นบาทหรือทั้งจำทั้งปรับ
(มาตรา 8) ผู้ที่ชอบดักรับข้อมูลของผู้อื่นระหว่างการส่งข้อมูลในระบบคอมพิวเตอร์ จำคุกไม่เกินสามปีหรือปรับไม่เกินหกหมื่นบาทหรือทั้งจำทั้งปรับ
(มาตรา 9,10 และ 12) ผู้ที่ทำการปลอมแปลง ทำลาย แก้ไขข้อมูลคอมพิวเตอร์ของผู้อื่น หรือทำการใดๆ ที่ไประงับ ชะลอ ขัดขวาง หรือรบกวนการทำงานระบบคอมพิวเตอร์ของผู้อื่น จำคุกสูงสุดยี่สิบปี
(มาตรา 11 ) ผู้ที่ส่งอีเมล์ปกปิดหรือปลอมแปลงแหล่งที่มา เช่น สแปมเมล์ (spam mail ) ทำให้รบกวนการใช้งานระบบคอมพิวเตอร์ของผู้อื่น ปรับไม่เกินหนึ่งแสนบาท
(มาตรา 14) ผู้ที่นำเข้าข้อมูลที่ไม่เหมาะสมเข้าไปในระบบคอมพิวเตอร์ซึ่งคนอื่นสามารถเข้าไปดูข้อมูลนั้นได้ เช่นข้อมูลอันเป็นเท็จที่ส่งผลกระทบต่อความมั่นคงของประเทศ ก่อให้เกิดความตื่นตระหนกแก่ประชาชน หรือทำให้ผู้อื่นเสียหาย ข้อมูลความผิดเกี่ยวกับการก่อการร้าย ข้อมูลลามกอนาจาร หรือผู้ที่เผยแพร่หรือส่งต่อข้อมูลเหล่านี้ ไม่ว่าจะเป็นทางเครื่องคอมพิวเตอร์ พีดีเอ โทรศัพท์มือถือ หรือระบบคอมพิวเตอร์อื่นๆ จำคุกไม่เกินห้าปีหรือปรับไม่เกินหนึ่งแสนบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ
(มาตรา 16) ผู้ที่นำเข้าภาพตัดต่อ ภาพดัดแปลงด้วยวิธีการใดๆ ของบุคคลอื่นเข้าไปในระบบคอมพิวเตอร์โดยมีเจตนาให้ผู้นั้นเสียชื่อเสียง ถูกดูหมิ่น ถูกเกลียดชัง หรือได้รับความอับอาย จำคุกไม่เกินสามปี หรือปรับไม่เกินหกหมื่นบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ
(มาตรา 26) ผู้ให้บริการ เช่น อินเตอร์เน็ตคาเฟ่ ผู้ให้บริการสัญญาณอินเตอร์เน็ต กลุ่มผู้ประกอบการอีคอมเมิร์ช รวมถึงมหาวิทยาลัย ต้องเก็บข้อมูลการเข้าใช้งานระบบคอมพิวเตอร์ของผู้ใช้บริการไม่น้อยกว่าเก้าสิบวัน เพื่อใช้ติดตามผู้กระทำความผิดมาลงโทษ หากผู้ให้บริการไม่ปฏิบัติตามนี้ ปรับสูงสุดถึงห้าแสนบาท

นางสาวกวินนา พันธ์พงษ์ 55191010101
สาขาภาษาไทย ระดับ ค.บ. 5/2

Unknown กล่าวว่า...

ไวรัสคอมพิวเตอร์ คือ ชื่อเรียกสำหรับโปรแกรมประเภทหนึ่งที่มีพฤติกรรมคล้ายๆ กับไวรัสที่เป็นเชื้อโรค ที่สามารถแพร่เชื้อได้และมักทำอันตรายต่อสิ่งมีชีวิตที่มันอาศัยอยู่ แต่ต่างกันตรงที่ว่าคอมพิวเตอร์ไวรัสเป็นแค่เพียงโปรแกรมเท่านั้น ไม่ใช่สิ่งมีชีวิต

การป้องกันไวรัส
1.สำรองไฟล์ข้อมูลที่สำคัญ
2.สำหรับเครื่องที่มีฮาร์ดดิสก์ อย่าเรียกดอสจากฟลอปปีดิสก์
3.ป้องกันการเขียนให้กับฟลอปปีดิสก์
4.อย่าเรียกโปรแกรมที่ติดมากับดิสก์อื่น
5.เสาะหาโปรแกรมตรวจหาไวรัสที่ใหม่และมากกว่าหนึ่งโปรแกรมจากคนละบริษัท
6.เรียกใช้โปรแกรมตรวจหาไวรัสเป็นช่วงๆ
7. เรียกใช้โปรแกรมตรวจจับไวรัสแบบเฝ้าดูทุกครั้ง
8. เลือกคัดลอกซอฟแวร์เฉพาะที่ถูกตรวจสอบแล้วในบีบีเอส
9. สำรองข้อมูลที่สำคัญของฮาร์ดิสก์ไปเก็บในฟลอปปีดิสก์
10. เตรียมฟลอปปีดิสก์ที่ไว้สำหรับให้เรียกดอสก์ขึ้นมาทำงานได้
11. เมื่อเครื่องติดไวรัส ให้พยายามหาที่มาของไวรัสนั้น

จริยธรรมในการใช้ ICT
1.ไม่ใช้คอมพิวเตอร์ทำร้ายผู้อื่น
2.ไม่รบกวนจนงานคอมพิวเตอร์ของผู้อื่น
3. ไม่แอบดูแฟ้มข้อมูลของผู้อื่น
4. ไม่ใช้คอมพิวเตอร์เพื่อลักขโมย
5.ไม่ใช้คอมพิวเตอร์เพื่อเป็นพยานเท็จ
6.ไม่ใช้หรือทำสำเนาซอฟต์แวร์ที่ตนไม่ได้ซื้อสิทธิ์
7.ไม่ใช้คอมพิวเตอร์ของผู้อื่นโดยไม่มีอำนาจหน้าที่
8. ไม่ฉวยเอาทรัพย์ทางปัญญาของผู้อื่นมาเป็นของตน
9. คิดถึงผลต่อเนื่องทางสังคมของโปรแกรมที่เขียน
10. ใช้คอมพิวเตอร์ในทางที่แสดงถึงความใคร่ครวญและเคารพจรรยาวิชาชีพของสมาชิกสมาคมเครื่องจักรกลคอมพิวเตอร์

พรบ.ว่าด้วยการกระทำความผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์
(มาตรา 5 ) แฮกเกอร์ที่เจาะเข้าระบบคอมพิวเตอร์ที่มีมาตรการป้องกันการเข้าถึง จำคุกไม่เกินหกเดือนหรือปรับไม่เกินหนึ่งหมื่นบาทหรือทั้งจำทั้งปรับ
(มาตรา 7) แฮกเกอร์ที่เจาะเข้าระบบและได้เข้าไปดูข้อมูลของผู้อื่นจำคุกไม่เกินสองปีหรือปรับไม่เกินสี่หมื่นบาทหรือทั้งจำทั้งปรับ
(มาตรา 8) ผู้ที่ชอบดักรับข้อมูลของผู้อื่นระหว่างการส่งข้อมูลในระบบคอมพิวเตอร์ จำคุกไม่เกินสามปีหรือปรับไม่เกินหกหมื่นบาทหรือทั้งจำทั้งปรับ
(มาตรา 9,10 และ 12) ผู้ที่ทำการปลอมแปลง ทำลาย แก้ไขข้อมูลคอมพิวเตอร์ของผู้อื่น หรือทำการใดๆ ที่ไประงับ ชะลอ ขัดขวาง หรือรบกวนการทำงานระบบคอมพิวเตอร์ของผู้อื่น จำคุกสูงสุดยี่สิบปี
(มาตรา 11 ) ผู้ที่ส่งอีเมล์ปกปิดหรือปลอมแปลงแหล่งที่มา เช่น สแปมเมล์ (spam mail ) ทำให้รบกวนการใช้งานระบบคอมพิวเตอร์ของผู้อื่น ปรับไม่เกินหนึ่งแสนบาท
(มาตรา 14) ผู้ที่นำเข้าข้อมูลที่ไม่เหมาะสมเข้าไปในระบบคอมพิวเตอร์ซึ่งคนอื่นสามารถเข้าไปดูข้อมูลนั้นได้ เช่นข้อมูลอันเป็นเท็จที่ส่งผลกระทบต่อความมั่นคงของประเทศ ก่อให้เกิดความตื่นตระหนกแก่ประชาชน หรือทำให้ผู้อื่นเสียหาย ข้อมูลความผิดเกี่ยวกับการก่อการร้าย ข้อมูลลามกอนาจาร หรือผู้ที่เผยแพร่หรือส่งต่อข้อมูลเหล่านี้ ไม่ว่าจะเป็นทางเครื่องคอมพิวเตอร์ พีดีเอ โทรศัพท์มือถือ หรือระบบคอมพิวเตอร์อื่นๆ จำคุกไม่เกินห้าปีหรือปรับไม่เกินหนึ่งแสนบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ
(มาตรา 16) ผู้ที่นำเข้าภาพตัดต่อ ภาพดัดแปลงด้วยวิธีการใดๆ ของบุคคลอื่นเข้าไปในระบบคอมพิวเตอร์โดยมีเจตนาให้ผู้นั้นเสียชื่อเสียง ถูกดูหมิ่น ถูกเกลียดชัง หรือได้รับความอับอาย จำคุกไม่เกินสามปี หรือปรับไม่เกินหกหมื่นบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ
(มาตรา 26) ผู้ให้บริการ เช่น อินเตอร์เน็ตคาเฟ่ ผู้ให้บริการสัญญาณอินเตอร์เน็ต กลุ่มผู้ประกอบการอีคอมเมิร์ช รวมถึงมหาวิทยาลัย ต้องเก็บข้อมูลการเข้าใช้งานระบบคอมพิวเตอร์ของผู้ใช้บริการไม่น้อยกว่าเก้าสิบวัน เพื่อใช้ติดตามผู้กระทำความผิดมาลงโทษ หากผู้ให้บริการไม่ปฏิบัติตามนี้ ปรับสูงสุดถึงห้าแสนบาท

นางสาวสายฝน ไหมทอง
54191700234
สาขาอุตสาหกรรมศิลป์และเทคโนโลยี

Unknown กล่าวว่า...

ไวรัสคอมพิวเตอร์
ไวรัสคอมพิวเตอร์ เป็นโปรแกรมพิเศษชนิดหนึ่งที่เขียนขึ้นมาเพื่อให้จัดการกับตัวมันเอง โดยมีลักษณะเลียบแบบสิ่งมีชีวิต คือ เจริญเติบโตเองได้ ขยายและแพร่กระจายเองได้ สามารถอยู่รอดได้ โปรแกรมนี้เข้าไปอยู่ในระบบคอมพิวเตอร์ได้ โดยผ่านทาง
- แผ่นฟลอปปีดิสก์
- เครือข่ายคอมพิวเตอร์
จากการที่ไวรัสคอมพิวเตอร์ ทำงานได้ด้วยเงื่อนไขลักษณะใดลักษณะหนึ่งหลายลักษณะ จึงทำให้ผู้ใช้ไม่รู้ว่าเครื่องคอมพิวเตอร์ของตนติดไวรัสหรือไม่ พอเปิดเครื่องใช้ก็อาจพบว่าระบบคอมพิวเตอร์ของตนถูกไวรัสทำลายเสียแล้ว ไวรัสบางตัวไม่เพียงทำลาย ลบ ล้าง ย้ายข้อมูลของเรา โดยไม่ได้รับอนุญาตเท่านั้น แต่ยังสามารถทำลายโปรแกรมอื่น ๆได้อีกด้วยโดยสังเกตได้จากการที่หน้าจอแสดงผลโดยอาการแปลก ๆ
การป้องกันไวรัสคอมพิวเตอร์
มีเทคนิคอยู่มากมายหลายวิธี ดังนี้
-ทุกครั้งที่นำซอฟแวร์ที่ไม่ทราบแหล่งที่ผลิต หรือได้รับแจกฟรี ต้องตรวจสอบให้แน่ใจก่อนนำไปใช้
-ควรตรวจสอบทั้งฮาร์ดแวร์และซอฟแวร์อย่างสม่ำเสมอ อย่างน้อยวันละ 1 ครั้ง
- เตรียมแผ่นที่สะอาดไว้สำหรับบูตเครื่องเมื่อคราวจำเป็น
- ควรสำรองข้อมูลไว้เสมอ
- พยายามสังเกตุสิ่งผิดปกติที่เกิดขึ้นกับเครื่องอย่างสม่ำเสมอ เช่น การทำงานที่ช้าลง ขนาดไฟล์ หน้าจอแสดงผลแปลก ๆ ไดรฟ์มีเสียงผิดปกติ
-ไม่นำแผ่นดิสก์ไปใช้กับเครื่องคอมพิวเตอร์อื่น ๆ ถ้ายังไม่ได้ปิดแถบป้องกันการบันทึก (Write Protect )
- ควรแยกแผ่นโปรแกรม และแผ่นข้อมูลออกจากกันโดยเด็ดขาด
-ไม่อนุญาตให้คนอื่นมาเล่นเครื่องคอมพิวเตอร์ของท่าน โดยปราศจากการควบคุมอย่างใกล้ชิด
-ควรมีโปรแกรมป้องกันไวรัสไว้ใช้ตรวจสอบและป้องกัน โดยเฉพาะโปรแกรมป้องกันไวรัสรุ่นใหม่ ๆ จะมีประสิทธิภาพในการป้องกันได้ดีขึ้นมาก ในที่นี้จะขอแนะนำโปรแกรม SCAN ของบริษัท McAfee Associates รุ่น V.2.5.1 หรือ Norton Antivirus
จรรยาบรรณในการใช้คอมพิวเตอร์
1.ไม่ใช้คอมพิวเตอร์ทำร้ายผู้อื่น
2.ไม่รบกวนจนงานคอมพิวเตอร์ของผู้อื่น
3. ไม่แอบดูแฟ้มข้อมูลของผู้อื่น
4.ไม่ใช้คอมพิวเตอร์เพื่อลักขโมย
5.ไม่ใช้คอมพิวเตอร์เพื่อเป็นพยานเท็จ
6. ไม่ใช้หรือทำสำเนาซอฟต์แวร์ที่ตนไม่ได้ซื้อสิทธิ์
7.ไม่ใช้คอมพิวเตอร์ของผู้อื่นโดยไม่มีอำนาจหน้าที่
8.ไม่ฉวยเอาทรัพย์ทางปัญญาของผู้อื่นมาเป็นของตน
9.คิดถึงผลต่อเนื่องทางสังคมของโปรแกรมที่เขียน
10.ใช้คอมพิวเตอร์ในทางที่แสดงถึงความใคร่ครวญและเคารพจรรยาวิชาชีพของสมาชิกสมาคมเครื่องจักรกลคอมพิวเตอร์
พรบ.ว่าด้วยการกระทำความผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ พ.ศ.2550
สรุปมาตราที่ควรทราบ

(มาตรา 5 ) แฮกเกอร์ที่เจาะเข้าระบบคอมพิวเตอร์ที่มีมาตรการป้องกันการเข้าถึง จำคุกไม่เกินหกเดือนหรือปรับไม่เกินหนึ่งหมื่นบาทหรือทั้งจำทั้งปรับ
(มาตรา 7) แฮกเกอร์ที่เจาะเข้าระบบและได้เข้าไปดูข้อมูลของผู้อื่นจำคุกไม่เกินสองปีหรือปรับไม่เกินสี่หมื่นบาทหรือทั้งจำทั้งปรับ
(มาตรา 8) ผู้ที่ชอบดักรับข้อมูลของผู้อื่นระหว่างการส่งข้อมูลในระบบคอมพิวเตอร์ จำคุกไม่เกินสามปีหรือปรับไม่เกินหกหมื่นบาทหรือทั้งจำทั้งปรับ
(มาตรา 9,10 และ 12) ผู้ที่ทำการปลอมแปลง ทำลาย แก้ไขข้อมูลคอมพิวเตอร์ของผู้อื่น หรือทำการใดๆ ที่ไประงับ ชะลอ ขัดขวาง หรือรบกวนการทำงานระบบคอมพิวเตอร์ของผู้อื่น จำคุกสูงสุดยี่สิบปี
(มาตรา 11 ) ผู้ที่ส่งอีเมล์ปกปิดหรือปลอมแปลงแหล่งที่มา เช่น สแปมเมล์ (spam mail ) ทำให้รบกวนการใช้งานระบบคอมพิวเตอร์ของผู้อื่น ปรับไม่เกินหนึ่งแสนบาท
(มาตรา 14) ผู้ที่นำเข้าข้อมูลที่ไม่เหมาะสมเข้าไปในระบบคอมพิวเตอร์ซึ่งคนอื่นสามารถเข้าไปดูข้อมูลนั้นได้ เช่นข้อมูลอันเป็นเท็จที่ส่งผลกระทบต่อความมั่นคงของประเทศ ก่อให้เกิดความตื่นตระหนกแก่ประชาชน หรือทำให้ผู้อื่นเสียหาย ข้อมูลความผิดเกี่ยวกับการก่อการร้าย ข้อมูลลามกอนาจาร หรือผู้ที่เผยแพร่หรือส่งต่อข้อมูลเหล่านี้ ไม่ว่าจะเป็นทางเครื่องคอมพิวเตอร์ พีดีเอ โทรศัพท์มือถือ หรือระบบคอมพิวเตอร์อื่นๆ จำคุกไม่เกินห้าปีหรือปรับไม่เกินหนึ่งแสนบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ
(มาตรา 16) ผู้ที่นำเข้าภาพตัดต่อ ภาพดัดแปลงด้วยวิธีการใดๆ ของบุคคลอื่นเข้าไปในระบบคอมพิวเตอร์โดยมีเจตนาให้ผู้นั้นเสียชื่อเสียง ถูกดูหมิ่น ถูกเกลียดชัง หรือได้รับความอับอาย จำคุกไม่เกินสามปี หรือปรับไม่เกินหกหมื่นบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ
(มาตรา 26) ผู้ให้บริการ เช่น อินเตอร์เน็ตคาเฟ่ ผู้ให้บริการสัญญาณอินเตอร์เน็ต กลุ่มผู้ประกอบการอีคอมเมิร์ช รวมถึงมหาวิทยาลัย ต้องเก็บข้อมูลการเข้าใช้งานระบบคอมพิวเตอร์ของผู้ใช้บริการไม่น้อยกว่าเก้าสิบวัน เพื่อใช้ติดตามผู้กระทำความผิดมาลงโทษ หากผู้ให้บริการไม่ปฏิบัติตามนี้ ปรับสูงสุดถึงห้าแสนบาท

นางสาวสุนิษา จูงงาม
รหัส 54191700239
สาขา:อุตสาหกรรมศิลป์และเทคโนดลยี หมู่2

Unknown กล่าวว่า...

ไวรัสคอมพิวเตอร์เป็นชื่อเรียกสำหรับโปรแกรมประเภทหนึ่งที่มีพฤติกรรมคล้ายๆ กับไวรัสที่เป็นเชื้อโรค ที่สามารถแพร่เชื้อได้และมักทำอันตรายต่อสิ่งมีชีวิตที่มันอาศัยอยู่ แต่ต่างกันตรงที่ว่าคอมพิวเตอร์ไวรัสเป็นแค่เพียงโปรแกรมเท่านั้น ไม่ใช่สิ่งมีชีวิต

การป้องกันไวรัส
1.สำรองไฟล์ข้อมูลที่สำคัญ
2.สำหรับเครื่องที่มีฮาร์ดดิสก์ อย่าเรียกดอสจากฟลอปปีดิสก์
3.ป้องกันการเขียนให้กับฟลอปปีดิสก์
4.อย่าเรียกโปรแกรมที่ติดมากับดิสก์อื่น
5.เสาะหาโปรแกรมตรวจหาไวรัสที่ใหม่และมากกว่าหนึ่งโปรแกรมจากคนละบริษัท
6.เรียกใช้โปรแกรมตรวจหาไวรัสเป็นช่วงๆ
7. เรียกใช้โปรแกรมตรวจจับไวรัสแบบเฝ้าดูทุกครั้ง
8. เลือกคัดลอกซอฟแวร์เฉพาะที่ถูกตรวจสอบแล้วในบีบีเอส
9. สำรองข้อมูลที่สำคัญของฮาร์ดิสก์ไปเก็บในฟลอปปีดิสก์
10. เตรียมฟลอปปีดิสก์ที่ไว้สำหรับให้เรียกดอสก์ขึ้นมาทำงานได้
11. เมื่อเครื่องติดไวรัส ให้พยายามหาที่มาของไวรัสนั้น

จริยธรรมในการใช้ ICT
ต้องให้ความร่วมมือจากทุกๆฝ่าย ไม่ว่าจะจากทางภาครัฐ ภาคเอกชน ตัวบุคคลที่ใช้เทคโนโลยีสื่อสารและ ผู้ปกครองจะต้องดูแลบุตรหลานตัวเองในการใช้เทคโนโลยีการสื่อสารที่อยู่ในยุคไร้พรมแดนนี้ การสร้างจิตสำนึกต่อตนเองให้กับเด็กเยาวชนตั้งแต่ยังเล็กๆ และให้เด็กรู้ถึงโทษ ถึงปัญหา ให้เด็กรู้จักเลือกใช้โปรแกรมในทางที่ก่อให้เกิดประโยชน์แก่ตนเอง ก็น่าจะเป็นทางป้องกันที่ดีต่อปัญหาเหล่านี้ได้ ทั้งนี้เพราะโปรแกรมประเภทนี้ ไม่ว่าจะเป็น Camfrog , MSN , ICQ , Yahoo ล้วนแต่เป็นโปรแกรมการสื่อสาร ที่มีทั้งคุณและโทษในการใช้ ข้อดีของโปรแกรมเหล่านี้ก็คือจะช่วยสร้างให้เกิดความรวดเร็วในการสื่อสารมากขึ้น สามารถสื่อสารได้ทั้งทางสายตา เสียงพูด และมองเห็นหน้ากันได้ ส่วนข้อเสียส่วนใหญ่แล้วมักจะเกิดจากการใช้งานไปในทางที่ไม่ถูกไม่ควร ซึ่งตรงนี้ก็อยู่ที่ตัวของบุคคลแต่ละบุคคลในการที่จะเลือกทำเลือกใช้และเลือกที่จะนำสิ่งนั้นมาก่อให้เกิดประโยชน์ต่อตนเองค่ะ

พรบ.ว่าด้วยการกระทำความผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์
(มาตรา 5 ) แฮกเกอร์ที่เจาะเข้าระบบคอมพิวเตอร์ที่มีมาตรการป้องกันการเข้าถึง จำคุกไม่เกินหกเดือนหรือปรับไม่เกินหนึ่งหมื่นบาทหรือทั้งจำทั้งปรับ
(มาตรา 7) แฮกเกอร์ที่เจาะเข้าระบบและได้เข้าไปดูข้อมูลของผู้อื่นจำคุกไม่เกินสองปีหรือปรับไม่เกินสี่หมื่นบาทหรือทั้งจำทั้งปรับ
(มาตรา 8) ผู้ที่ชอบดักรับข้อมูลของผู้อื่นระหว่างการส่งข้อมูลในระบบคอมพิวเตอร์ จำคุกไม่เกินสามปีหรือปรับไม่เกินหกหมื่นบาทหรือทั้งจำทั้งปรับ
(มาตรา 9,10 และ 12) ผู้ที่ทำการปลอมแปลง ทำลาย แก้ไขข้อมูลคอมพิวเตอร์ของผู้อื่น หรือทำการใดๆ ที่ไประงับ ชะลอ ขัดขวาง หรือรบกวนการทำงานระบบคอมพิวเตอร์ของผู้อื่น จำคุกสูงสุดยี่สิบปี
(มาตรา 11 ) ผู้ที่ส่งอีเมล์ปกปิดหรือปลอมแปลงแหล่งที่มา เช่น สแปมเมล์ (spam mail ) ทำให้รบกวนการใช้งานระบบคอมพิวเตอร์ของผู้อื่น ปรับไม่เกินหนึ่งแสนบาท
(มาตรา 14) ผู้ที่นำเข้าข้อมูลที่ไม่เหมาะสมเข้าไปในระบบคอมพิวเตอร์ซึ่งคนอื่นสามารถเข้าไปดูข้อมูลนั้นได้ เช่นข้อมูลอันเป็นเท็จที่ส่งผลกระทบต่อความมั่นคงของประเทศ ก่อให้เกิดความตื่นตระหนกแก่ประชาชน หรือทำให้ผู้อื่นเสียหาย ข้อมูลความผิดเกี่ยวกับการก่อการร้าย ข้อมูลลามกอนาจาร หรือผู้ที่เผยแพร่หรือส่งต่อข้อมูลเหล่านี้ ไม่ว่าจะเป็นทางเครื่องคอมพิวเตอร์ พีดีเอ โทรศัพท์มือถือ หรือระบบคอมพิวเตอร์อื่นๆ จำคุกไม่เกินห้าปีหรือปรับไม่เกินหนึ่งแสนบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ
(มาตรา 16) ผู้ที่นำเข้าภาพตัดต่อ ภาพดัดแปลงด้วยวิธีการใดๆ ของบุคคลอื่นเข้าไปในระบบคอมพิวเตอร์โดยมีเจตนาให้ผู้นั้นเสียชื่อเสียง ถูกดูหมิ่น ถูกเกลียดชัง หรือได้รับความอับอาย จำคุกไม่เกินสามปี หรือปรับไม่เกินหกหมื่นบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ
(มาตรา 26) ผู้ให้บริการ เช่น อินเตอร์เน็ตคาเฟ่ ผู้ให้บริการสัญญาณอินเตอร์เน็ต กลุ่มผู้ประกอบการอีคอมเมิร์ช รวมถึงมหาวิทยาลัย ต้องเก็บข้อมูลการเข้าใช้งานระบบคอมพิวเตอร์ของผู้ใช้บริการไม่น้อยกว่าเก้าสิบวัน เพื่อใช้ติดตามผู้กระทำความผิดมาลงโทษ หากผู้ให้บริการไม่ปฏิบัติตามนี้ ปรับสูงสุดถึงห้าแสนบาท

นางสาวมาริสา เรพล
รหัส 54191700223
สาขา อุตสาหกรรมศิลป์และเทคโนโลยี หมู่ 2

Unknown กล่าวว่า...

ไวรัสคอมพิวเตอร์เป็นชื่อเรียกสำหรับโปรแกรมประเภทหนึ่งที่มีพฤติกรรมคล้ายๆ กับไวรัสที่เป็นเชื้อโรค ที่สามารถแพร่เชื้อได้และมักทำอันตรายต่อสิ่งมีชีวิตที่มันอาศัยอยู่ แต่ต่างกันตรงที่ว่าคอมพิวเตอร์ไวรัสเป็นแค่เพียงโปรแกรมเท่านั้น ไม่ใช่สิ่งมีชีวิต

การป้องกันไวรัส
1.สำรองไฟล์ข้อมูลที่สำคัญ
2.สำหรับเครื่องที่มีฮาร์ดดิสก์ อย่าเรียกดอสจากฟลอปปีดิสก์
3.ป้องกันการเขียนให้กับฟลอปปีดิสก์
4.อย่าเรียกโปรแกรมที่ติดมากับดิสก์อื่น
5.เสาะหาโปรแกรมตรวจหาไวรัสที่ใหม่และมากกว่าหนึ่งโปรแกรมจากคนละบริษัท
6.เรียกใช้โปรแกรมตรวจหาไวรัสเป็นช่วงๆ
7. เรียกใช้โปรแกรมตรวจจับไวรัสแบบเฝ้าดูทุกครั้ง
8. เลือกคัดลอกซอฟแวร์เฉพาะที่ถูกตรวจสอบแล้วในบีบีเอส
9. สำรองข้อมูลที่สำคัญของฮาร์ดิสก์ไปเก็บในฟลอปปีดิสก์
10. เตรียมฟลอปปีดิสก์ที่ไว้สำหรับให้เรียกดอสก์ขึ้นมาทำงานได้
11. เมื่อเครื่องติดไวรัส ให้พยายามหาที่มาของไวรัสนั้น

จริยธรรมในการใช้ ICT
ต้องให้ความร่วมมือจากทุกๆฝ่าย ไม่ว่าจะจากทางภาครัฐ ภาคเอกชน ตัวบุคคลที่ใช้เทคโนโลยีสื่อสารและ ผู้ปกครองจะต้องดูแลบุตรหลานตัวเองในการใช้เทคโนโลยีการสื่อสารที่อยู่ในยุคไร้พรมแดนนี้ การสร้างจิตสำนึกต่อตนเองให้กับเด็กเยาวชนตั้งแต่ยังเล็กๆ และให้เด็กรู้ถึงโทษ ถึงปัญหา ให้เด็กรู้จักเลือกใช้โปรแกรมในทางที่ก่อให้เกิดประโยชน์แก่ตนเอง ก็น่าจะเป็นทางป้องกันที่ดีต่อปัญหาเหล่านี้ได้ ทั้งนี้เพราะโปรแกรมประเภทนี้ ไม่ว่าจะเป็น Camfrog , MSN , ICQ , Yahoo ล้วนแต่เป็นโปรแกรมการสื่อสาร ที่มีทั้งคุณและโทษในการใช้ ข้อดีของโปรแกรมเหล่านี้ก็คือจะช่วยสร้างให้เกิดความรวดเร็วในการสื่อสารมากขึ้น สามารถสื่อสารได้ทั้งทางสายตา เสียงพูด และมองเห็นหน้ากันได้ ส่วนข้อเสียส่วนใหญ่แล้วมักจะเกิดจากการใช้งานไปในทางที่ไม่ถูกไม่ควร ซึ่งตรงนี้ก็อยู่ที่ตัวของบุคคลแต่ละบุคคลในการที่จะเลือกทำเลือกใช้และเลือกที่จะนำสิ่งนั้นมาก่อให้เกิดประโยชน์ต่อตนเองค่ะ

พรบ.ว่าด้วยการกระทำความผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์
(มาตรา 5 ) แฮกเกอร์ที่เจาะเข้าระบบคอมพิวเตอร์ที่มีมาตรการป้องกันการเข้าถึง จำคุกไม่เกินหกเดือนหรือปรับไม่เกินหนึ่งหมื่นบาทหรือทั้งจำทั้งปรับ
(มาตรา 7) แฮกเกอร์ที่เจาะเข้าระบบและได้เข้าไปดูข้อมูลของผู้อื่นจำคุกไม่เกินสองปีหรือปรับไม่เกินสี่หมื่นบาทหรือทั้งจำทั้งปรับ
(มาตรา 8) ผู้ที่ชอบดักรับข้อมูลของผู้อื่นระหว่างการส่งข้อมูลในระบบคอมพิวเตอร์ จำคุกไม่เกินสามปีหรือปรับไม่เกินหกหมื่นบาทหรือทั้งจำทั้งปรับ
(มาตรา 9,10 และ 12) ผู้ที่ทำการปลอมแปลง ทำลาย แก้ไขข้อมูลคอมพิวเตอร์ของผู้อื่น หรือทำการใดๆ ที่ไประงับ ชะลอ ขัดขวาง หรือรบกวนการทำงานระบบคอมพิวเตอร์ของผู้อื่น จำคุกสูงสุดยี่สิบปี
(มาตรา 11 ) ผู้ที่ส่งอีเมล์ปกปิดหรือปลอมแปลงแหล่งที่มา เช่น สแปมเมล์ (spam mail ) ทำให้รบกวนการใช้งานระบบคอมพิวเตอร์ของผู้อื่น ปรับไม่เกินหนึ่งแสนบาท
(มาตรา 14) ผู้ที่นำเข้าข้อมูลที่ไม่เหมาะสมเข้าไปในระบบคอมพิวเตอร์ซึ่งคนอื่นสามารถเข้าไปดูข้อมูลนั้นได้ เช่นข้อมูลอันเป็นเท็จที่ส่งผลกระทบต่อความมั่นคงของประเทศ ก่อให้เกิดความตื่นตระหนกแก่ประชาชน หรือทำให้ผู้อื่นเสียหาย ข้อมูลความผิดเกี่ยวกับการก่อการร้าย ข้อมูลลามกอนาจาร หรือผู้ที่เผยแพร่หรือส่งต่อข้อมูลเหล่านี้ ไม่ว่าจะเป็นทางเครื่องคอมพิวเตอร์ พีดีเอ โทรศัพท์มือถือ หรือระบบคอมพิวเตอร์อื่นๆ จำคุกไม่เกินห้าปีหรือปรับไม่เกินหนึ่งแสนบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ
(มาตรา 16) ผู้ที่นำเข้าภาพตัดต่อ ภาพดัดแปลงด้วยวิธีการใดๆ ของบุคคลอื่นเข้าไปในระบบคอมพิวเตอร์โดยมีเจตนาให้ผู้นั้นเสียชื่อเสียง ถูกดูหมิ่น ถูกเกลียดชัง หรือได้รับความอับอาย จำคุกไม่เกินสามปี หรือปรับไม่เกินหกหมื่นบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ
(มาตรา 26) ผู้ให้บริการ เช่น อินเตอร์เน็ตคาเฟ่ ผู้ให้บริการสัญญาณอินเตอร์เน็ต กลุ่มผู้ประกอบการอีคอมเมิร์ช รวมถึงมหาวิทยาลัย ต้องเก็บข้อมูลการเข้าใช้งานระบบคอมพิวเตอร์ของผู้ใช้บริการไม่น้อยกว่าเก้าสิบวัน เพื่อใช้ติดตามผู้กระทำความผิดมาลงโทษ หากผู้ให้บริการไม่ปฏิบัติตามนี้ ปรับสูงสุดถึงห้าแสนบาท

นางสาวมาริสา เรพล
รหัส 54191700223
สาขา อุตสาหกรรมศิลป์และเทคโนโลยี หมู่ 2

Unknown กล่าวว่า...

ไวรัสคอมพิวเตอร์
ไวรัสคอมพิวเตอร์ (computer virus) ซึ่งเรียกชื่อเลียนแบบ ไวรัส ที่เป็นสิ่งมีชีวิต แต่เป็นคำเรียกแบบย่อของ โปรแกรมคอมพิวเตอร์ ที่มีชุดคำสั่งระบบปฏิบัติการใดๆก็ตามเท่าที่โปรแกรมถูกเขียนขึ้นมาเพื่อการใดการหนึ่งทั้งที่มีประโยนช์ทางการทำงานตามผู้เขียนโปรแกรมนั้นขึ้นมา ไวรัสคอมพิวเตอร์ ที่บุกรุกเข้าไปในเครื่องคอมพิวเตอร์โดยไม่ได้รับความยินยอมจากผู้ใช้ ส่วนมากมักจะมีประสงค์ร้ายและสร้างความเสียหายให้กับระบบของเครื่องคอมพิวเตอร์นั้นๆ

วิธีการป้องกัน
1. ใช้โปรแกรมป้องกันไวรัส
2. ใช้โปรแกรมป้องกันไวรัสที่เหมาะกับตัวเอง
3. ติดตั้งโปรแกรมป้องกันไวรัสให้เป็น
4. อัพเดตฐานข้อมูลไวรัส (Definition) อยู่เสมอ
5. เปลี่ยนเวอร์ชันใหม่ทันทีที่มีโอกาส
6. อย่ารับไฟล์แปลกหน้า และติดตามข่าวสารอยู่เสมอ
7. ติดไวรัสแล้วอย่ากลัว

จรรยาบรรณการใช้ ICT
1. ต้องไม่ใช้คอมพิวเตอร์ทำร้าย หรือละเมิดผู้อื่น
2. ต้องไม่รบกวนการทำงานของผู้อื่น
3. ต้องไม่สอดแนม แก้ไข หรือเปิดดูแฟ้มข้อมูลของผู้อื่น
4. ต้องไม่ใช้คอมพิวเตอร์เพื่อการโจรกรรมข้อมูลข่าวสาร
5. ต้องไม่ใช้คอมพิวเตอร์สร้างหลักฐานที่เป็นเท็จ
6. ต้องไม่คัดลอกโปรแกรมของผู้อื่นที่มีลิขสิทธิ์
7. ต้องไม่ละเมิดการใช้ทรัพยากรคอมพิวเตอร์โดยที่ตนเองไม่มีสิทธิ์
8. ต้องไม่นำเอาผลงานของผู้อื่นมาเป็นของตน
9. ต้องคำนึงถึงสิ่งที่จะเกิดขึ้นกับสังคมอันติดตามมาจากการกระทำของท่าน
10. ต้องใช้คอมพิวเตอร์โดยเคารพกฎระเบียบ กติกา และมีมารยาท

พรบ.ว่าด้วยการกระทำความผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์
มาตรา5 ผู้ใดเข้าถึงโดยมิชอบซึ่งระบบคอมพิวเตอร์ที่มีมาตรการป้องกันการเข้าถึง โดยเฉพาะและมาตรการนั้นมิได้มีไว้สำหรับตน
มาตรา6 ผู้ใดล่วงรู้มาตรการป้องกันการเข้าถึงระบบคอมพิวเตอร์ที่ผู้อื่นจัดทำขึ้นเป็นการเฉพาะ ถ้านำมาตรการดังกล่าวไปเปิดเผยโดยมิชอบในประการที่น่าจะเกิดความเสียหายแก่ผู้อื่น
มาตรา7 ผู้ใดเข้าถึงโดยมิชอบซึ่งข้อมูลคอมพิวเตอร์ที่มีมาตรการป้องกันการเข้าถึงโดยเฉพาะ และมาตรการนั้น มิได้มีไว้สำหรับตน จำคุกไม่เกินสองปี หรือปรับไม่เกินสี่หมื่นบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ
มาตรา8 ผู้ใดกระทำด้วยประการใดโดยมิชอบด้วยวิธีการทางอิเล็กทรอนิกส์เพื่อดักรับไว้ ซึ่งข้อมูลคอมพิวเตอร์ของผู้อื่นที่อยู่ระหว่างการส่งในระบบคอมพิวเตอร์ และข้อมูลคอมพิวเตอร์นั้นมิได้มีไว้ เพื่อประโยชน์สาธารณะหรือเพื่อให้บุคคลทั่วไปใช้ประโยชน์ใด


นางสาวทิวาภรณ์ กรมภักดี 54191700209 สาขาอุตสาหกรรมศิลป์และเทคโนโลยี หมู่2 ปี3

Unknown กล่าวว่า...

1.ไวรัสคอมพิวเตอร์ เป็นโปรแกรมพิเศษชนิดหนึ่งที่เขียนขึ้นมาเพื่อให้จัดการกับตัวมันเอง โดยมีลักษณะเลียบแบบสิ่งมีชีวิต คือ เจริญเติบโตเองได้ ขยายและแพร่กระจายเองได้ สามารถอยู่รอดได้ โปรแกรมนี้เข้าไปอยู่ในระบบคอมพิวเตอร์ได้ โดยผ่านทาง
-แผ่นฟลอปปีดิสก์
-เครือข่ายคอมพิวเตอร์
จากการที่ไวรัสคอมพิวเตอร์ ทำงานได้ด้วยเงื่อนไขลักษณะใดลักษณะหนึ่งหลายลักษณะ จึงทำให้ผู้ใช้ไม่รู้ว่าเครื่องคอมพิวเตอร์ของตนติดไวรัสหรือไม่ พอเปิดเครื่องใช้ก็อาจพบว่าระบบคอมพิวเตอร์ของตนถูกไวรัสทำลายเสียแล้ว ไวรัสบางตัวไม่เพียงทำลาย ลบ ล้าง ย้ายข้อมูลของเรา โดยไม่ได้รับอนุญาตเท่านั้น แต่ยังสามารถทำลายโปรแกรมอื่น ๆได้อีกด้วยโดยสังเกตได้จากการที่หน้าจอแสดงผลโดยอาการแปลก ๆ

2.การป้องกันไวรัสคอมพิวเตอร์
-ทุกครั้งที่นำซอฟแวร์ที่ไม่ทราบแหล่งที่ผลิต หรือได้รับแจกฟรี ต้องตรวจสอบให้แน่ใจก่อนนำไปใช้
-ควรตรวจสอบทั้งฮาร์ดแวร์และซอฟแวร์อย่างสม่ำเสมอ อย่างน้อยวันละ 1 ครั้ง
-เตรียมแผ่นที่สะอาดไว้สำหรับบูตเครื่องเมื่อคราวจำเป็น
-ควรสำรองข้อมูลไว้เสมอ
-พยายามสังเกตุสิ่งผิดปกติที่เกิดขึ้นกับเครื่องอย่างสม่ำเสมอ เช่น การทำงานที่ช้าลง ขนาดไฟล์ หน้าจอแสดงผลแปลก ๆ ไดรฟ์มีเสียงผิดปกติ
-ไม่นำแผ่นดิสก์ไปใช้กับเครื่องคอมพิวเตอร์อื่น ๆ ถ้ายังไม่ได้ปิดแถบป้องกันการบันทึก (Write Protect )
-ควรแยกแผ่นโปรแกรม และแผ่นข้อมูลออกจากกันโดยเด็ดขาด
-ไม่อนุญาตให้คนอื่นมาเล่นเครื่องคอมพิวเตอร์ของท่าน โดยปราศจากการควบคุมอย่างใกล้ชิด
-ควรมีโปรแกรมป้องกันไวรัสไว้ใช้ตรวจสอบและป้องกัน โดยเฉพาะโปรแกรมป้องกันไวรัสรุ่นใหม่ ๆ จะมีประสิทธิภาพในการป้องกันได้ดีขึ้นมาก ในที่นี้จะขอแนะนำโปรแกรม SCAN ของบริษัท McAfee Associates รุ่น V.2.5.1 หรือ Norton Antivirus

นางสาวสุมาลี วันเพ็ญ
54191700242
สาขา อุตสาหกรรมศิลป์และเทคโนโลยี หมู่ 2

Unknown กล่าวว่า...

วรัสคอมพิวเตอร์ (computer virus) ซึ่งเรียกชื่อเลียนแบบ ไวรัส ที่เป็นสิ่งมีชีวิต แต่เป็นคำเรียกแบบย่อของ โปรแกรมคอมพิวเตอร์ ที่มีชุดคำสั่งระบบปฏิบัติการใดๆก็ตามเท่าที่โปรแกรมถูกเขียนขึ้นมาเพื่อการใดการหนึ่งทั้งที่มีประโยนช์ทางการทำงานตามผู้เขียนโปรแกรมนั้นขึ้นมา
ไวรัสคอมพิวเตอร์ ที่บุกรุกเข้าไปในเครื่องคอมพิวเตอร์โดยไม่ได้รับความยินยอมจากผู้ใช้ ส่วนมากมักจะมีประสงค์ร้ายและสร้างความเสียหายให้กับระบบของเครื่องคอมพิวเตอร์นั้นๆ
ในเชิงเทคโนโลยีความมั่นคงของระบบคอมพิวเตอร์นั้น ไวรัสเป็นโปรแกรมคอมพิวเตอร์ที่สามารถทำสำเนาของตัวเอง เพื่อแพร่ออกไปโดยการสอดแทรกตัวสำเนาไปในรหัสคอมพิวเตอร์ส่วนของข้อมูลเอกสารหรือส่วนที่สามารถปฏิบัติการได้ ดังนั้นไวรัสคอมพิวเตอร์จึงมีพฤติกรรมในลักษณะเดียวกับไวรัสในทางชีววิทยา ซึ่งสามารถแพร่กระจายไปในเซลล์ของสิ่งมีชีวิตในลักษณะเดียวกันนี้ คำอื่นๆ ที่ใช้กับไวรัสในทางชีววิทยายังขยายขอบข่ายของความหมายครอบคลุมถึงไวรัสในทางคอมพิวเตอร์ เช่น การติดไวรัส (infection) แฟ้มข้อมูลที่ติดไวรัสนี้จะเรียกว่า โฮสต์ (host) ไวรัสนั้นเป็นประเภทหนึ่งของโปรแกรมประเภทมัลแวร์ (malware) หรือโปรแกรมที่มีประสงค์ร้าย ในความหมายที่ใช้กันทั่วไปนั้น ไวรัสยังใช้หมายรวมถึง เวิร์ม (worm) ซึ่งก็เป็นโปรแกรมอีกรูปแบบหนึ่งของมัลแวร์ ซึ่งบางครั้งก็ทำให้ผู้ใช้คอมพิวเตอร์นั้นสับสนเมื่อคำไวรัสนั้นใช้ในความหมายที่เฉพาะเจาะจง คอมพิวเตอร์ไวรัสนั้นโดยทั่วไปจะไม่ส่งผลก่อให้เกิดความเสียหายต่อฮาร์ดแวร์โดยตรง แต่จะทำความเสียหายต่อซอฟต์แวร์
ในขณะที่ไวรัสโดยทั่วไปนั้นก่อให้เกิดความเสียหาย (เช่น ทำลายข้อมูล) แต่ก็มีหลายชนิดที่ไม่ก่อให้เกิดความเสียหาย เพียงแต่ก่อให้เกิดความรำคาญเท่านั้น ไวรัสบางชนิดนั้นจะมีการตั้งเวลาให้ทำงานเฉพาะตามเงื่อนไข เช่น เมื่อถึงวันที่ที่กำหนด หรือเมื่อทำการขยายตัวได้ถึงระดับหนึ่ง ซึ่งไวรัสเหล่านี้จะเรียกว่า บอมบ์ (bomb) หรือระเบิด ระเบิดเวลาจะทำงานเมื่อถึงวันที่ที่กำหนด ส่วนระเบิดเงื่อนไขนั้นจะทำงานเมื่อผู้ใช้คอมพิวเตอร์มีการกระทำเฉพาะซึ่งเป็นตัวจุดชนวน ไม่ว่าจะเป็นไวรัสชนิดที่ก่อให้เกิดความเสียหายหรือไม่ก็ตาม ก็จะมีผลเสียที่เกิดจากการแพร่ขยายตัวของไวรัสอย่างไร้การควบคุม ซึ่งจะเป็นการบริโภคทรัพยากรคอมพิวเตอร์อย่างไร้ประโยชน์ หรืออาจจะบริโภคไปเป็นจำนวนมาก

ไวรัสคอมพิวเตอร์ (Computer Virus) คือ โปรแกรมชนิดหนึ่งที่มีความสามารถในการสำเนาตัวเองเข้าไปติดอยู่ในเครื่องคอมพิวเตอร์ และถ้ามีโอกาสก็สามารถแทรกเข้าไปติดอยู่ในระบบคอมพิวเตอร์อื่นๆ ซึ่งอาจเกิดจากการนำเอาแผ่นดิสก์หรือแฟลชไดร์ฟที่ติดไวรัสจากเครื่องหนึ่งไปใช้กับอีกเครื่องหนึ่ง การที่คอมพิวเตอร์ใดติดไวรัส หมายความว่าไวรัสได้เข้าไปผังตัวอยู่ในหน่วยความจำคอมพิวเตอร์เครื่องนั้นเรียบร้อยแล้ว การที่ไวรัสจะเข้าไปอยู่ในหน่วยความจำได้นั้นจะต้องมีการถูกเรียกใช้ให้ทำงาน ซึ่งโดยปกติแล้วผู้ใช้มักจะไม่รู้ตัวเลยว่า ขณะที่ตนเรียกใช้โปรแกรมหรือเปิดไฟล์ใดๆขึ้นมาทำงาน ก็ได้เรียกไวรัสขึ้นมาทำงานด้วย จุดประสงค์การทำงานของไวรัสแต่ละตัวขึ้นอยู่กับผู้เขียนโปรแกรมไวรัสนั้น เช่น อาจสร้างไวรัสให้ไปทำลายโปรแกรมหรือข้อมูลอื่นๆ ที่อยู่ในเครื่องคอมพิวเตอร์ หรือแสดงข้อความวิ่งไปมาบนหน้าจอคอมพิวเตอร์ เป็นต้น
ไวรัส (Virus) เป็นมัลแวร์ (Malware) ชนิดแรกที่เกิดขึ้นบนโลกนี้และอยู่มานาน ดังนั้นโดยทั่วไปตามข่าวหรือบทความต่างๆที่ไม่เน้นไปทางวิชาการมากเกินไป หรือเพื่อความง่ายและคุ้นเคยที่จะพูด ก็จะใช้คำว่า Virus แทนคำว่า Malware แต่ถ้าจะคิดถึงความจริงแล้วมันไม่ถูกต้อง อาจจะเป็นเพราะความเคยชินหรืออะไรก็ตาม จึงกลายเป็นว่าคนส่วนใหญ่ใช้คำว่า Virus แทนคำว่า Worm, Trojan, Spyware, Adware เป็นต้น ที่ถูกต้องควรใช้คำว่ามัลแวร์ (Malware) เพราะมัลแวร์มีหลายชนิด แต่ละชนิดก็ไม่เหมือนกัน

นางสาวพิมลแข สุนเสียง รปศ. หมู่2 การปกครองท้องถิ่น 55128040220

ไม่ระบุชื่อ กล่าวว่า...

ไวรัสคอมพิวเตอร์
ไวรัสคอมพิวเตอร์ เป็นโปรแกรมพิเศษชนิดหนึ่งที่เขียนขึ้นมาเพื่อให้จัดการกับตัวมันเอง โดยมีลักษณะเลียบแบบสิ่งมีชีวิต คือ เจริญเติบโตเองได้ ขยายและแพร่กระจายเองได้ สามารถอยู่รอดได้ โปรแกรมนี้เข้าไปอยู่ในระบบคอมพิวเตอร์ได้ โดยผ่านทาง
- แผ่นฟลอปปีดิสก์
- เครือข่ายคอมพิวเตอร์
จากการที่ไวรัสคอมพิวเตอร์ ทำงานได้ด้วยเงื่อนไขลักษณะใดลักษณะหนึ่งหลายลักษณะ จึงทำให้ผู้ใช้ไม่รู้ว่าเครื่องคอมพิวเตอร์ของตนติดไวรัสหรือไม่ พอเปิดเครื่องใช้ก็อาจพบว่าระบบคอมพิวเตอร์ของตนถูกไวรัสทำลายเสียแล้ว ไวรัสบางตัวไม่เพียงทำลาย ลบ ล้าง ย้ายข้อมูลของเรา โดยไม่ได้รับอนุญาตเท่านั้น แต่ยังสามารถทำลายโปรแกรมอื่น ๆได้อีกด้วยโดยสังเกตได้จากการที่หน้าจอแสดงผลโดยอาการแปลก ๆ
การป้องกันไวรัสคอมพิวเตอร์
มีเทคนิคอยู่มากมายหลายวิธี ดังนี้
-ทุกครั้งที่นำซอฟแวร์ที่ไม่ทราบแหล่งที่ผลิต หรือได้รับแจกฟรี ต้องตรวจสอบให้แน่ใจก่อนนำไปใช้
-ควรตรวจสอบทั้งฮาร์ดแวร์และซอฟแวร์อย่างสม่ำเสมอ อย่างน้อยวันละ 1 ครั้ง
- เตรียมแผ่นที่สะอาดไว้สำหรับบูตเครื่องเมื่อคราวจำเป็น
- ควรสำรองข้อมูลไว้เสมอ
- พยายามสังเกตุสิ่งผิดปกติที่เกิดขึ้นกับเครื่องอย่างสม่ำเสมอ เช่น การทำงานที่ช้าลง ขนาดไฟล์ หน้าจอแสดงผลแปลก ๆ ไดรฟ์มีเสียงผิดปกติ
-ไม่นำแผ่นดิสก์ไปใช้กับเครื่องคอมพิวเตอร์อื่น ๆ ถ้ายังไม่ได้ปิดแถบป้องกันการบันทึก (Write Protect )
- ควรแยกแผ่นโปรแกรม และแผ่นข้อมูลออกจากกันโดยเด็ดขาด
-ไม่อนุญาตให้คนอื่นมาเล่นเครื่องคอมพิวเตอร์ของท่าน โดยปราศจากการควบคุมอย่างใกล้ชิด
-ควรมีโปรแกรมป้องกันไวรัสไว้ใช้ตรวจสอบและป้องกัน โดยเฉพาะโปรแกรมป้องกันไวรัสรุ่นใหม่ ๆ จะมีประสิทธิภาพในการป้องกันได้ดีขึ้นมาก ในที่นี้จะขอแนะนำโปรแกรม SCAN ของบริษัท McAfee Associates รุ่น V.2.5.1 หรือ Norton Antivirus
จรรยาบรรณในการใช้คอมพิวเตอร์
1.ไม่ใช้คอมพิวเตอร์ทำร้ายผู้อื่น
2.ไม่รบกวนจนงานคอมพิวเตอร์ของผู้อื่น
3. ไม่แอบดูแฟ้มข้อมูลของผู้อื่น
4.ไม่ใช้คอมพิวเตอร์เพื่อลักขโมย
5.ไม่ใช้คอมพิวเตอร์เพื่อเป็นพยานเท็จ
6. ไม่ใช้หรือทำสำเนาซอฟต์แวร์ที่ตนไม่ได้ซื้อสิทธิ์
7.ไม่ใช้คอมพิวเตอร์ของผู้อื่นโดยไม่มีอำนาจหน้าที่
8.ไม่ฉวยเอาทรัพย์ทางปัญญาของผู้อื่นมาเป็นของตน
9.คิดถึงผลต่อเนื่องทางสังคมของโปรแกรมที่เขียน
10.ใช้คอมพิวเตอร์ในทางที่แสดงถึงความใคร่ครวญและเคารพจรรยาวิชาชีพของสมาชิกสมาคมเครื่องจักรกลคอมพิวเตอร์
พรบ.ว่าด้วยการกระทำความผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ พ.ศ.2550
สรุปมาตราที่ควรทราบ

(มาตรา 5 ) แฮกเกอร์ที่เจาะเข้าระบบคอมพิวเตอร์ที่มีมาตรการป้องกันการเข้าถึง จำคุกไม่เกินหกเดือนหรือปรับไม่เกินหนึ่งหมื่นบาทหรือทั้งจำทั้งปรับ
(มาตรา 7) แฮกเกอร์ที่เจาะเข้าระบบและได้เข้าไปดูข้อมูลของผู้อื่นจำคุกไม่เกินสองปีหรือปรับไม่เกินสี่หมื่นบาทหรือทั้งจำทั้งปรับ
(มาตรา 8) ผู้ที่ชอบดักรับข้อมูลของผู้อื่นระหว่างการส่งข้อมูลในระบบคอมพิวเตอร์ จำคุกไม่เกินสามปีหรือปรับไม่เกินหกหมื่นบาทหรือทั้งจำทั้งปรับ
(มาตรา 9,10 และ 12) ผู้ที่ทำการปลอมแปลง ทำลาย แก้ไขข้อมูลคอมพิวเตอร์ของผู้อื่น หรือทำการใดๆ ที่ไประงับ ชะลอ ขัดขวาง หรือรบกวนการทำงานระบบคอมพิวเตอร์ของผู้อื่น จำคุกสูงสุดยี่สิบปี
(มาตรา 11 ) ผู้ที่ส่งอีเมล์ปกปิดหรือปลอมแปลงแหล่งที่มา เช่น สแปมเมล์ (spam mail ) ทำให้รบกวนการใช้งานระบบคอมพิวเตอร์ของผู้อื่น ปรับไม่เกินหนึ่งแสนบาท
(มาตรา 14) ผู้ที่นำเข้าข้อมูลที่ไม่เหมาะสมเข้าไปในระบบคอมพิวเตอร์ซึ่งคนอื่นสามารถเข้าไปดูข้อมูลนั้นได้ เช่นข้อมูลอันเป็นเท็จที่ส่งผลกระทบต่อความมั่นคงของประเทศ ก่อให้เกิดความตื่นตระหนกแก่ประชาชน หรือทำให้ผู้อื่นเสียหาย ข้อมูลความผิดเกี่ยวกับการก่อการร้าย ข้อมูลลามกอนาจาร หรือผู้ที่เผยแพร่หรือส่งต่อข้อมูลเหล่านี้ ไม่ว่าจะเป็นทางเครื่องคอมพิวเตอร์ พีดีเอ โทรศัพท์มือถือ หรือระบบคอมพิวเตอร์อื่นๆ จำคุกไม่เกินห้าปีหรือปรับไม่เกินหนึ่งแสนบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ
(มาตรา 16) ผู้ที่นำเข้าภาพตัดต่อ ภาพดัดแปลงด้วยวิธีการใดๆ ของบุคคลอื่นเข้าไปในระบบคอมพิวเตอร์โดยมีเจตนาให้ผู้นั้นเสียชื่อเสียง ถูกดูหมิ่น ถูกเกลียดชัง หรือได้รับความอับอาย จำคุกไม่เกินสามปี หรือปรับไม่เกินหกหมื่นบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ
(มาตรา 26) ผู้ให้บริการ เช่น อินเตอร์เน็ตคาเฟ่ ผู้ให้บริการสัญญาณอินเตอร์เน็ต กลุ่มผู้ประกอบการอีคอมเมิร์ช รวมถึงมหาวิทยาลัย ต้องเก็บข้อมูลการเข้าใช้งานระบบคอมพิวเตอร์ของผู้ใช้บริการไม่น้อยกว่าเก้าสิบวัน เพื่อใช้ติดตามผู้กระทำความผิดมาลงโทษ หากผู้ให้บริการไม่ปฏิบัติตามนี้ ปรับสูงสุดถึงห้าแสนบาท

นางสาวจุฬาลักษณ์ ไชยสุระ
รหัสนักศึกษา 55191010223
สาขาภาษไทย หมู่2

ไม่ระบุชื่อ กล่าวว่า...

ไวรัสคอมพิวเตอร์
ไวรัสคอมพิวเตอร์ เป็นโปรแกรมพิเศษชนิดหนึ่งที่เขียนขึ้นมาเพื่อให้จัดการกับตัวมันเอง โดยมีลักษณะเลียบแบบสิ่งมีชีวิต คือ เจริญเติบโตเองได้ ขยายและแพร่กระจายเองได้ สามารถอยู่รอดได้ โปรแกรมนี้เข้าไปอยู่ในระบบคอมพิวเตอร์ได้ โดยผ่านทาง
- แผ่นฟลอปปีดิสก์
- เครือข่ายคอมพิวเตอร์
จากการที่ไวรัสคอมพิวเตอร์ ทำงานได้ด้วยเงื่อนไขลักษณะใดลักษณะหนึ่งหลายลักษณะ จึงทำให้ผู้ใช้ไม่รู้ว่าเครื่องคอมพิวเตอร์ของตนติดไวรัสหรือไม่ พอเปิดเครื่องใช้ก็อาจพบว่าระบบคอมพิวเตอร์ของตนถูกไวรัสทำลายเสียแล้ว ไวรัสบางตัวไม่เพียงทำลาย ลบ ล้าง ย้ายข้อมูลของเรา โดยไม่ได้รับอนุญาตเท่านั้น แต่ยังสามารถทำลายโปรแกรมอื่น ๆได้อีกด้วยโดยสังเกตได้จากการที่หน้าจอแสดงผลโดยอาการแปลก ๆ
การป้องกันไวรัสคอมพิวเตอร์
มีเทคนิคอยู่มากมายหลายวิธี ดังนี้
-ทุกครั้งที่นำซอฟแวร์ที่ไม่ทราบแหล่งที่ผลิต หรือได้รับแจกฟรี ต้องตรวจสอบให้แน่ใจก่อนนำไปใช้
-ควรตรวจสอบทั้งฮาร์ดแวร์และซอฟแวร์อย่างสม่ำเสมอ อย่างน้อยวันละ 1 ครั้ง
- เตรียมแผ่นที่สะอาดไว้สำหรับบูตเครื่องเมื่อคราวจำเป็น
- ควรสำรองข้อมูลไว้เสมอ
- พยายามสังเกตุสิ่งผิดปกติที่เกิดขึ้นกับเครื่องอย่างสม่ำเสมอ เช่น การทำงานที่ช้าลง ขนาดไฟล์ หน้าจอแสดงผลแปลก ๆ ไดรฟ์มีเสียงผิดปกติ
-ไม่นำแผ่นดิสก์ไปใช้กับเครื่องคอมพิวเตอร์อื่น ๆ ถ้ายังไม่ได้ปิดแถบป้องกันการบันทึก (Write Protect )
- ควรแยกแผ่นโปรแกรม และแผ่นข้อมูลออกจากกันโดยเด็ดขาด
-ไม่อนุญาตให้คนอื่นมาเล่นเครื่องคอมพิวเตอร์ของท่าน โดยปราศจากการควบคุมอย่างใกล้ชิด
-ควรมีโปรแกรมป้องกันไวรัสไว้ใช้ตรวจสอบและป้องกัน โดยเฉพาะโปรแกรมป้องกันไวรัสรุ่นใหม่ ๆ จะมีประสิทธิภาพในการป้องกันได้ดีขึ้นมาก ในที่นี้จะขอแนะนำโปรแกรม SCAN ของบริษัท McAfee Associates รุ่น V.2.5.1 หรือ Norton Antivirus
จรรยาบรรณในการใช้คอมพิวเตอร์
1.ไม่ใช้คอมพิวเตอร์ทำร้ายผู้อื่น
2.ไม่รบกวนจนงานคอมพิวเตอร์ของผู้อื่น
3. ไม่แอบดูแฟ้มข้อมูลของผู้อื่น
4.ไม่ใช้คอมพิวเตอร์เพื่อลักขโมย
5.ไม่ใช้คอมพิวเตอร์เพื่อเป็นพยานเท็จ
6. ไม่ใช้หรือทำสำเนาซอฟต์แวร์ที่ตนไม่ได้ซื้อสิทธิ์
7.ไม่ใช้คอมพิวเตอร์ของผู้อื่นโดยไม่มีอำนาจหน้าที่
8.ไม่ฉวยเอาทรัพย์ทางปัญญาของผู้อื่นมาเป็นของตน
9.คิดถึงผลต่อเนื่องทางสังคมของโปรแกรมที่เขียน
10.ใช้คอมพิวเตอร์ในทางที่แสดงถึงความใคร่ครวญและเคารพจรรยาวิชาชีพของสมาชิกสมาคมเครื่องจักรกลคอมพิวเตอร์
พรบ.ว่าด้วยการกระทำความผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ พ.ศ.2550
สรุปมาตราที่ควรทราบ

(มาตรา 5 ) แฮกเกอร์ที่เจาะเข้าระบบคอมพิวเตอร์ที่มีมาตรการป้องกันการเข้าถึง จำคุกไม่เกินหกเดือนหรือปรับไม่เกินหนึ่งหมื่นบาทหรือทั้งจำทั้งปรับ
(มาตรา 7) แฮกเกอร์ที่เจาะเข้าระบบและได้เข้าไปดูข้อมูลของผู้อื่นจำคุกไม่เกินสองปีหรือปรับไม่เกินสี่หมื่นบาทหรือทั้งจำทั้งปรับ
(มาตรา 8) ผู้ที่ชอบดักรับข้อมูลของผู้อื่นระหว่างการส่งข้อมูลในระบบคอมพิวเตอร์ จำคุกไม่เกินสามปีหรือปรับไม่เกินหกหมื่นบาทหรือทั้งจำทั้งปรับ
(มาตรา 9,10 และ 12) ผู้ที่ทำการปลอมแปลง ทำลาย แก้ไขข้อมูลคอมพิวเตอร์ของผู้อื่น หรือทำการใดๆ ที่ไประงับ ชะลอ ขัดขวาง หรือรบกวนการทำงานระบบคอมพิวเตอร์ของผู้อื่น จำคุกสูงสุดยี่สิบปี
(มาตรา 11 ) ผู้ที่ส่งอีเมล์ปกปิดหรือปลอมแปลงแหล่งที่มา เช่น สแปมเมล์ (spam mail ) ทำให้รบกวนการใช้งานระบบคอมพิวเตอร์ของผู้อื่น ปรับไม่เกินหนึ่งแสนบาท
(มาตรา 14) ผู้ที่นำเข้าข้อมูลที่ไม่เหมาะสมเข้าไปในระบบคอมพิวเตอร์ซึ่งคนอื่นสามารถเข้าไปดูข้อมูลนั้นได้ เช่นข้อมูลอันเป็นเท็จที่ส่งผลกระทบต่อความมั่นคงของประเทศ ก่อให้เกิดความตื่นตระหนกแก่ประชาชน หรือทำให้ผู้อื่นเสียหาย ข้อมูลความผิดเกี่ยวกับการก่อการร้าย ข้อมูลลามกอนาจาร หรือผู้ที่เผยแพร่หรือส่งต่อข้อมูลเหล่านี้ ไม่ว่าจะเป็นทางเครื่องคอมพิวเตอร์ พีดีเอ โทรศัพท์มือถือ หรือระบบคอมพิวเตอร์อื่นๆ จำคุกไม่เกินห้าปีหรือปรับไม่เกินหนึ่งแสนบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ
(มาตรา 16) ผู้ที่นำเข้าภาพตัดต่อ ภาพดัดแปลงด้วยวิธีการใดๆ ของบุคคลอื่นเข้าไปในระบบคอมพิวเตอร์โดยมีเจตนาให้ผู้นั้นเสียชื่อเสียง ถูกดูหมิ่น ถูกเกลียดชัง หรือได้รับความอับอาย จำคุกไม่เกินสามปี หรือปรับไม่เกินหกหมื่นบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ
(มาตรา 26) ผู้ให้บริการ เช่น อินเตอร์เน็ตคาเฟ่ ผู้ให้บริการสัญญาณอินเตอร์เน็ต กลุ่มผู้ประกอบการอีคอมเมิร์ช รวมถึงมหาวิทยาลัย ต้องเก็บข้อมูลการเข้าใช้งานระบบคอมพิวเตอร์ของผู้ใช้บริการไม่น้อยกว่าเก้าสิบวัน เพื่อใช้ติดตามผู้กระทำความผิดมาลงโทษ หากผู้ให้บริการไม่ปฏิบัติตามนี้ ปรับสูงสุดถึงห้าแสนบาท

นางสาวจุฬาลักษณ์ ไชยสุระ
รหัสนักศึกษา 55191010223
สาขาภาษาไทย หมู่2

ไม่ระบุชื่อ กล่าวว่า...

ไวรัสคอมพิวเตอร์
ไวรัสคอมพิวเตอร์ เป็นโปรแกรมพิเศษชนิดหนึ่งที่เขียนขึ้นมาเพื่อให้จัดการกับตัวมันเอง โดยมีลักษณะเลียบแบบสิ่งมีชีวิต คือ เจริญเติบโตเองได้ ขยายและแพร่กระจายเองได้ สามารถอยู่รอดได้ โปรแกรมนี้เข้าไปอยู่ในระบบคอมพิวเตอร์ได้ โดยผ่านทาง
- แผ่นฟลอปปีดิสก์
- เครือข่ายคอมพิวเตอร์
จากการที่ไวรัสคอมพิวเตอร์ ทำงานได้ด้วยเงื่อนไขลักษณะใดลักษณะหนึ่งหลายลักษณะ จึงทำให้ผู้ใช้ไม่รู้ว่าเครื่องคอมพิวเตอร์ของตนติดไวรัสหรือไม่ พอเปิดเครื่องใช้ก็อาจพบว่าระบบคอมพิวเตอร์ของตนถูกไวรัสทำลายเสียแล้ว ไวรัสบางตัวไม่เพียงทำลาย ลบ ล้าง ย้ายข้อมูลของเรา โดยไม่ได้รับอนุญาตเท่านั้น แต่ยังสามารถทำลายโปรแกรมอื่น ๆได้อีกด้วยโดยสังเกตได้จากการที่หน้าจอแสดงผลโดยอาการแปลก ๆ
การป้องกันไวรัสคอมพิวเตอร์
มีเทคนิคอยู่มากมายหลายวิธี ดังนี้
-ทุกครั้งที่นำซอฟแวร์ที่ไม่ทราบแหล่งที่ผลิต หรือได้รับแจกฟรี ต้องตรวจสอบให้แน่ใจก่อนนำไปใช้
-ควรตรวจสอบทั้งฮาร์ดแวร์และซอฟแวร์อย่างสม่ำเสมอ อย่างน้อยวันละ 1 ครั้ง
- เตรียมแผ่นที่สะอาดไว้สำหรับบูตเครื่องเมื่อคราวจำเป็น
- ควรสำรองข้อมูลไว้เสมอ
- พยายามสังเกตุสิ่งผิดปกติที่เกิดขึ้นกับเครื่องอย่างสม่ำเสมอ เช่น การทำงานที่ช้าลง ขนาดไฟล์ หน้าจอแสดงผลแปลก ๆ ไดรฟ์มีเสียงผิดปกติ
-ไม่นำแผ่นดิสก์ไปใช้กับเครื่องคอมพิวเตอร์อื่น ๆ ถ้ายังไม่ได้ปิดแถบป้องกันการบันทึก (Write Protect )
- ควรแยกแผ่นโปรแกรม และแผ่นข้อมูลออกจากกันโดยเด็ดขาด
-ไม่อนุญาตให้คนอื่นมาเล่นเครื่องคอมพิวเตอร์ของท่าน โดยปราศจากการควบคุมอย่างใกล้ชิด
-ควรมีโปรแกรมป้องกันไวรัสไว้ใช้ตรวจสอบและป้องกัน โดยเฉพาะโปรแกรมป้องกันไวรัสรุ่นใหม่ ๆ จะมีประสิทธิภาพในการป้องกันได้ดีขึ้นมาก ในที่นี้จะขอแนะนำโปรแกรม SCAN ของบริษัท McAfee Associates รุ่น V.2.5.1 หรือ Norton Antivirus
จรรยาบรรณในการใช้คอมพิวเตอร์
1.ไม่ใช้คอมพิวเตอร์ทำร้ายผู้อื่น
2.ไม่รบกวนจนงานคอมพิวเตอร์ของผู้อื่น
3. ไม่แอบดูแฟ้มข้อมูลของผู้อื่น
4.ไม่ใช้คอมพิวเตอร์เพื่อลักขโมย
5.ไม่ใช้คอมพิวเตอร์เพื่อเป็นพยานเท็จ
6. ไม่ใช้หรือทำสำเนาซอฟต์แวร์ที่ตนไม่ได้ซื้อสิทธิ์
7.ไม่ใช้คอมพิวเตอร์ของผู้อื่นโดยไม่มีอำนาจหน้าที่
8.ไม่ฉวยเอาทรัพย์ทางปัญญาของผู้อื่นมาเป็นของตน
9.คิดถึงผลต่อเนื่องทางสังคมของโปรแกรมที่เขียน
10.ใช้คอมพิวเตอร์ในทางที่แสดงถึงความใคร่ครวญและเคารพจรรยาวิชาชีพของสมาชิกสมาคมเครื่องจักรกลคอมพิวเตอร์
พรบ.ว่าด้วยการกระทำความผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ พ.ศ.2550
สรุปมาตราที่ควรทราบ

(มาตรา 5 ) แฮกเกอร์ที่เจาะเข้าระบบคอมพิวเตอร์ที่มีมาตรการป้องกันการเข้าถึง จำคุกไม่เกินหกเดือนหรือปรับไม่เกินหนึ่งหมื่นบาทหรือทั้งจำทั้งปรับ
(มาตรา 7) แฮกเกอร์ที่เจาะเข้าระบบและได้เข้าไปดูข้อมูลของผู้อื่นจำคุกไม่เกินสองปีหรือปรับไม่เกินสี่หมื่นบาทหรือทั้งจำทั้งปรับ
(มาตรา 8) ผู้ที่ชอบดักรับข้อมูลของผู้อื่นระหว่างการส่งข้อมูลในระบบคอมพิวเตอร์ จำคุกไม่เกินสามปีหรือปรับไม่เกินหกหมื่นบาทหรือทั้งจำทั้งปรับ
(มาตรา 9,10 และ 12) ผู้ที่ทำการปลอมแปลง ทำลาย แก้ไขข้อมูลคอมพิวเตอร์ของผู้อื่น หรือทำการใดๆ ที่ไประงับ ชะลอ ขัดขวาง หรือรบกวนการทำงานระบบคอมพิวเตอร์ของผู้อื่น จำคุกสูงสุดยี่สิบปี
(มาตรา 11 ) ผู้ที่ส่งอีเมล์ปกปิดหรือปลอมแปลงแหล่งที่มา เช่น สแปมเมล์ (spam mail ) ทำให้รบกวนการใช้งานระบบคอมพิวเตอร์ของผู้อื่น ปรับไม่เกินหนึ่งแสนบาท
(มาตรา 14) ผู้ที่นำเข้าข้อมูลที่ไม่เหมาะสมเข้าไปในระบบคอมพิวเตอร์ซึ่งคนอื่นสามารถเข้าไปดูข้อมูลนั้นได้ เช่นข้อมูลอันเป็นเท็จที่ส่งผลกระทบต่อความมั่นคงของประเทศ ก่อให้เกิดความตื่นตระหนกแก่ประชาชน หรือทำให้ผู้อื่นเสียหาย ข้อมูลความผิดเกี่ยวกับการก่อการร้าย ข้อมูลลามกอนาจาร หรือผู้ที่เผยแพร่หรือส่งต่อข้อมูลเหล่านี้ ไม่ว่าจะเป็นทางเครื่องคอมพิวเตอร์ พีดีเอ โทรศัพท์มือถือ หรือระบบคอมพิวเตอร์อื่นๆ จำคุกไม่เกินห้าปีหรือปรับไม่เกินหนึ่งแสนบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ
(มาตรา 16) ผู้ที่นำเข้าภาพตัดต่อ ภาพดัดแปลงด้วยวิธีการใดๆ ของบุคคลอื่นเข้าไปในระบบคอมพิวเตอร์โดยมีเจตนาให้ผู้นั้นเสียชื่อเสียง ถูกดูหมิ่น ถูกเกลียดชัง หรือได้รับความอับอาย จำคุกไม่เกินสามปี หรือปรับไม่เกินหกหมื่นบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ
(มาตรา 26) ผู้ให้บริการ เช่น อินเตอร์เน็ตคาเฟ่ ผู้ให้บริการสัญญาณอินเตอร์เน็ต กลุ่มผู้ประกอบการอีคอมเมิร์ช รวมถึงมหาวิทยาลัย ต้องเก็บข้อมูลการเข้าใช้งานระบบคอมพิวเตอร์ของผู้ใช้บริการไม่น้อยกว่าเก้าสิบวัน เพื่อใช้ติดตามผู้กระทำความผิดมาลงโทษ หากผู้ให้บริการไม่ปฏิบัติตามนี้ ปรับสูงสุดถึงห้าแสนบาท

นางสาวจุฬาลักษณ์ ไชยสุระ
รหัสนักศึกษา 55191010223
สาขาภาษาไทย หมู่2

Unknown กล่าวว่า...

ไวรัสคอมพิวเตอร์
ไวรัสคอมพิวเตอร์ เป็นโปรแกรมพิเศษชนิดหนึ่งที่เขียนขึ้นมาเพื่อให้จัดการกับตัวมันเอง โดยมีลักษณะเลียบแบบสิ่งมีชีวิต คือ เจริญเติบโตเองได้ ขยายและแพร่กระจายเองได้ สามารถอยู่รอดได้ โปรแกรมนี้เข้าไปอยู่ในระบบคอมพิวเตอร์ได้ โดยผ่านทาง
- แผ่นฟลอปปีดิสก์
- เครือข่ายคอมพิวเตอร์
จากการที่ไวรัสคอมพิวเตอร์ ทำงานได้ด้วยเงื่อนไขลักษณะใดลักษณะหนึ่งหลายลักษณะ จึงทำให้ผู้ใช้ไม่รู้ว่าเครื่องคอมพิวเตอร์ของตนติดไวรัสหรือไม่ พอเปิดเครื่องใช้ก็อาจพบว่าระบบคอมพิวเตอร์ของตนถูกไวรัสทำลายเสียแล้ว ไวรัสบางตัวไม่เพียงทำลาย ลบ ล้าง ย้ายข้อมูลของเรา โดยไม่ได้รับอนุญาตเท่านั้น แต่ยังสามารถทำลายโปรแกรมอื่น ๆได้อีกด้วยโดยสังเกตได้จากการที่หน้าจอแสดงผลโดยอาการแปลก ๆ
การป้องกันไวรัสคอมพิวเตอร์
มีเทคนิคอยู่มากมายหลายวิธี ดังนี้
-ทุกครั้งที่นำซอฟแวร์ที่ไม่ทราบแหล่งที่ผลิต หรือได้รับแจกฟรี ต้องตรวจสอบให้แน่ใจก่อนนำไปใช้
-ควรตรวจสอบทั้งฮาร์ดแวร์และซอฟแวร์อย่างสม่ำเสมอ อย่างน้อยวันละ 1 ครั้ง
- เตรียมแผ่นที่สะอาดไว้สำหรับบูตเครื่องเมื่อคราวจำเป็น
- ควรสำรองข้อมูลไว้เสมอ
- พยายามสังเกตุสิ่งผิดปกติที่เกิดขึ้นกับเครื่องอย่างสม่ำเสมอ เช่น การทำงานที่ช้าลง ขนาดไฟล์ หน้าจอแสดงผลแปลก ๆ ไดรฟ์มีเสียงผิดปกติ
-ไม่นำแผ่นดิสก์ไปใช้กับเครื่องคอมพิวเตอร์อื่น ๆ ถ้ายังไม่ได้ปิดแถบป้องกันการบันทึก (Write Protect )
- ควรแยกแผ่นโปรแกรม และแผ่นข้อมูลออกจากกันโดยเด็ดขาด
-ไม่อนุญาตให้คนอื่นมาเล่นเครื่องคอมพิวเตอร์ของท่าน โดยปราศจากการควบคุมอย่างใกล้ชิด
-ควรมีโปรแกรมป้องกันไวรัสไว้ใช้ตรวจสอบและป้องกัน โดยเฉพาะโปรแกรมป้องกันไวรัสรุ่นใหม่ ๆ จะมีประสิทธิภาพในการป้องกันได้ดีขึ้นมาก ในที่นี้จะขอแนะนำโปรแกรม SCAN ของบริษัท McAfee Associates รุ่น V.2.5.1 หรือ Norton Antivirus
จรรยาบรรณในการใช้คอมพิวเตอร์
1.ไม่ใช้คอมพิวเตอร์ทำร้ายผู้อื่น
2.ไม่รบกวนจนงานคอมพิวเตอร์ของผู้อื่น
3. ไม่แอบดูแฟ้มข้อมูลของผู้อื่น
4.ไม่ใช้คอมพิวเตอร์เพื่อลักขโมย
5.ไม่ใช้คอมพิวเตอร์เพื่อเป็นพยานเท็จ
6. ไม่ใช้หรือทำสำเนาซอฟต์แวร์ที่ตนไม่ได้ซื้อสิทธิ์
7.ไม่ใช้คอมพิวเตอร์ของผู้อื่นโดยไม่มีอำนาจหน้าที่
8.ไม่ฉวยเอาทรัพย์ทางปัญญาของผู้อื่นมาเป็นของตน
9.คิดถึงผลต่อเนื่องทางสังคมของโปรแกรมที่เขียน
10.ใช้คอมพิวเตอร์ในทางที่แสดงถึงความใคร่ครวญและเคารพจรรยาวิชาชีพของสมาชิกสมาคมเครื่องจักรกลคอมพิวเตอร์
พรบ.ว่าด้วยการกระทำความผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ พ.ศ.2550
สรุปมาตราที่ควรทราบ

(มาตรา 5 ) แฮกเกอร์ที่เจาะเข้าระบบคอมพิวเตอร์ที่มีมาตรการป้องกันการเข้าถึง จำคุกไม่เกินหกเดือนหรือปรับไม่เกินหนึ่งหมื่นบาทหรือทั้งจำทั้งปรับ
(มาตรา 7) แฮกเกอร์ที่เจาะเข้าระบบและได้เข้าไปดูข้อมูลของผู้อื่นจำคุกไม่เกินสองปีหรือปรับไม่เกินสี่หมื่นบาทหรือทั้งจำทั้งปรับ
(มาตรา 8) ผู้ที่ชอบดักรับข้อมูลของผู้อื่นระหว่างการส่งข้อมูลในระบบคอมพิวเตอร์ จำคุกไม่เกินสามปีหรือปรับไม่เกินหกหมื่นบาทหรือทั้งจำทั้งปรับ
(มาตรา 9,10 และ 12) ผู้ที่ทำการปลอมแปลง ทำลาย แก้ไขข้อมูลคอมพิวเตอร์ของผู้อื่น หรือทำการใดๆ ที่ไประงับ ชะลอ ขัดขวาง หรือรบกวนการทำงานระบบคอมพิวเตอร์ของผู้อื่น จำคุกสูงสุดยี่สิบปี
(มาตรา 11 ) ผู้ที่ส่งอีเมล์ปกปิดหรือปลอมแปลงแหล่งที่มา เช่น สแปมเมล์ (spam mail ) ทำให้รบกวนการใช้งานระบบคอมพิวเตอร์ของผู้อื่น ปรับไม่เกินหนึ่งแสนบาท
(มาตรา 14) ผู้ที่นำเข้าข้อมูลที่ไม่เหมาะสมเข้าไปในระบบคอมพิวเตอร์ซึ่งคนอื่นสามารถเข้าไปดูข้อมูลนั้นได้ เช่นข้อมูลอันเป็นเท็จที่ส่งผลกระทบต่อความมั่นคงของประเทศ ก่อให้เกิดความตื่นตระหนกแก่ประชาชน หรือทำให้ผู้อื่นเสียหาย ข้อมูลความผิดเกี่ยวกับการก่อการร้าย ข้อมูลลามกอนาจาร หรือผู้ที่เผยแพร่หรือส่งต่อข้อมูลเหล่านี้ ไม่ว่าจะเป็นทางเครื่องคอมพิวเตอร์ พีดีเอ โทรศัพท์มือถือ หรือระบบคอมพิวเตอร์อื่นๆ จำคุกไม่เกินห้าปีหรือปรับไม่เกินหนึ่งแสนบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ
(มาตรา 16) ผู้ที่นำเข้าภาพตัดต่อ ภาพดัดแปลงด้วยวิธีการใดๆ ของบุคคลอื่นเข้าไปในระบบคอมพิวเตอร์โดยมีเจตนาให้ผู้นั้นเสียชื่อเสียง ถูกดูหมิ่น ถูกเกลียดชัง หรือได้รับความอับอาย จำคุกไม่เกินสามปี หรือปรับไม่เกินหกหมื่นบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ
(มาตรา 26) ผู้ให้บริการ เช่น อินเตอร์เน็ตคาเฟ่ ผู้ให้บริการสัญญาณอินเตอร์เน็ต กลุ่มผู้ประกอบการอีคอมเมิร์ช รวมถึงมหาวิทยาลัย ต้องเก็บข้อมูลการเข้าใช้งานระบบคอมพิวเตอร์ของผู้ใช้บริการไม่น้อยกว่าเก้าสิบวัน เพื่อใช้ติดตามผู้กระทำความผิดมาลงโทษ หากผู้ให้บริการไม่ปฏิบัติตามนี้ ปรับสูงสุดถึงห้าแสนบาท

นายพัฒนพงศ์ พรหมบุตร 54191700221
สาขาอุตสาหกรรมศิลป์และเทคโนโลยี หมู่2ปี3

Unknown กล่าวว่า...

ไวรัสคอมพิวเตอร์
ไวรัสคอมพิวเตอร์ เป็นโปรแกรมพิเศษชนิดหนึ่งที่เขียนขึ้นมาเพื่อให้จัดการกับตัวมันเอง โดยมีลักษณะเลียบแบบสิ่งมีชีวิต คือ เจริญเติบโตเองได้ ขยายและแพร่กระจายเองได้ สามารถอยู่รอดได้ โปรแกรมนี้เข้าไปอยู่ในระบบคอมพิวเตอร์ได้ โดยผ่านทาง
- แผ่นฟลอปปีดิสก์
- เครือข่ายคอมพิวเตอร์
จากการที่ไวรัสคอมพิวเตอร์ ทำงานได้ด้วยเงื่อนไขลักษณะใดลักษณะหนึ่งหลายลักษณะ จึงทำให้ผู้ใช้ไม่รู้ว่าเครื่องคอมพิวเตอร์ของตนติดไวรัสหรือไม่ พอเปิดเครื่องใช้ก็อาจพบว่าระบบคอมพิวเตอร์ของตนถูกไวรัสทำลายเสียแล้ว ไวรัสบางตัวไม่เพียงทำลาย ลบ ล้าง ย้ายข้อมูลของเรา โดยไม่ได้รับอนุญาตเท่านั้น แต่ยังสามารถทำลายโปรแกรมอื่น ๆได้อีกด้วยโดยสังเกตได้จากการที่หน้าจอแสดงผลโดยอาการแปลก ๆ
การป้องกันไวรัสคอมพิวเตอร์
มีเทคนิคอยู่มากมายหลายวิธี ดังนี้
-ทุกครั้งที่นำซอฟแวร์ที่ไม่ทราบแหล่งที่ผลิต หรือได้รับแจกฟรี ต้องตรวจสอบให้แน่ใจก่อนนำไปใช้
-ควรตรวจสอบทั้งฮาร์ดแวร์และซอฟแวร์อย่างสม่ำเสมอ อย่างน้อยวันละ 1 ครั้ง
- เตรียมแผ่นที่สะอาดไว้สำหรับบูตเครื่องเมื่อคราวจำเป็น
- ควรสำรองข้อมูลไว้เสมอ
- พยายามสังเกตุสิ่งผิดปกติที่เกิดขึ้นกับเครื่องอย่างสม่ำเสมอ เช่น การทำงานที่ช้าลง ขนาดไฟล์ หน้าจอแสดงผลแปลก ๆ ไดรฟ์มีเสียงผิดปกติ
-ไม่นำแผ่นดิสก์ไปใช้กับเครื่องคอมพิวเตอร์อื่น ๆ ถ้ายังไม่ได้ปิดแถบป้องกันการบันทึก (Write Protect )
- ควรแยกแผ่นโปรแกรม และแผ่นข้อมูลออกจากกันโดยเด็ดขาด
-ไม่อนุญาตให้คนอื่นมาเล่นเครื่องคอมพิวเตอร์ของท่าน โดยปราศจากการควบคุมอย่างใกล้ชิด
-ควรมีโปรแกรมป้องกันไวรัสไว้ใช้ตรวจสอบและป้องกัน โดยเฉพาะโปรแกรมป้องกันไวรัสรุ่นใหม่ ๆ จะมีประสิทธิภาพในการป้องกันได้ดีขึ้นมาก ในที่นี้จะขอแนะนำโปรแกรม SCAN ของบริษัท McAfee Associates รุ่น V.2.5.1 หรือ Norton Antivirus
จรรยาบรรณในการใช้คอมพิวเตอร์
1.ไม่ใช้คอมพิวเตอร์ทำร้ายผู้อื่น
2.ไม่รบกวนจนงานคอมพิวเตอร์ของผู้อื่น
3. ไม่แอบดูแฟ้มข้อมูลของผู้อื่น
4.ไม่ใช้คอมพิวเตอร์เพื่อลักขโมย
5.ไม่ใช้คอมพิวเตอร์เพื่อเป็นพยานเท็จ
6. ไม่ใช้หรือทำสำเนาซอฟต์แวร์ที่ตนไม่ได้ซื้อสิทธิ์
7.ไม่ใช้คอมพิวเตอร์ของผู้อื่นโดยไม่มีอำนาจหน้าที่
8.ไม่ฉวยเอาทรัพย์ทางปัญญาของผู้อื่นมาเป็นของตน
9.คิดถึงผลต่อเนื่องทางสังคมของโปรแกรมที่เขียน
10.ใช้คอมพิวเตอร์ในทางที่แสดงถึงความใคร่ครวญและเคารพจรรยาวิชาชีพของสมาชิกสมาคมเครื่องจักรกลคอมพิวเตอร์
พรบ.ว่าด้วยการกระทำความผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ พ.ศ.2550
สรุปมาตราที่ควรทราบ

(มาตรา 5 ) แฮกเกอร์ที่เจาะเข้าระบบคอมพิวเตอร์ที่มีมาตรการป้องกันการเข้าถึง จำคุกไม่เกินหกเดือนหรือปรับไม่เกินหนึ่งหมื่นบาทหรือทั้งจำทั้งปรับ
(มาตรา 7) แฮกเกอร์ที่เจาะเข้าระบบและได้เข้าไปดูข้อมูลของผู้อื่นจำคุกไม่เกินสองปีหรือปรับไม่เกินสี่หมื่นบาทหรือทั้งจำทั้งปรับ
(มาตรา 8) ผู้ที่ชอบดักรับข้อมูลของผู้อื่นระหว่างการส่งข้อมูลในระบบคอมพิวเตอร์ จำคุกไม่เกินสามปีหรือปรับไม่เกินหกหมื่นบาทหรือทั้งจำทั้งปรับ
(มาตรา 9,10 และ 12) ผู้ที่ทำการปลอมแปลง ทำลาย แก้ไขข้อมูลคอมพิวเตอร์ของผู้อื่น หรือทำการใดๆ ที่ไประงับ ชะลอ ขัดขวาง หรือรบกวนการทำงานระบบคอมพิวเตอร์ของผู้อื่น จำคุกสูงสุดยี่สิบปี
(มาตรา 11 ) ผู้ที่ส่งอีเมล์ปกปิดหรือปลอมแปลงแหล่งที่มา เช่น สแปมเมล์ (spam mail ) ทำให้รบกวนการใช้งานระบบคอมพิวเตอร์ของผู้อื่น ปรับไม่เกินหนึ่งแสนบาท
(มาตรา 14) ผู้ที่นำเข้าข้อมูลที่ไม่เหมาะสมเข้าไปในระบบคอมพิวเตอร์ซึ่งคนอื่นสามารถเข้าไปดูข้อมูลนั้นได้ เช่นข้อมูลอันเป็นเท็จที่ส่งผลกระทบต่อความมั่นคงของประเทศ ก่อให้เกิดความตื่นตระหนกแก่ประชาชน หรือทำให้ผู้อื่นเสียหาย ข้อมูลความผิดเกี่ยวกับการก่อการร้าย ข้อมูลลามกอนาจาร หรือผู้ที่เผยแพร่หรือส่งต่อข้อมูลเหล่านี้ ไม่ว่าจะเป็นทางเครื่องคอมพิวเตอร์ พีดีเอ โทรศัพท์มือถือ หรือระบบคอมพิวเตอร์อื่นๆ จำคุกไม่เกินห้าปีหรือปรับไม่เกินหนึ่งแสนบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ
(มาตรา 16) ผู้ที่นำเข้าภาพตัดต่อ ภาพดัดแปลงด้วยวิธีการใดๆ ของบุคคลอื่นเข้าไปในระบบคอมพิวเตอร์โดยมีเจตนาให้ผู้นั้นเสียชื่อเสียง ถูกดูหมิ่น ถูกเกลียดชัง หรือได้รับความอับอาย จำคุกไม่เกินสามปี หรือปรับไม่เกินหกหมื่นบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ
(มาตรา 26) ผู้ให้บริการ เช่น อินเตอร์เน็ตคาเฟ่ ผู้ให้บริการสัญญาณอินเตอร์เน็ต กลุ่มผู้ประกอบการอีคอมเมิร์ช รวมถึงมหาวิทยาลัย ต้องเก็บข้อมูลการเข้าใช้งานระบบคอมพิวเตอร์ของผู้ใช้บริการไม่น้อยกว่าเก้าสิบวัน เพื่อใช้ติดตามผู้กระทำความผิดมาลงโทษ หากผู้ให้บริการไม่ปฏิบัติตามนี้ ปรับสูงสุดถึงห้าแสนบาท


นายสุริยา กัญญาพันธ์
54191700244
สาขาอุตสาหกรรมศิลป์และเทคโนโลยี

Unknown กล่าวว่า...

ไวรัสคอมพิวเตอร์ คือ ชื่อเรียกสำหรับโปรแกรมประเภทหนึ่งที่มีพฤติกรรมคล้ายๆ กับไวรัสที่เป็นเชื้อโรค ที่สามารถแพร่เชื้อได้และมักทำอันตรายต่อสิ่งมีชีวิตที่มันอาศัยอยู่ แต่ต่างกันตรงที่ว่าคอมพิวเตอร์ไวรัสเป็นแค่เพียงโปรแกรมเท่านั้น ไม่ใช่สิ่งมีชีวิต

การป้องกันไวรัส
1.สำรองไฟล์ข้อมูลที่สำคัญ
2.สำหรับเครื่องที่มีฮาร์ดดิสก์ อย่าเรียกดอสจากฟลอปปีดิสก์
3.ป้องกันการเขียนให้กับฟลอปปีดิสก์
4.อย่าเรียกโปรแกรมที่ติดมากับดิสก์อื่น
5.เสาะหาโปรแกรมตรวจหาไวรัสที่ใหม่และมากกว่าหนึ่งโปรแกรมจากคนละบริษัท
6.เรียกใช้โปรแกรมตรวจหาไวรัสเป็นช่วงๆ
7. เรียกใช้โปรแกรมตรวจจับไวรัสแบบเฝ้าดูทุกครั้ง
8. เลือกคัดลอกซอฟแวร์เฉพาะที่ถูกตรวจสอบแล้วในบีบีเอส
9. สำรองข้อมูลที่สำคัญของฮาร์ดิสก์ไปเก็บในฟลอปปีดิสก์
10. เตรียมฟลอปปีดิสก์ที่ไว้สำหรับให้เรียกดอสก์ขึ้นมาทำงานได้
11. เมื่อเครื่องติดไวรัส ให้พยายามหาที่มาของไวรัสนั้น

จริยธรรมในการใช้ ICT
1.ไม่ใช้คอมพิวเตอร์ทำร้ายผู้อื่น
2.ไม่รบกวนจนงานคอมพิวเตอร์ของผู้อื่น
3. ไม่แอบดูแฟ้มข้อมูลของผู้อื่น
4. ไม่ใช้คอมพิวเตอร์เพื่อลักขโมย
5.ไม่ใช้คอมพิวเตอร์เพื่อเป็นพยานเท็จ
6.ไม่ใช้หรือทำสำเนาซอฟต์แวร์ที่ตนไม่ได้ซื้อสิทธิ์
7.ไม่ใช้คอมพิวเตอร์ของผู้อื่นโดยไม่มีอำนาจหน้าที่
8. ไม่ฉวยเอาทรัพย์ทางปัญญาของผู้อื่นมาเป็นของตน
9. คิดถึงผลต่อเนื่องทางสังคมของโปรแกรมที่เขียน
10. ใช้คอมพิวเตอร์ในทางที่แสดงถึงความใคร่ครวญและเคารพจรรยาวิชาชีพของสมาชิกสมาคมเครื่องจักรกลคอมพิวเตอร์

พรบ.ว่าด้วยการกระทำความผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์
(มาตรา 5 ) แฮกเกอร์ที่เจาะเข้าระบบคอมพิวเตอร์ที่มีมาตรการป้องกันการเข้าถึง จำคุกไม่เกินหกเดือนหรือปรับไม่เกินหนึ่งหมื่นบาทหรือทั้งจำทั้งปรับ
(มาตรา 7) แฮกเกอร์ที่เจาะเข้าระบบและได้เข้าไปดูข้อมูลของผู้อื่นจำคุกไม่เกินสองปีหรือปรับไม่เกินสี่หมื่นบาทหรือทั้งจำทั้งปรับ
(มาตรา 8) ผู้ที่ชอบดักรับข้อมูลของผู้อื่นระหว่างการส่งข้อมูลในระบบคอมพิวเตอร์ จำคุกไม่เกินสามปีหรือปรับไม่เกินหกหมื่นบาทหรือทั้งจำทั้งปรับ
(มาตรา 9,10 และ 12) ผู้ที่ทำการปลอมแปลง ทำลาย แก้ไขข้อมูลคอมพิวเตอร์ของผู้อื่น หรือทำการใดๆ ที่ไประงับ ชะลอ ขัดขวาง หรือรบกวนการทำงานระบบคอมพิวเตอร์ของผู้อื่น จำคุกสูงสุดยี่สิบปี
(มาตรา 11 ) ผู้ที่ส่งอีเมล์ปกปิดหรือปลอมแปลงแหล่งที่มา เช่น สแปมเมล์ (spam mail ) ทำให้รบกวนการใช้งานระบบคอมพิวเตอร์ของผู้อื่น ปรับไม่เกินหนึ่งแสนบาท
(มาตรา 14) ผู้ที่นำเข้าข้อมูลที่ไม่เหมาะสมเข้าไปในระบบคอมพิวเตอร์ซึ่งคนอื่นสามารถเข้าไปดูข้อมูลนั้นได้ เช่นข้อมูลอันเป็นเท็จที่ส่งผลกระทบต่อความมั่นคงของประเทศ ก่อให้เกิดความตื่นตระหนกแก่ประชาชน หรือทำให้ผู้อื่นเสียหาย ข้อมูลความผิดเกี่ยวกับการก่อการร้าย ข้อมูลลามกอนาจาร หรือผู้ที่เผยแพร่หรือส่งต่อข้อมูลเหล่านี้ ไม่ว่าจะเป็นทางเครื่องคอมพิวเตอร์ พีดีเอ โทรศัพท์มือถือ หรือระบบคอมพิวเตอร์อื่นๆ จำคุกไม่เกินห้าปีหรือปรับไม่เกินหนึ่งแสนบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ
(มาตรา 16) ผู้ที่นำเข้าภาพตัดต่อ ภาพดัดแปลงด้วยวิธีการใดๆ ของบุคคลอื่นเข้าไปในระบบคอมพิวเตอร์โดยมีเจตนาให้ผู้นั้นเสียชื่อเสียง ถูกดูหมิ่น ถูกเกลียดชัง หรือได้รับความอับอาย จำคุกไม่เกินสามปี หรือปรับไม่เกินหกหมื่นบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ
(มาตรา 26) ผู้ให้บริการ เช่น อินเตอร์เน็ตคาเฟ่ ผู้ให้บริการสัญญาณอินเตอร์เน็ต กลุ่มผู้ประกอบการอีคอมเมิร์ช รวมถึงมหาวิทยาลัย ต้องเก็บข้อมูลการเข้าใช้งานระบบคอมพิวเตอร์ของผู้ใช้บริการไม่น้อยกว่าเก้าสิบวัน เพื่อใช้ติดตามผู้กระทำความผิดมาลงโทษ หากผู้ให้บริการไม่ปฏิบัติตามนี้ ปรับสูงสุดถึงห้าแสนบาท
นางสาวลักษณาวรรณ ปัญญาดี สาขาภาษาไทย 55191010140

นางสาววิดาพร โทระษา กล่าวว่า...

ไวรัสคอมพิวเตอร์ คือ ชื่อเรียกสำหรับโปรแกรมประเภทหนึ่งที่มีพฤติกรรมคล้ายๆ กับไวรัสที่เป็นเชื้อโรค ที่สามารถแพร่เชื้อได้และมักทำอันตรายต่อสิ่งมีชีวิตที่มันอาศัยอยู่ แต่ต่างกันตรงที่ว่าคอมพิวเตอร์ไวรัสเป็นแค่เพียงโปรแกรมเท่านั้น ไม่ใช่สิ่งมีชีวิต

การป้องกันไวรัส
1.สำรองไฟล์ข้อมูลที่สำคัญ
2.สำหรับเครื่องที่มีฮาร์ดดิสก์ อย่าเรียกดอสจากฟลอปปีดิสก์
3.ป้องกันการเขียนให้กับฟลอปปีดิสก์
4.อย่าเรียกโปรแกรมที่ติดมากับดิสก์อื่น
5.เสาะหาโปรแกรมตรวจหาไวรัสที่ใหม่และมากกว่าหนึ่งโปรแกรมจากคนละบริษัท
6.เรียกใช้โปรแกรมตรวจหาไวรัสเป็นช่วงๆ
7. เรียกใช้โปรแกรมตรวจจับไวรัสแบบเฝ้าดูทุกครั้ง
8. เลือกคัดลอกซอฟแวร์เฉพาะที่ถูกตรวจสอบแล้วในบีบีเอส
9. สำรองข้อมูลที่สำคัญของฮาร์ดิสก์ไปเก็บในฟลอปปีดิสก์
10. เตรียมฟลอปปีดิสก์ที่ไว้สำหรับให้เรียกดอสก์ขึ้นมาทำงานได้
11. เมื่อเครื่องติดไวรัส ให้พยายามหาที่มาของไวรัสนั้น

จริยธรรมในการใช้ ICT
1.ไม่ใช้คอมพิวเตอร์ทำร้ายผู้อื่น
2.ไม่รบกวนจนงานคอมพิวเตอร์ของผู้อื่น
3. ไม่แอบดูแฟ้มข้อมูลของผู้อื่น
4. ไม่ใช้คอมพิวเตอร์เพื่อลักขโมย
5.ไม่ใช้คอมพิวเตอร์เพื่อเป็นพยานเท็จ
6.ไม่ใช้หรือทำสำเนาซอฟต์แวร์ที่ตนไม่ได้ซื้อสิทธิ์
7.ไม่ใช้คอมพิวเตอร์ของผู้อื่นโดยไม่มีอำนาจหน้าที่
8. ไม่ฉวยเอาทรัพย์ทางปัญญาของผู้อื่นมาเป็นของตน
9. คิดถึงผลต่อเนื่องทางสังคมของโปรแกรมที่เขียน
10. ใช้คอมพิวเตอร์ในทางที่แสดงถึงความใคร่ครวญและเคารพจรรยาวิชาชีพของสมาชิกสมาคมเครื่องจักรกลคอมพิวเตอร์

พรบ.ว่าด้วยการกระทำความผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์
(มาตรา 5 ) แฮกเกอร์ที่เจาะเข้าระบบคอมพิวเตอร์ที่มีมาตรการป้องกันการเข้าถึง จำคุกไม่เกินหกเดือนหรือปรับไม่เกินหนึ่งหมื่นบาทหรือทั้งจำทั้งปรับ
(มาตรา 7) แฮกเกอร์ที่เจาะเข้าระบบและได้เข้าไปดูข้อมูลของผู้อื่นจำคุกไม่เกินสองปีหรือปรับไม่เกินสี่หมื่นบาทหรือทั้งจำทั้งปรับ
(มาตรา 8) ผู้ที่ชอบดักรับข้อมูลของผู้อื่นระหว่างการส่งข้อมูลในระบบคอมพิวเตอร์ จำคุกไม่เกินสามปีหรือปรับไม่เกินหกหมื่นบาทหรือทั้งจำทั้งปรับ
(มาตรา 9,10 และ 12) ผู้ที่ทำการปลอมแปลง ทำลาย แก้ไขข้อมูลคอมพิวเตอร์ของผู้อื่น หรือทำการใดๆ ที่ไประงับ ชะลอ ขัดขวาง หรือรบกวนการทำงานระบบคอมพิวเตอร์ของผู้อื่น จำคุกสูงสุดยี่สิบปี
(มาตรา 11 ) ผู้ที่ส่งอีเมล์ปกปิดหรือปลอมแปลงแหล่งที่มา เช่น สแปมเมล์ (spam mail ) ทำให้รบกวนการใช้งานระบบคอมพิวเตอร์ของผู้อื่น ปรับไม่เกินหนึ่งแสนบาท
(มาตรา 14) ผู้ที่นำเข้าข้อมูลที่ไม่เหมาะสมเข้าไปในระบบคอมพิวเตอร์ซึ่งคนอื่นสามารถเข้าไปดูข้อมูลนั้นได้ เช่นข้อมูลอันเป็นเท็จที่ส่งผลกระทบต่อความมั่นคงของประเทศ ก่อให้เกิดความตื่นตระหนกแก่ประชาชน หรือทำให้ผู้อื่นเสียหาย ข้อมูลความผิดเกี่ยวกับการก่อการร้าย ข้อมูลลามกอนาจาร หรือผู้ที่เผยแพร่หรือส่งต่อข้อมูลเหล่านี้ ไม่ว่าจะเป็นทางเครื่องคอมพิวเตอร์ พีดีเอ โทรศัพท์มือถือ หรือระบบคอมพิวเตอร์อื่นๆ จำคุกไม่เกินห้าปีหรือปรับไม่เกินหนึ่งแสนบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ
(มาตรา 16) ผู้ที่นำเข้าภาพตัดต่อ ภาพดัดแปลงด้วยวิธีการใดๆ ของบุคคลอื่นเข้าไปในระบบคอมพิวเตอร์โดยมีเจตนาให้ผู้นั้นเสียชื่อเสียง ถูกดูหมิ่น ถูกเกลียดชัง หรือได้รับความอับอาย จำคุกไม่เกินสามปี หรือปรับไม่เกินหกหมื่นบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ
(มาตรา 26) ผู้ให้บริการ เช่น อินเตอร์เน็ตคาเฟ่ ผู้ให้บริการสัญญาณอินเตอร์เน็ต กลุ่มผู้ประกอบการอีคอมเมิร์ช รวมถึงมหาวิทยาลัย ต้องเก็บข้อมูลการเข้าใช้งานระบบคอมพิวเตอร์ของผู้ใช้บริการไม่น้อยกว่าเก้าสิบวัน เพื่อใช้ติดตามผู้กระทำความผิดมาลงโทษ หากผู้ให้บริการไม่ปฏิบัติตามนี้ ปรับสูงสุดถึงห้าแสนบาท



นางสาววิดาพร โทระษา
รหัสนักศึกษา 54191700244
สาขาวิชาอุตสาหกรรมศิลป์และเทคโนโลยี หมู่ 2

นางสาววิดาพร โทระษา กล่าวว่า...

ไวรัสคอมพิวเตอร์ คือ ชื่อเรียกสำหรับโปรแกรมประเภทหนึ่งที่มีพฤติกรรมคล้ายๆ กับไวรัสที่เป็นเชื้อโรค ที่สามารถแพร่เชื้อได้และมักทำอันตรายต่อสิ่งมีชีวิตที่มันอาศัยอยู่ แต่ต่างกันตรงที่ว่าคอมพิวเตอร์ไวรัสเป็นแค่เพียงโปรแกรมเท่านั้น ไม่ใช่สิ่งมีชีวิต

การป้องกันไวรัส
1.สำรองไฟล์ข้อมูลที่สำคัญ
2.สำหรับเครื่องที่มีฮาร์ดดิสก์ อย่าเรียกดอสจากฟลอปปีดิสก์
3.ป้องกันการเขียนให้กับฟลอปปีดิสก์
4.อย่าเรียกโปรแกรมที่ติดมากับดิสก์อื่น
5.เสาะหาโปรแกรมตรวจหาไวรัสที่ใหม่และมากกว่าหนึ่งโปรแกรมจากคนละบริษัท
6.เรียกใช้โปรแกรมตรวจหาไวรัสเป็นช่วงๆ
7. เรียกใช้โปรแกรมตรวจจับไวรัสแบบเฝ้าดูทุกครั้ง
8. เลือกคัดลอกซอฟแวร์เฉพาะที่ถูกตรวจสอบแล้วในบีบีเอส
9. สำรองข้อมูลที่สำคัญของฮาร์ดิสก์ไปเก็บในฟลอปปีดิสก์
10. เตรียมฟลอปปีดิสก์ที่ไว้สำหรับให้เรียกดอสก์ขึ้นมาทำงานได้
11. เมื่อเครื่องติดไวรัส ให้พยายามหาที่มาของไวรัสนั้น

จริยธรรมในการใช้ ICT
1.ไม่ใช้คอมพิวเตอร์ทำร้ายผู้อื่น
2.ไม่รบกวนจนงานคอมพิวเตอร์ของผู้อื่น
3. ไม่แอบดูแฟ้มข้อมูลของผู้อื่น
4. ไม่ใช้คอมพิวเตอร์เพื่อลักขโมย
5.ไม่ใช้คอมพิวเตอร์เพื่อเป็นพยานเท็จ
6.ไม่ใช้หรือทำสำเนาซอฟต์แวร์ที่ตนไม่ได้ซื้อสิทธิ์
7.ไม่ใช้คอมพิวเตอร์ของผู้อื่นโดยไม่มีอำนาจหน้าที่
8. ไม่ฉวยเอาทรัพย์ทางปัญญาของผู้อื่นมาเป็นของตน
9. คิดถึงผลต่อเนื่องทางสังคมของโปรแกรมที่เขียน
10. ใช้คอมพิวเตอร์ในทางที่แสดงถึงความใคร่ครวญและเคารพจรรยาวิชาชีพของสมาชิกสมาคมเครื่องจักรกลคอมพิวเตอร์

พรบ.ว่าด้วยการกระทำความผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์
(มาตรา 5 ) แฮกเกอร์ที่เจาะเข้าระบบคอมพิวเตอร์ที่มีมาตรการป้องกันการเข้าถึง จำคุกไม่เกินหกเดือนหรือปรับไม่เกินหนึ่งหมื่นบาทหรือทั้งจำทั้งปรับ
(มาตรา 7) แฮกเกอร์ที่เจาะเข้าระบบและได้เข้าไปดูข้อมูลของผู้อื่นจำคุกไม่เกินสองปีหรือปรับไม่เกินสี่หมื่นบาทหรือทั้งจำทั้งปรับ
(มาตรา 8) ผู้ที่ชอบดักรับข้อมูลของผู้อื่นระหว่างการส่งข้อมูลในระบบคอมพิวเตอร์ จำคุกไม่เกินสามปีหรือปรับไม่เกินหกหมื่นบาทหรือทั้งจำทั้งปรับ
(มาตรา 9,10 และ 12) ผู้ที่ทำการปลอมแปลง ทำลาย แก้ไขข้อมูลคอมพิวเตอร์ของผู้อื่น หรือทำการใดๆ ที่ไประงับ ชะลอ ขัดขวาง หรือรบกวนการทำงานระบบคอมพิวเตอร์ของผู้อื่น จำคุกสูงสุดยี่สิบปี
(มาตรา 11 ) ผู้ที่ส่งอีเมล์ปกปิดหรือปลอมแปลงแหล่งที่มา เช่น สแปมเมล์ (spam mail ) ทำให้รบกวนการใช้งานระบบคอมพิวเตอร์ของผู้อื่น ปรับไม่เกินหนึ่งแสนบาท
(มาตรา 14) ผู้ที่นำเข้าข้อมูลที่ไม่เหมาะสมเข้าไปในระบบคอมพิวเตอร์ซึ่งคนอื่นสามารถเข้าไปดูข้อมูลนั้นได้ เช่นข้อมูลอันเป็นเท็จที่ส่งผลกระทบต่อความมั่นคงของประเทศ ก่อให้เกิดความตื่นตระหนกแก่ประชาชน หรือทำให้ผู้อื่นเสียหาย ข้อมูลความผิดเกี่ยวกับการก่อการร้าย ข้อมูลลามกอนาจาร หรือผู้ที่เผยแพร่หรือส่งต่อข้อมูลเหล่านี้ ไม่ว่าจะเป็นทางเครื่องคอมพิวเตอร์ พีดีเอ โทรศัพท์มือถือ หรือระบบคอมพิวเตอร์อื่นๆ จำคุกไม่เกินห้าปีหรือปรับไม่เกินหนึ่งแสนบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ
(มาตรา 16) ผู้ที่นำเข้าภาพตัดต่อ ภาพดัดแปลงด้วยวิธีการใดๆ ของบุคคลอื่นเข้าไปในระบบคอมพิวเตอร์โดยมีเจตนาให้ผู้นั้นเสียชื่อเสียง ถูกดูหมิ่น ถูกเกลียดชัง หรือได้รับความอับอาย จำคุกไม่เกินสามปี หรือปรับไม่เกินหกหมื่นบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ
(มาตรา 26) ผู้ให้บริการ เช่น อินเตอร์เน็ตคาเฟ่ ผู้ให้บริการสัญญาณอินเตอร์เน็ต กลุ่มผู้ประกอบการอีคอมเมิร์ช รวมถึงมหาวิทยาลัย ต้องเก็บข้อมูลการเข้าใช้งานระบบคอมพิวเตอร์ของผู้ใช้บริการไม่น้อยกว่าเก้าสิบวัน เพื่อใช้ติดตามผู้กระทำความผิดมาลงโทษ หากผู้ให้บริการไม่ปฏิบัติตามนี้ ปรับสูงสุดถึงห้าแสนบาท


นางสาววิดาพร โทระษา
รหัสนักศึกษา 54191700227
สาขาวิชาอุตสาหกรรมศิลป์และเทคโนโลยี หมู่ 2

อัมรา เอี่ยมละออง กล่าวว่า...

ไวรัสคอมพิวเตอร์ คือ ชื่อเรียกสำหรับโปรแกรมประเภทหนึ่งที่มีพฤติกรรมคล้ายๆ กับไวรัสที่เป็นเชื้อโรค ที่สามารถแพร่เชื้อได้และมักทำอันตรายต่อสิ่งมีชีวิตที่มันอาศัยอยู่ แต่ต่างกันตรงที่ว่าคอมพิวเตอร์ไวรัสเป็นแค่เพียงโปรแกรมเท่านั้น ไม่ใช่สิ่งมีชีวิต

การป้องกันไวรัส
1.สำรองไฟล์ข้อมูลที่สำคัญ
2.สำหรับเครื่องที่มีฮาร์ดดิสก์ อย่าเรียกดอสจากฟลอปปีดิสก์
3.ป้องกันการเขียนให้กับฟลอปปีดิสก์
4.อย่าเรียกโปรแกรมที่ติดมากับดิสก์อื่น
5.เสาะหาโปรแกรมตรวจหาไวรัสที่ใหม่และมากกว่าหนึ่งโปรแกรมจากคนละบริษัท
6.เรียกใช้โปรแกรมตรวจหาไวรัสเป็นช่วงๆ
7. เรียกใช้โปรแกรมตรวจจับไวรัสแบบเฝ้าดูทุกครั้ง
8. เลือกคัดลอกซอฟแวร์เฉพาะที่ถูกตรวจสอบแล้วในบีบีเอส
9. สำรองข้อมูลที่สำคัญของฮาร์ดิสก์ไปเก็บในฟลอปปีดิสก์
10. เตรียมฟลอปปีดิสก์ที่ไว้สำหรับให้เรียกดอสก์ขึ้นมาทำงานได้
11. เมื่อเครื่องติดไวรัส ให้พยายามหาที่มาของไวรัสนั้น

จริยธรรมในการใช้ ICT
1.ไม่ใช้คอมพิวเตอร์ทำร้ายผู้อื่น
2.ไม่รบกวนจนงานคอมพิวเตอร์ของผู้อื่น
3. ไม่แอบดูแฟ้มข้อมูลของผู้อื่น
4. ไม่ใช้คอมพิวเตอร์เพื่อลักขโมย
5.ไม่ใช้คอมพิวเตอร์เพื่อเป็นพยานเท็จ
6.ไม่ใช้หรือทำสำเนาซอฟต์แวร์ที่ตนไม่ได้ซื้อสิทธิ์
7.ไม่ใช้คอมพิวเตอร์ของผู้อื่นโดยไม่มีอำนาจหน้าที่
8. ไม่ฉวยเอาทรัพย์ทางปัญญาของผู้อื่นมาเป็นของตน
9. คิดถึงผลต่อเนื่องทางสังคมของโปรแกรมที่เขียน
10. ใช้คอมพิวเตอร์ในทางที่แสดงถึงความใคร่ครวญและเคารพจรรยาวิชาชีพของสมาชิกสมาคมเครื่องจักรกลคอมพิวเตอร์

พรบ.ว่าด้วยการกระทำความผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์
(มาตรา 5 ) แฮกเกอร์ที่เจาะเข้าระบบคอมพิวเตอร์ที่มีมาตรการป้องกันการเข้าถึง จำคุกไม่เกินหกเดือนหรือปรับไม่เกินหนึ่งหมื่นบาทหรือทั้งจำทั้งปรับ
(มาตรา 7) แฮกเกอร์ที่เจาะเข้าระบบและได้เข้าไปดูข้อมูลของผู้อื่นจำคุกไม่เกินสองปีหรือปรับไม่เกินสี่หมื่นบาทหรือทั้งจำทั้งปรับ
(มาตรา 8) ผู้ที่ชอบดักรับข้อมูลของผู้อื่นระหว่างการส่งข้อมูลในระบบคอมพิวเตอร์ จำคุกไม่เกินสามปีหรือปรับไม่เกินหกหมื่นบาทหรือทั้งจำทั้งปรับ
(มาตรา 9,10 และ 12) ผู้ที่ทำการปลอมแปลง ทำลาย แก้ไขข้อมูลคอมพิวเตอร์ของผู้อื่น หรือทำการใดๆ ที่ไประงับ ชะลอ ขัดขวาง หรือรบกวนการทำงานระบบคอมพิวเตอร์ของผู้อื่น จำคุกสูงสุดยี่สิบปี
(มาตรา 11 ) ผู้ที่ส่งอีเมล์ปกปิดหรือปลอมแปลงแหล่งที่มา เช่น สแปมเมล์ (spam mail ) ทำให้รบกวนการใช้งานระบบคอมพิวเตอร์ของผู้อื่น ปรับไม่เกินหนึ่งแสนบาท
(มาตรา 14) ผู้ที่นำเข้าข้อมูลที่ไม่เหมาะสมเข้าไปในระบบคอมพิวเตอร์ซึ่งคนอื่นสามารถเข้าไปดูข้อมูลนั้นได้ เช่นข้อมูลอันเป็นเท็จที่ส่งผลกระทบต่อความมั่นคงของประเทศ ก่อให้เกิดความตื่นตระหนกแก่ประชาชน หรือทำให้ผู้อื่นเสียหาย ข้อมูลความผิดเกี่ยวกับการก่อการร้าย ข้อมูลลามกอนาจาร หรือผู้ที่เผยแพร่หรือส่งต่อข้อมูลเหล่านี้ ไม่ว่าจะเป็นทางเครื่องคอมพิวเตอร์ พีดีเอ โทรศัพท์มือถือ หรือระบบคอมพิวเตอร์อื่นๆ จำคุกไม่เกินห้าปีหรือปรับไม่เกินหนึ่งแสนบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ
(มาตรา 16) ผู้ที่นำเข้าภาพตัดต่อ ภาพดัดแปลงด้วยวิธีการใดๆ ของบุคคลอื่นเข้าไปในระบบคอมพิวเตอร์โดยมีเจตนาให้ผู้นั้นเสียชื่อเสียง ถูกดูหมิ่น ถูกเกลียดชัง หรือได้รับความอับอาย จำคุกไม่เกินสามปี หรือปรับไม่เกินหกหมื่นบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ
(มาตรา 26) ผู้ให้บริการ เช่น อินเตอร์เน็ตคาเฟ่ ผู้ให้บริการสัญญาณอินเตอร์เน็ต กลุ่มผู้ประกอบการอีคอมเมิร์ช รวมถึงมหาวิทยาลัย ต้องเก็บข้อมูลการเข้าใช้งานระบบคอมพิวเตอร์ของผู้ใช้บริการไม่น้อยกว่าเก้าสิบวัน เพื่อใช้ติดตามผู้กระทำความผิดมาลงโทษ หากผู้ให้บริการไม่ปฏิบัติตามนี้ ปรับสูงสุดถึงห้าแสนบาท

นางสาวอัมรา เอี่ยมละออง 55123020140
ภาษาอังกฤษเพื่อการสื่อสาร

Unknown กล่าวว่า...

ไวรัสคอมพิวเตอร์ คือ ชื่อเรียกสำหรับโปรแกรมประเภทหนึ่งที่มีพฤติกรรมคล้ายๆ กับไวรัสที่เป็นเชื้อโรค ที่สามารถแพร่เชื้อได้และมักทำอันตรายต่อสิ่งมีชีวิตที่มันอาศัยอยู่ แต่ต่างกันตรงที่ว่าคอมพิวเตอร์ไวรัสเป็นแค่เพียงโปรแกรมเท่านั้น ไม่ใช่สิ่งมีชีวิต

การป้องกันไวรัส
1.สำรองไฟล์ข้อมูลที่สำคัญ
2.สำหรับเครื่องที่มีฮาร์ดดิสก์ อย่าเรียกดอสจากฟลอปปีดิสก์
3.ป้องกันการเขียนให้กับฟลอปปีดิสก์
4.อย่าเรียกโปรแกรมที่ติดมากับดิสก์อื่น
5.เสาะหาโปรแกรมตรวจหาไวรัสที่ใหม่และมากกว่าหนึ่งโปรแกรมจากคนละบริษัท
6.เรียกใช้โปรแกรมตรวจหาไวรัสเป็นช่วงๆ
7. เรียกใช้โปรแกรมตรวจจับไวรัสแบบเฝ้าดูทุกครั้ง
8. เลือกคัดลอกซอฟแวร์เฉพาะที่ถูกตรวจสอบแล้วในบีบีเอส
9. สำรองข้อมูลที่สำคัญของฮาร์ดิสก์ไปเก็บในฟลอปปีดิสก์
10. เตรียมฟลอปปีดิสก์ที่ไว้สำหรับให้เรียกดอสก์ขึ้นมาทำงานได้
11. เมื่อเครื่องติดไวรัส ให้พยายามหาที่มาของไวรัสนั้น

จริยธรรมในการใช้ ICT
1.ไม่ใช้คอมพิวเตอร์ทำร้ายผู้อื่น
2.ไม่รบกวนจนงานคอมพิวเตอร์ของผู้อื่น
3. ไม่แอบดูแฟ้มข้อมูลของผู้อื่น
4. ไม่ใช้คอมพิวเตอร์เพื่อลักขโมย
5.ไม่ใช้คอมพิวเตอร์เพื่อเป็นพยานเท็จ
6.ไม่ใช้หรือทำสำเนาซอฟต์แวร์ที่ตนไม่ได้ซื้อสิทธิ์
7.ไม่ใช้คอมพิวเตอร์ของผู้อื่นโดยไม่มีอำนาจหน้าที่
8. ไม่ฉวยเอาทรัพย์ทางปัญญาของผู้อื่นมาเป็นของตน
9. คิดถึงผลต่อเนื่องทางสังคมของโปรแกรมที่เขียน
10. ใช้คอมพิวเตอร์ในทางที่แสดงถึงความใคร่ครวญและเคารพจรรยาวิชาชีพของสมาชิกสมาคมเครื่องจักรกลคอมพิวเตอร์

พรบ.ว่าด้วยการกระทำความผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์
(มาตรา 5 ) แฮกเกอร์ที่เจาะเข้าระบบคอมพิวเตอร์ที่มีมาตรการป้องกันการเข้าถึง จำคุกไม่เกินหกเดือนหรือปรับไม่เกินหนึ่งหมื่นบาทหรือทั้งจำทั้งปรับ
(มาตรา 7) แฮกเกอร์ที่เจาะเข้าระบบและได้เข้าไปดูข้อมูลของผู้อื่นจำคุกไม่เกินสองปีหรือปรับไม่เกินสี่หมื่นบาทหรือทั้งจำทั้งปรับ
(มาตรา 8) ผู้ที่ชอบดักรับข้อมูลของผู้อื่นระหว่างการส่งข้อมูลในระบบคอมพิวเตอร์ จำคุกไม่เกินสามปีหรือปรับไม่เกินหกหมื่นบาทหรือทั้งจำทั้งปรับ
(มาตรา 9,10 และ 12) ผู้ที่ทำการปลอมแปลง ทำลาย แก้ไขข้อมูลคอมพิวเตอร์ของผู้อื่น หรือทำการใดๆ ที่ไประงับ ชะลอ ขัดขวาง หรือรบกวนการทำงานระบบคอมพิวเตอร์ของผู้อื่น จำคุกสูงสุดยี่สิบปี
(มาตรา 11 ) ผู้ที่ส่งอีเมล์ปกปิดหรือปลอมแปลงแหล่งที่มา เช่น สแปมเมล์ (spam mail ) ทำให้รบกวนการใช้งานระบบคอมพิวเตอร์ของผู้อื่น ปรับไม่เกินหนึ่งแสนบาท
(มาตรา 14) ผู้ที่นำเข้าข้อมูลที่ไม่เหมาะสมเข้าไปในระบบคอมพิวเตอร์ซึ่งคนอื่นสามารถเข้าไปดูข้อมูลนั้นได้ เช่นข้อมูลอันเป็นเท็จที่ส่งผลกระทบต่อความมั่นคงของประเทศ ก่อให้เกิดความตื่นตระหนกแก่ประชาชน หรือทำให้ผู้อื่นเสียหาย ข้อมูลความผิดเกี่ยวกับการก่อการร้าย ข้อมูลลามกอนาจาร หรือผู้ที่เผยแพร่หรือส่งต่อข้อมูลเหล่านี้ ไม่ว่าจะเป็นทางเครื่องคอมพิวเตอร์ พีดีเอ โทรศัพท์มือถือ หรือระบบคอมพิวเตอร์อื่นๆ จำคุกไม่เกินห้าปีหรือปรับไม่เกินหนึ่งแสนบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ
(มาตรา 16) ผู้ที่นำเข้าภาพตัดต่อ ภาพดัดแปลงด้วยวิธีการใดๆ ของบุคคลอื่นเข้าไปในระบบคอมพิวเตอร์โดยมีเจตนาให้ผู้นั้นเสียชื่อเสียง ถูกดูหมิ่น ถูกเกลียดชัง หรือได้รับความอับอาย จำคุกไม่เกินสามปี หรือปรับไม่เกินหกหมื่นบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ
(มาตรา 26) ผู้ให้บริการ เช่น อินเตอร์เน็ตคาเฟ่ ผู้ให้บริการสัญญาณอินเตอร์เน็ต กลุ่มผู้ประกอบการอีคอมเมิร์ช รวมถึงมหาวิทยาลัย ต้องเก็บข้อมูลการเข้าใช้งานระบบคอมพิวเตอร์ของผู้ใช้บริการไม่น้อยกว่าเก้าสิบวัน เพื่อใช้ติดตามผู้กระทำความผิดมาลงโทษ หากผู้ให้บริการไม่ปฏิบัติตามนี้ ปรับสูงสุดถึงห้าแสนบาท

นางสาววิภาวี มีชัย
รหัส54191700229
สาขาอุตสาหกรรมศิลป์และเทคโนโลยี

Unknown กล่าวว่า...

1.ไวรัสคอมพิวเตอร์ ที่บุกรุกเข้าไปในเครื่องคอมพิวเตอร์โดยไม่ได้รับความยินยอมจากผู้ใช้ ส่วนมากมักจะมีประสงค์ร้ายและสร้างความเสียหายให้กับระบบของเครื่องคอมพิวเตอร์นั้นๆ
ในเชิงเทคโนโลยีความมั่นคงของระบบคอมพิวเตอร์นั้น ไวรัสเป็นโปรแกรมคอมพิวเตอร์ที่สามารถทำสำเนาของตัวเอง เพื่อแพร่ออกไปโดยการสอดแทรกตัวสำเนาไปในรหัสคอมพิวเตอร์ส่วนของข้อมูลเอกสารหรือส่วนที่สามารถปฏิบัติการได้ ดังนั้นไวรัสคอมพิวเตอร์จึงมีพฤติกรรมในลักษณะเดียวกับไวรัสในทางชีววิทยา ซึ่งสามารถแพร่กระจายไปในเซลล์ของสิ่งมีชีวิตในลักษณะเดียวกันนี้ คำอื่นๆ ที่ใช้กับไวรัสในทางชีววิทยายังขยายขอบข่ายของความหมายครอบคลุมถึงไวรัสในทางคอมพิวเตอร์ เช่น การติดไวรัส (infection) แฟ้มข้อมูลที่ติดไวรัสนี้จะเรียกว่า โฮสต์ (host) ไวรัสนั้นเป็นประเภทหนึ่งของโปรแกรมประเภทมัลแวร์ (malware) หรือโปรแกรมที่มีประสงค์ร้าย ในความหมายที่ใช้กันทั่วไปนั้น ไวรัสยังใช้หมายรวมถึง เวิร์ม (worm) ซึ่งก็เป็นโปรแกรมอีกรูปแบบหนึ่งของมัลแวร์ ซึ่งบางครั้งก็ทำให้ผู้ใช้คอมพิวเตอร์นั้นสับสนเมื่อคำไวรัสนั้นใช้ในความหมายที่เฉพาะเจาะจง คอมพิวเตอร์ไวรัสนั้นโดยทั่วไปจะไม่ส่งผลก่อให้เกิดความเสียหายต่อฮาร์ดแวร์โดยตรง แต่จะทำความเสียหายต่อซอฟต์แวร์
2.การป้องกัน ติดตั้งโปรแกรมป้องกันไวรัสและอัปเดตข้อมูลไวรัสอยู่เสมอ
- ติดตั้งโปรแกรมป้องกันไวรัสที่เหมาะสม
- สร้างแผ่น Emergency Disk เพื่อใช้ในการกู้ระบบ
- อัปเดตข้อมูลไวรัสของโปรแกรมทุกวัน หรือ ทุกครั้งที่โปรแกรมแจ้งเตือนให้อัปเดต
- เปิดใช้งาน auto-protect ถ้าโปรแกรมสนับสนุน
- ตรวจสอบหาไวรัสทุกครั้งก่อนเปิดไฟล์จากแผ่นหรือสื่อบันทึกข้อมูลต่าง ๆ
- ใช้โปรแกรมเพื่อทำการตรวจหาไวรัสบนเครื่องคอมพิวเตอร์อย่างน้อย 1 ครั้ง ต่อสัปดาห์
จรรยาบรรณการใช้ ICT
1. ต้องไม่ใช้คอมพิวเตอร์ทำร้ายหรือละเมิดผู้อื่น
2. ต้องไม่รบกวนการทำงานของผู้อื่น
3. ต้องไม่สอดแนมหรือแก้ไขเปิดดูในแฟ้มของผู้อื่น
4. ต้องไม่ใช้คอมพิวเตอร์เพื่อการโจรกรรมข้อมูลข่าวสาร
5. ต้องไม่ใช้คอมพิวเตอร์สร้างหลักฐานที่เป็นเท็จ
6. ต้องไม่คัดลอกโปรแกรมผู้อื่นที่มีลิขสิทธิ์
7. ต้องไม่ละเมิดการใช้ทรัพยากรคอมพิวเตอร์โดยที่ตนเองไม่มีสิทธิ์
8. ต้องไม่นำเอาผลงานของผู้อื่นมาเป็นของตน
9. ต้องคำนึงถึงสิ่งที่จะเกิดขึ้นกับสังคมอันติดตามมาจากการกระทำ
10.ต้องใช้คอมพิวเตอร์โดยเคารพกฎระเบียบ กติกามารยาท
นางสาวอรอุมา ทรงวาจา
สาขาอุตสาหกรรมศิลป์และเทคโนโลยี หมู่ 2
รหัสนักศึกษา 54191700246

Unknown กล่าวว่า...

ไวรัสคอมพิวเตอร์
ที่บุกรุกเข้าไปในเครื่องคอมพิวเตอร์โดยไม่ได้รับความยินยอมจากผู้ใช้ ส่วนมากมักจะมีประสงค์ร้ายและสร้างความเสียหายให้กับระบบของเครื่องคอมพิวเตอร์นั้นๆในเชิงเทคโนโลยีความมั่นคงของระบบคอมพิวเตอร์นั้น ไวรัสเป็นโปรแกรมคอมพิวเตอร์ที่สามารถทำสำเนาของตัวเอง เพื่อแพร่ออกไปโดยการสอดแทรกตัวสำเนาไปในรหัสคอมพิวเตอร์ส่วนของข้อมูลเอกสารหรือส่วนที่สามารถปฏิบัติการได้ ดังนั้นไวรัสคอมพิวเตอร์จึงมีพฤติกรรมในลักษณะเดียวกับไวรัสในทางชีววิทยา ซึ่งสามารถแพร่กระจายไปในเซลล์ของสิ่งมีชีวิตในลักษณะเดียวกันนี้ คำอื่นๆ ที่ใช้กับไวรัสในทางชีววิทยายังขยายขอบข่ายของความหมายครอบคลุมถึงไวรัสในทางคอมพิวเตอร์ เช่น การติดไวรัส (infection) แฟ้มข้อมูลที่ติดไวรัสนี้จะเรียกว่า โฮสต์ (host) ไวรัสนั้นเป็นประเภทหนึ่งของโปรแกรมประเภทมัลแวร์ (malware) หรือโปรแกรมที่มีประสงค์ร้าย ในความหมายที่ใช้กันทั่วไปนั้น ไวรัสยังใช้หมายรวมถึง เวิร์ม (worm) ซึ่งก็เป็นโปรแกรมอีกรูปแบบหนึ่งของมัลแวร์ ซึ่งบางครั้งก็ทำให้ผู้ใช้คอมพิวเตอร์นั้นสับสนเมื่อคำไวรัสนั้นใช้ในความหมายที่เฉพาะเจาะจง คอมพิวเตอร์ไวรัสนั้นโดยทั่วไปจะไม่ส่งผลก่อให้เกิดความเสียหายต่อฮาร์ดแวร์โดยตรง แต่จะทำความเสียหายต่อซอฟต์แวร์
โปรแกรมป้องกันไวรัส
โปรแกรมป้องกันไวรัส หรือ แอนติไวรัส (อังกฤษ: antivirus software) เป็นโปรแกรมที่สร้างขึ้นเพื่อคอยตรวจจับ ป้องกัน และกำจัดโปรแกรมคุกคามทางคอมพิวเตอ ร์หรือมัลแวร์ ซึ่งหมายถึง ไวรัส เวิร์ม โทรจันสปายแวร์ แอดแวร์ และซอฟต์แวร์คุกคามประเภทอื่นๆ
โปรแกรมป้องกันไวรัสมี 2 แบบหลักๆ คือ
1. แอนติไวรัส (Anti-Virus) เป็นโปรแกรมโปรแกรมป้องกันไวรัสทั่วๆไป จะค้นหาและทำลายไวรัสในคอมพิวเตอร์ของเรา
2. แอนติสปายแวร์ (Anti-Spyware) เป็นโปรแกรมป้องกันการโจรกรรมข้อมูล จากไวรัสสปายแวร์ และจากแฮ็กเกอร์ รวมถึงการกำจัด Adsware ซึ่งเป็นป๊อปอัพโฆษณาอีกด้วย
โปรแกรมป้องกันไวรัสจะค้นหาและทำลายไวรัสที่ไฟล์โดยตรง แต่ในทุกๆวันจะมีไวรัสชนิดใหม่เกิดขึ้นมาเสมอ ทำให้เราต้องอัปเดตโปรแกรมป้องกันไวรัสตลอดเวลาเพื่อให้คอมพิวเตอร์ของเราปลอดภัย โดยแอนติไวรัสจะมีหลายรูปแบบตามบริษัทกันไปและแต่ละบริษัทจะมีการอัปเดตและการป้องกันไม่เหมือนกัน แต่ในคอมพิวเตอร์เครื่องเดียวไม่ควรมีแอนติไวรัส 2 โปรแกรมเพราะจะทำให้โปรแกรมขัดแย้งกันเองจนไม่สามารถใช้งานได้
จรรยาบรรณในการใช้คอมพิวเตอร์
จริยธรรม (Ethics) เป็นเรื่องของการกำหนดความถูกต้องดีงามสิ่งที่ไม่ควรทำมีหลักปฏิบัติในระดับที่สูงกว่ามารยาทในสังคมเช่นคนที่ไม่ยอมเข้าแถวเพื่อขอรับบริการตามสิทธิ์ก่อนหลังอาจถือว่าไม่มีมารยาทหรือพนักงานคอมพิวเตอร์คนหนึ่งเอาข้อมูลทางการเงินของลูกค้าที่เขาจะต้องเห็นตามหน้าที่การงานไปหาผลประโยชน์แก่ตนเองเช่นขายรายชื่อนั้นให้ธุรกิจอื่นหรือบอกให้แก่คู่สมรสซึ่งเป็นพนักงานขายตรงไปเสนอขายสินค้าการกระทำเช่นนี้ถือว่าไม่ถูกต้องไม่มีจริยธรรมจริงอยู่แม้ว่าบริษัทที่พนักงานผู้นั้นทำงานอยู่จะไม่เสียหายแต่การนำเอาของบริษัทไปใช้เพื่อประโยชน์ส่วนตัวก็เป็นสิ่งที่ไม่อาจทำได้อย่างเปิดเผยหรือพนักงานขายสินค้าของทางบริการหนึ่งซึ่งลาออกจากบริษัทเพื่อไปทำงานกับบริษัทคู่แข่งแล้วใช้ประโยชน์จากความรู้ ในเรื่องข้อมูลราคาหรือความลับทางการค้าของบริษัทแรกไปให้บริษัทหลังก็อาจเรียกได้ว่าพนักงานคนนั้นไม่มีจริยธรรมเมื่อสังคมสลับซับซ้อนขึ้นมีการแบ่งหน้าที่กันออกเป็นหน้าที่ต่างๆจึงมีข้อกำหนดที่เรียกว่า“จรรยาวิชาชีพ

นางสาวอรอุมา ทรงวาจา
สาขาอุตสาหกรรมศิลป์และเทคโนโลยี หมู่ 2
รหัสนักศึกษา 54191700246

Unknown กล่าวว่า...

ไวรัสคอมพิวเตอร์
ไวรัสคอมพิวเตอร์ (computer virus) ซึ่งเรียกชื่อเลียนแบบ ไวรัส ที่เป็นสิ่งมีชีวิต แต่เป็นคำเรียกแบบย่อของ โปรแกรมคอมพิวเตอร์ ที่มีชุดคำสั่งระบบปฏิบัติการใดๆก็ตามเท่าที่โปรแกรมถูกเขียนขึ้นมาเพื่อการใดการหนึ่งทั้งที่มีประโยนช์ทางการทำงานตามผู้เขียนโปรแกรมนั้นขึ้นมา ไวรัสคอมพิวเตอร์ ที่บุกรุกเข้าไปในเครื่องคอมพิวเตอร์โดยไม่ได้รับความยินยอมจากผู้ใช้ ส่วนมากมักจะมีประสงค์ร้ายและสร้างความเสียหายให้กับระบบของเครื่องคอมพิวเตอร์นั้นๆ

วิธีการป้องกัน
1. ใช้โปรแกรมป้องกันไวรัส
2. ใช้โปรแกรมป้องกันไวรัสที่เหมาะกับตัวเอง
3. ติดตั้งโปรแกรมป้องกันไวรัสให้เป็น
4. อัพเดตฐานข้อมูลไวรัส (Definition) อยู่เสมอ
5. เปลี่ยนเวอร์ชันใหม่ทันทีที่มีโอกาส
6. อย่ารับไฟล์แปลกหน้า และติดตามข่าวสารอยู่เสมอ
7. ติดไวรัสแล้วอย่ากลัว

จรรยาบรรณการใช้ ICT
1. ต้องไม่ใช้คอมพิวเตอร์ทำร้าย หรือละเมิดผู้อื่น
2. ต้องไม่รบกวนการทำงานของผู้อื่น
3. ต้องไม่สอดแนม แก้ไข หรือเปิดดูแฟ้มข้อมูลของผู้อื่น
4. ต้องไม่ใช้คอมพิวเตอร์เพื่อการโจรกรรมข้อมูลข่าวสาร
5. ต้องไม่ใช้คอมพิวเตอร์สร้างหลักฐานที่เป็นเท็จ
6. ต้องไม่คัดลอกโปรแกรมของผู้อื่นที่มีลิขสิทธิ์
7. ต้องไม่ละเมิดการใช้ทรัพยากรคอมพิวเตอร์โดยที่ตนเองไม่มีสิทธิ์
8. ต้องไม่นำเอาผลงานของผู้อื่นมาเป็นของตน
9. ต้องคำนึงถึงสิ่งที่จะเกิดขึ้นกับสังคมอันติดตามมาจากการกระทำของท่าน
10. ต้องใช้คอมพิวเตอร์โดยเคารพกฎระเบียบ กติกา และมีมารยาท

พรบ.ว่าด้วยการกระทำความผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์
มาตรา5 ผู้ใดเข้าถึงโดยมิชอบซึ่งระบบคอมพิวเตอร์ที่มีมาตรการป้องกันการเข้าถึง โดยเฉพาะและมาตรการนั้นมิได้มีไว้สำหรับตน
มาตรา6 ผู้ใดล่วงรู้มาตรการป้องกันการเข้าถึงระบบคอมพิวเตอร์ที่ผู้อื่นจัดทำขึ้นเป็นการเฉพาะ ถ้านำมาตรการดังกล่าวไปเปิดเผยโดยมิชอบในประการที่น่าจะเกิดความเสียหายแก่ผู้อื่น
มาตรา7 ผู้ใดเข้าถึงโดยมิชอบซึ่งข้อมูลคอมพิวเตอร์ที่มีมาตรการป้องกันการเข้าถึงโดยเฉพาะ และมาตรการนั้น มิได้มีไว้สำหรับตน จำคุกไม่เกินสองปี หรือปรับไม่เกินสี่หมื่นบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ
มาตรา8 ผู้ใดกระทำด้วยประการใดโดยมิชอบด้วยวิธีการทางอิเล็กทรอนิกส์เพื่อดักรับไว้ ซึ่งข้อมูลคอมพิวเตอร์ของผู้อื่นที่อยู่ระหว่างการส่งในระบบคอมพิวเตอร์ และข้อมูลคอมพิวเตอร์นั้นมิได้มีไว้ เพื่อประโยชน์สาธารณะหรือเพื่อให้บุคคลทั่วไปใช้ประโยชน์ใด
นางสาวสมพร ไชยรัมย์ 54191700233 สาขาอุตสาหกรรมศิลป์และเทคโนโลยี หมู่2 ปี3

Unknown กล่าวว่า...

ไวรัสคอมพิวเตอร์
ไวรัสคอมพิวเตอร์ (computer virus) ซึ่งเรียกชื่อเลียนแบบ ไวรัส ที่เป็นสิ่งมีชีวิต แต่เป็นคำเรียกแบบย่อของ โปรแกรมคอมพิวเตอร์ ที่มีชุดคำสั่งระบบปฏิบัติการใดๆก็ตามเท่าที่โปรแกรมถูกเขียนขึ้นมาเพื่อการใดการหนึ่งทั้งที่มีประโยนช์ทางการทำงานตามผู้เขียนโปรแกรมนั้นขึ้นมา ไวรัสคอมพิวเตอร์ ที่บุกรุกเข้าไปในเครื่องคอมพิวเตอร์โดยไม่ได้รับความยินยอมจากผู้ใช้ ส่วนมากมักจะมีประสงค์ร้ายและสร้างความเสียหายให้กับระบบของเครื่องคอมพิวเตอร์นั้นๆ

วิธีการป้องกัน
1. ใช้โปรแกรมป้องกันไวรัส
2. ใช้โปรแกรมป้องกันไวรัสที่เหมาะกับตัวเอง
3. ติดตั้งโปรแกรมป้องกันไวรัสให้เป็น
4. อัพเดตฐานข้อมูลไวรัส (Definition) อยู่เสมอ
5. เปลี่ยนเวอร์ชันใหม่ทันทีที่มีโอกาส
6. อย่ารับไฟล์แปลกหน้า และติดตามข่าวสารอยู่เสมอ
7. ติดไวรัสแล้วอย่ากลัว

จรรยาบรรณการใช้ ICT
1. ต้องไม่ใช้คอมพิวเตอร์ทำร้าย หรือละเมิดผู้อื่น
2. ต้องไม่รบกวนการทำงานของผู้อื่น
3. ต้องไม่สอดแนม แก้ไข หรือเปิดดูแฟ้มข้อมูลของผู้อื่น
4. ต้องไม่ใช้คอมพิวเตอร์เพื่อการโจรกรรมข้อมูลข่าวสาร
5. ต้องไม่ใช้คอมพิวเตอร์สร้างหลักฐานที่เป็นเท็จ
6. ต้องไม่คัดลอกโปรแกรมของผู้อื่นที่มีลิขสิทธิ์
7. ต้องไม่ละเมิดการใช้ทรัพยากรคอมพิวเตอร์โดยที่ตนเองไม่มีสิทธิ์
8. ต้องไม่นำเอาผลงานของผู้อื่นมาเป็นของตน
9. ต้องคำนึงถึงสิ่งที่จะเกิดขึ้นกับสังคมอันติดตามมาจากการกระทำของท่าน
10. ต้องใช้คอมพิวเตอร์โดยเคารพกฎระเบียบ กติกา และมีมารยาท

พรบ.ว่าด้วยการกระทำความผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์
มาตรา5 ผู้ใดเข้าถึงโดยมิชอบซึ่งระบบคอมพิวเตอร์ที่มีมาตรการป้องกันการเข้าถึง โดยเฉพาะและมาตรการนั้นมิได้มีไว้สำหรับตน
มาตรา6 ผู้ใดล่วงรู้มาตรการป้องกันการเข้าถึงระบบคอมพิวเตอร์ที่ผู้อื่นจัดทำขึ้นเป็นการเฉพาะ ถ้านำมาตรการดังกล่าวไปเปิดเผยโดยมิชอบในประการที่น่าจะเกิดความเสียหายแก่ผู้อื่น
มาตรา7 ผู้ใดเข้าถึงโดยมิชอบซึ่งข้อมูลคอมพิวเตอร์ที่มีมาตรการป้องกันการเข้าถึงโดยเฉพาะ และมาตรการนั้น มิได้มีไว้สำหรับตน จำคุกไม่เกินสองปี หรือปรับไม่เกินสี่หมื่นบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ
มาตรา8 ผู้ใดกระทำด้วยประการใดโดยมิชอบด้วยวิธีการทางอิเล็กทรอนิกส์เพื่อดักรับไว้ ซึ่งข้อมูลคอมพิวเตอร์ของผู้อื่นที่อยู่ระหว่างการส่งในระบบคอมพิวเตอร์ และข้อมูลคอมพิวเตอร์นั้นมิได้มีไว้ เพื่อประโยชน์สาธารณะหรือเพื่อให้บุคคลทั่วไปใช้ประโยชน์ใด

นางสาวขนิษฐา นิลแก้ว 54191700202 สาขาอุตสาหกรรมศิลป์และเทคโนโลยี หมู่2 ปี3

Unknown กล่าวว่า...

ไวรัสคอมพิวเตอร์
ไวรัสคอมพิวเตอร์ (computer virus) ซึ่งเรียกชื่อเลียนแบบ ไวรัส ที่เป็นสิ่งมีชีวิต แต่เป็นคำเรียกแบบย่อของ โปรแกรมคอมพิวเตอร์ ที่มีชุดคำสั่งระบบปฏิบัติการใดๆก็ตามเท่าที่โปรแกรมถูกเขียนขึ้นมาเพื่อการใดการหนึ่งทั้งที่มีประโยนช์ทางการทำงานตามผู้เขียนโปรแกรมนั้นขึ้นมา


การป้องกันไวรัส
1.สำรองไฟล์ข้อมูลที่สำคัญ
2.สำหรับเครื่องที่มีฮาร์ดดิสก์ อย่าเรียกดอสจากฟลอปปีดิสก์
3.ป้องกันการเขียนให้กับฟลอปปีดิสก์
4.อย่าเรียกโปรแกรมที่ติดมากับดิสก์อื่น
5.เสาะหาโปรแกรมตรวจหาไวรัสที่ใหม่และมากกว่าหนึ่งโปรแกรมจากคนละบริษัท
6.เรียกใช้โปรแกรมตรวจหาไวรัสเป็นช่วงๆ
7. เรียกใช้โปรแกรมตรวจจับไวรัสแบบเฝ้าดูทุกครั้ง
8. เลือกคัดลอกซอฟแวร์เฉพาะที่ถูกตรวจสอบแล้วในบีบีเอส
9. สำรองข้อมูลที่สำคัญของฮาร์ดิสก์ไปเก็บในฟลอปปีดิสก์
10. เตรียมฟลอปปีดิสก์ที่ไว้สำหรับให้เรียกดอสก์ขึ้นมาทำงานได้
11. เมื่อเครื่องติดไวรัส ให้พยายามหาที่มาของไวรัสนั้น

จริยธรรมในการใช้ ICT
ต้องให้ความร่วมมือจากทุกๆฝ่าย ไม่ว่าจะจากทางภาครัฐ ภาคเอกชน ตัวบุคคลที่ใช้เทคโนโลยีสื่อสารและ ผู้ปกครองจะต้องดูแลบุตรหลานตัวเองในการใช้เทคโนโลยีการสื่อสารที่อยู่ในยุคไร้พรมแดนนี้ การสร้างจิตสำนึกต่อตนเองให้กับเด็กเยาวชนตั้งแต่ยังเล็กๆ และให้เด็กรู้ถึงโทษ ถึงปัญหา ให้เด็กรู้จักเลือกใช้โปรแกรมในทางที่ก่อให้เกิดประโยชน์แก่ตนเอง ก็น่าจะเป็นทางป้องกันที่ดีต่อปัญหาเหล่านี้ได้ ทั้งนี้เพราะโปรแกรมประเภทนี้ ไม่ว่าจะเป็น Camfrog , MSN , ICQ , Yahoo ล้วนแต่เป็นโปรแกรมการสื่อสาร ที่มีทั้งคุณและโทษในการใช้ ข้อดีของโปรแกรมเหล่านี้ก็คือจะช่วยสร้างให้เกิดความรวดเร็วในการสื่อสารมากขึ้น สามารถสื่อสารได้ทั้งทางสายตา เสียงพูด และมองเห็นหน้ากันได้ ส่วนข้อเสียส่วนใหญ่แล้วมักจะเกิดจากการใช้งานไปในทางที่ไม่ถูกไม่ควร ซึ่งตรงนี้ก็อยู่ที่ตัวของบุคคลแต่ละบุคคลในการที่จะเลือกทำเลือกใช้และเลือกที่จะนำสิ่งนั้นมาก่อให้เกิดประโยชน์ต่อตนเองค่ะ

พรบ.ว่าด้วยการกระทำความผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์
(มาตรา 5 ) แฮกเกอร์ที่เจาะเข้าระบบคอมพิวเตอร์ที่มีมาตรการป้องกันการเข้าถึง จำคุกไม่เกินหกเดือนหรือปรับไม่เกินหนึ่งหมื่นบาทหรือทั้งจำทั้งปรับ
(มาตรา 7) แฮกเกอร์ที่เจาะเข้าระบบและได้เข้าไปดูข้อมูลของผู้อื่นจำคุกไม่เกินสองปีหรือปรับไม่เกินสี่หมื่นบาทหรือทั้งจำทั้งปรับ
(มาตรา 8) ผู้ที่ชอบดักรับข้อมูลของผู้อื่นระหว่างการส่งข้อมูลในระบบคอมพิวเตอร์ จำคุกไม่เกินสามปีหรือปรับไม่เกินหกหมื่นบาทหรือทั้งจำทั้งปรับ
(มาตรา 9,10 และ 12) ผู้ที่ทำการปลอมแปลง ทำลาย แก้ไขข้อมูลคอมพิวเตอร์ของผู้อื่น หรือทำการใดๆ ที่ไประงับ ชะลอ ขัดขวาง หรือรบกวนการทำงานระบบคอมพิวเตอร์ของผู้อื่น จำคุกสูงสุดยี่สิบปี
(มาตรา 11 ) ผู้ที่ส่งอีเมล์ปกปิดหรือปลอมแปลงแหล่งที่มา เช่น สแปมเมล์ (spam mail ) ทำให้รบกวนการใช้งานระบบคอมพิวเตอร์ของผู้อื่น ปรับไม่เกินหนึ่งแสนบาท
(มาตรา 14) ผู้ที่นำเข้าข้อมูลที่ไม่เหมาะสมเข้าไปในระบบคอมพิวเตอร์ซึ่งคนอื่นสามารถเข้าไปดูข้อมูลนั้นได้ เช่นข้อมูลอันเป็นเท็จที่ส่งผลกระทบต่อความมั่นคงของประเทศ ก่อให้เกิดความตื่นตระหนกแก่ประชาชน หรือทำให้ผู้อื่นเสียหาย ข้อมูลความผิดเกี่ยวกับการก่อการร้าย ข้อมูลลามกอนาจาร หรือผู้ที่เผยแพร่หรือส่งต่อข้อมูลเหล่านี้ ไม่ว่าจะเป็นทางเครื่องคอมพิวเตอร์ พีดีเอ โทรศัพท์มือถือ หรือระบบคอมพิวเตอร์อื่นๆ จำคุกไม่เกินห้าปีหรือปรับไม่เกินหนึ่งแสนบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ
(มาตรา 16) ผู้ที่นำเข้าภาพตัดต่อ ภาพดัดแปลงด้วยวิธีการใดๆ ของบุคคลอื่นเข้าไปในระบบคอมพิวเตอร์โดยมีเจตนาให้ผู้นั้นเสียชื่อเสียง ถูกดูหมิ่น ถูกเกลียดชัง หรือได้รับความอับอาย จำคุกไม่เกินสามปี หรือปรับไม่เกินหกหมื่นบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ
(มาตรา 26) ผู้ให้บริการ เช่น อินเตอร์เน็ตคาเฟ่ ผู้ให้บริการสัญญาณอินเตอร์เน็ต กลุ่มผู้ประกอบการอีคอมเมิร์ช รวมถึงมหาวิทยาลัย ต้องเก็บข้อมูลการเข้าใช้งานระบบคอมพิวเตอร์ของผู้ใช้บริการไม่น้อยกว่าเก้าสิบวัน เพื่อใช้ติดตามผู้กระทำความผิดมาลงโทษ หากผู้ให้บริการไม่ปฏิบัติตามนี้ ปรับสูงสุดถึงห้าแสนบาท

นางสาวนวลปรางค์ ถือดียิ่ง 54191700213 สาขาอุตสาหกรรมศิลป์และเทคโนโลยี หมู่2 ปี3

ไม่ระบุชื่อ กล่าวว่า...

ไวรัสคอมพิวเตอร์ คือ
ไวรัส คือ โปรแกรมชนิดหนึ่งที่มีความสามารถในการสำเนาตัวเองเข้าไปติดอยู่ในระบบคอมพิวเตอร์ได้ และถ้ามีโอกาสก็สามารถแทรกเข้าไประบาดในระบบคอมพิวเตอร์อื่นๆ ซึ่งอาจเกิดจากการนำเอาดิสก์ที่ติดไวรัสจากเครื่องหนึ่งไปใช้อีกเครื่องหนึ่ง หรืออาจผ่านระบบเครือข่ายหรือระบบสื่อสารข้อมูล ไวรัสก็อาจแพร่ระบาดได้เช่นกัน
การป้องกันไวรัสคอมพิวเตอร์
7 ขั้นตอนในการช่วยป้องกันคุณไม่ให้ติดไวรัสคอมพิวเตอร์
1. ใช้โปรแกรมป้องกันไวรัส
2. ใช้โปรแกรมป้องกันไวรัสที่เหมาะกับตัวเอง
3. ติดตั้งโปรแกรมป้องกันไวรัสให้เป็น
4. อัพเดตฐานข้อมูลไวรัส (Definition) อยู่เสมอ
5. เปลี่ยนเวอร์ชันใหม่ทันทีที่มีโอกาส
6. อย่ารับไฟล์แปลกหน้า และติดตามข่าวสารอยู่เสมอ
7. ติดไวรัสแล้วอย่ากลัว
จรรยาบรรณการใช้ ICT
จริยธรรม (Ethics) เป็นเรื่องของการกำหนดความถูกต้องดีงามสิ่งที่ไม่ควรทำมีหลักปฏิบัติในระดับที่สูงกว่ามารยาทในสังคม
บัญญัติ10 ประการของผู้ใช้คอมพิวเตอร์
การเข้าถึงระบบคอมพิวเตอร์และข้อมูลก็จะเฉพาะสิทธิ์ที่ตนเองมีในส่วนที่เกี่ยวข้องกับงาน
1. ไม่ใช้คอมพิวเตอร์ทำร้ายผู้อื่น
2. ไม่รบกวนจนงานคอมพิวเตอร์ของผู้อื่น
3. ไม่แอบดูแฟ้มข้อมูลของผู้อื่น
4. ไม่ใช้คอมพิวเตอร์เพื่อลักขโมย
5. ไม่ใช้คอมพิวเตอร์เพื่อเป็นพยานเท็จ
6. ไม่ใช้หรือทำสำเนาซอฟต์แวร์ที่ตนไม่ได้ซื้อสิทธิ์
7. ไม่ใช้คอมพิวเตอร์ของผู้อื่นโดยไม่มีอำนาจหน้าที่
8. ไม่ฉวยเอาทรัพย์ทางปัญญาของผู้อื่นมาเป็นของตน
9. คิดถึงผลต่อเนื่องทางสังคมของโปรแกรมที่เขียน
10. ใช้คอมพิวเตอร์ในทางที่แสดงถึงความใคร่ครวญและเคารพจรรยาวิชาชีพของสมาชิกสมาคมเครื่องจักรกลคอมพิวเตอร์
พรบ.ว่าด้วยการกระทำความผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์
พระราชบัญญัติ
ว่าด้วยการกระทำความผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์
เอกคหกรรมศาสตร์ หมู่ 2
นางสาว ไพริน พรมศร 55191600204
นางสาว รัตติยา รัตนนทร์ 55191600213
นางสาว สุพานี สว่างแผ้ว 55191600232

Unknown กล่าวว่า...

ไวรัสคอมพิวเตอร์
ไวรัสคอมพิวเตอร์ เป็นโปรแกรมพิเศษชนิดหนึ่งที่เขียนขึ้นมาเพื่อให้จัดการกับตัวมันเอง โดยมีลักษณะเลียบแบบสิ่งมีชีวิต คือ เจริญเติบโตเองได้ ขยายและแพร่กระจายเองได้ สามารถอยู่รอดได้ โปรแกรมนี้เข้าไปอยู่ในระบบคอมพิวเตอร์ได้ โดยผ่านทาง
- แผ่นฟลอปปีดิสก์
- เครือข่ายคอมพิวเตอร์
จากการที่ไวรัสคอมพิวเตอร์ ทำงานได้ด้วยเงื่อนไขลักษณะใดลักษณะหนึ่งหลายลักษณะ จึงทำให้ผู้ใช้ไม่รู้ว่าเครื่องคอมพิวเตอร์ของตนติดไวรัสหรือไม่ พอเปิดเครื่องใช้ก็อาจพบว่าระบบคอมพิวเตอร์ของตนถูกไวรัสทำลายเสียแล้ว ไวรัสบางตัวไม่เพียงทำลาย ลบ ล้าง ย้ายข้อมูลของเรา โดยไม่ได้รับอนุญาตเท่านั้น แต่ยังสามารถทำลายโปรแกรมอื่น ๆได้อีกด้วยโดยสังเกตได้จากการที่หน้าจอแสดงผลโดยอาการแปลก ๆ
การป้องกันไวรัสคอมพิวเตอร์
มีเทคนิคอยู่มากมายหลายวิธี ดังนี้
-ทุกครั้งที่นำซอฟแวร์ที่ไม่ทราบแหล่งที่ผลิต หรือได้รับแจกฟรี ต้องตรวจสอบให้แน่ใจก่อนนำไปใช้
-ควรตรวจสอบทั้งฮาร์ดแวร์และซอฟแวร์อย่างสม่ำเสมอ อย่างน้อยวันละ 1 ครั้ง
- เตรียมแผ่นที่สะอาดไว้สำหรับบูตเครื่องเมื่อคราวจำเป็น
- ควรสำรองข้อมูลไว้เสมอ
- พยายามสังเกตุสิ่งผิดปกติที่เกิดขึ้นกับเครื่องอย่างสม่ำเสมอ เช่น การทำงานที่ช้าลง ขนาดไฟล์ หน้าจอแสดงผลแปลก ๆ ไดรฟ์มีเสียงผิดปกติ
-ไม่นำแผ่นดิสก์ไปใช้กับเครื่องคอมพิวเตอร์อื่น ๆ ถ้ายังไม่ได้ปิดแถบป้องกันการบันทึก (Write Protect )
- ควรแยกแผ่นโปรแกรม และแผ่นข้อมูลออกจากกันโดยเด็ดขาด
-ไม่อนุญาตให้คนอื่นมาเล่นเครื่องคอมพิวเตอร์ของท่าน โดยปราศจากการควบคุมอย่างใกล้ชิด
-ควรมีโปรแกรมป้องกันไวรัสไว้ใช้ตรวจสอบและป้องกัน โดยเฉพาะโปรแกรมป้องกันไวรัสรุ่นใหม่ ๆ จะมีประสิทธิภาพในการป้องกันได้ดีขึ้นมาก ในที่นี้จะขอแนะนำโปรแกรม SCAN ของบริษัท McAfee Associates รุ่น V.2.5.1 หรือ Norton Antivirus
จรรยาบรรณในการใช้คอมพิวเตอร์
บัญญัติ10 ประการของผู้ใช้คอมพิวเตอร์
การเข้าถึงระบบคอมพิวเตอร์และข้อมูลก็จะเฉพาะสิทธิ์ที่ตนเองมีในส่วนที่เกี่ยวข้องกับงาน

1.ไม่ใช้คอมพิวเตอร์ทำร้ายผู้อื่น
2.ไม่รบกวนจนงานคอมพิวเตอร์ของผู้อื่น
3. ไม่แอบดูแฟ้มข้อมูลของผู้อื่น
4.ไม่ใช้คอมพิวเตอร์เพื่อลักขโมย
5.ไม่ใช้คอมพิวเตอร์เพื่อเป็นพยานเท็จ
6. ไม่ใช้หรือทำสำเนาซอฟต์แวร์ที่ตนไม่ได้ซื้อสิทธิ์
7.ไม่ใช้คอมพิวเตอร์ของผู้อื่นโดยไม่มีอำนาจหน้าที่
8.ไม่ฉวยเอาทรัพย์ทางปัญญาของผู้อื่นมาเป็นของตน
9.คิดถึงผลต่อเนื่องทางสังคมของโปรแกรมที่เขียน
10.ใช้คอมพิวเตอร์ในทางที่แสดงถึงความใคร่ครวญและเคารพจรรยาวิชาชีพของสมาชิกสมาคมเครื่องจักรกลคอมพิวเตอร์
พระราชบัญญัติ ว่าด้วยการกระทําความผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ พ.ศ. 2550

พ.ร.บ.ฉบับนี้ประกาศในพระราชกิจจานุเบกษา เมื่อวันที่ 18 มิ.ย 2550 และมีผลบังคับใช้ ตั้งแต่วันที่ 18 ก.ค. 2550 ป็นต้นไป

ความผิดที่เข้าข่ายตาม พ.ร.บ ฉบับนี้

- การเข้าถึงระบบคอมพิวเตอร์ของผู้อื่นโดยมิชอบ
- การเปิดเผยข้อมูลมาตรการป้องกันการเข้าถึงระบบคอมพิวเตอร์ที่ผู้อื่นจัดทำขึ้นเป็นการเฉพาะ
- การดักรับข้อมูลคอมพิวเตอร์ของผู้อื่น
- การทำให้เสียหาย ทำลาย แก้ไข เปลี่ยนแปลงข้อมูลโดยมิชอบ
- การกระทำเพื่อใหการทำงานของระบบคอมพิวเตอร์ของผู้อื่นไม่สามารถทำงานได้ตามปกติ
- การส่งข้อมูลรบกวนการใช้ระบบคอมพิวเตอร์ของผู้อื่น
- การจำหน่ายชุดคำสั่งที่จัดทำขึ้นเพื่อนำไปเป็นเครื่องมือในการกระทำผิด
- การใช้ระบบคอมพิวเตอร์ทำความผิดอื่น
- การตกแต่งข้อมูลคอมพิวเตอร์ที่เป็นภาพของบุคคล


นางสาวปองฤทัย สุวรรณลา 54191700216 สาขาอุตสาหกรรมศิลป์และเทคโนโลยี หมู่2 ปี3

Unknown กล่าวว่า...

การป้องกันไวรัสคอมพิวเตอร์
- ควรติดตั้งซอฟแวร์ป้องกันไวรัสที่เชื่อถือได้ และสามารถอัพเดทฐานข้อมูลไวรัสและเครื่องมือได้ตลอด เพราะจะทำให้สามารถดักจับและจัดการกับไวรัสตัวใหม่ ๆ ได้อย่างรวดเร็ว
- อย่าตั้งค่าให้โปรแกรมอีเมลเปิดไฟล์ที่แนบมาโดยอัตโนมัติ ควรจะต้องตรวจสอบก่อนดาวน์โหลดหรือเปิดไฟล์ขึ้นมา
- สแกนไฟล์แนบท้ายของอีเมลทุกฉบับ หรือแม้แต่อีเมลจากคนรู้จัก
- ตั้งค่าระบบป้องกันให้ทำงานทันทีที่เริ่มเปิดคอมพิวเตอร์ใช้งาน
- อัพเดทซอฟต์แวร์ป้องกันไวรัสอย่างสม่ำเสมอ ถ้าเป็นไปได้ควรอัพเดททุกครั้งที่ออนไลน์ เพราะจะมีไวรัสสายพันธุ์ใหม่เกิดขึ้นทุกวัน
- อย่าดาวน์โหลดโปรแกรมจากเว็บไซต์ที่ไม่น่าเชื่อถือ เพราะอาจได้ไวรัสแถมมาด้วย แต่หากต้องการดาวน์โหลดจริง ๆ ก็ให้สร้างโฟลเดอร์เฉพาะไว้ต่างหาก และสแกนหาไวรัสก่อนเปิดใช้งาน
- ควรสแกนแฟตไดร์ก่อนใช้งานทุกครั้ง เพราะแฟตไดร์เป็นพาหะในการนำข้อมูลจากพีซีเครื่องหนึ่งมาใส่ในอีกเครื่อง
รู้อย่างนี้แล้ว ถ้าไม่อยากให้เครื่องคอมพิวเตอร์ติดไวรัส

วรรธนธัช สุวงศ์ 56191430120 ค.บ ฟิสิกส์

ไม่ระบุชื่อ กล่าวว่า...

ไวรัสคอมพิวเตอร์ คือ ชื่อเรียกสำหรับโปรแกรมประเภทหนึ่งที่มีพฤติกรรมคล้ายๆ กับไวรัสที่เป็นเชื้อโรค ที่สามารถแพร่เชื้อได้และมักทำอันตรายต่อสิ่งมีชีวิตที่มันอาศัยอยู่ แต่ต่างกันตรงที่ว่าคอมพิวเตอร์ไวรัสเป็นแค่เพียงโปรแกรมเท่านั้น ไม่ใช่สิ่งมีชีวิต
นางสาววันเพ้ญ มาลาทอง
คหกรรมศาสตร์ หมู่ 2
55191600220

ไม่ระบุชื่อ กล่าวว่า...

ไวรัสคอมพิวเตอร์ คือ ชื่อเรียกสำหรับโปรแกรมประเภทหนึ่งที่มีพฤติกรรมคล้ายๆ กับไวรัสที่เป็นเชื้อโรค ที่สามารถแพร่เชื้อได้และมักทำอันตรายต่อสิ่งมีชีวิตที่มันอาศัยอยู่ แต่ต่างกันตรงที่ว่าคอมพิวเตอร์ไวรัสเป็นแค่เพียงโปรแกรมเท่านั้น ไม่ใช่สิ่งมีชีวิต

การป้องกันไวรัส
1.สำรองไฟล์ข้อมูลที่สำคัญ
2.สำหรับเครื่องที่มีฮาร์ดดิสก์ อย่าเรียกดอสจากฟลอปปีดิสก์
3.ป้องกันการเขียนให้กับฟลอปปีดิสก์
4.อย่าเรียกโปรแกรมที่ติดมากับดิสก์อื่น
5.เสาะหาโปรแกรมตรวจหาไวรัสที่ใหม่และมากกว่าหนึ่งโปรแกรมจากคนละบริษัท
6.เรียกใช้โปรแกรมตรวจหาไวรัสเป็นช่วงๆ
7. เรียกใช้โปรแกรมตรวจจับไวรัสแบบเฝ้าดูทุกครั้ง
8. เลือกคัดลอกซอฟแวร์เฉพาะที่ถูกตรวจสอบแล้วในบีบีเอส
9. สำรองข้อมูลที่สำคัญของฮาร์ดิสก์ไปเก็บในฟลอปปีดิสก์
10. เตรียมฟลอปปีดิสก์ที่ไว้สำหรับให้เรียกดอสก์ขึ้นมาทำงานได้
11. เมื่อเครื่องติดไวรัส ให้พยายามหาที่มาของไวรัสนั้น

จริยธรรมในการใช้ ICT
1.ไม่ใช้คอมพิวเตอร์ทำร้ายผู้อื่น
2.ไม่รบกวนจนงานคอมพิวเตอร์ของผู้อื่น
3. ไม่แอบดูแฟ้มข้อมูลของผู้อื่น
4. ไม่ใช้คอมพิวเตอร์เพื่อลักขโมย
5.ไม่ใช้คอมพิวเตอร์เพื่อเป็นพยานเท็จ
6.ไม่ใช้หรือทำสำเนาซอฟต์แวร์ที่ตนไม่ได้ซื้อสิทธิ์
7.ไม่ใช้คอมพิวเตอร์ของผู้อื่นโดยไม่มีอำนาจหน้าที่
8. ไม่ฉวยเอาทรัพย์ทางปัญญาของผู้อื่นมาเป็นของตน
9. คิดถึงผลต่อเนื่องทางสังคมของโปรแกรมที่เขียน
10. ใช้คอมพิวเตอร์ในทางที่แสดงถึงความใคร่ครวญและเคารพจรรยาวิชาชีพของสมาชิกสมาคมเครื่องจักรกลคอมพิวเตอร์

พรบ.ว่าด้วยการกระทำความผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์
(มาตรา 5 ) แฮกเกอร์ที่เจาะเข้าระบบคอมพิวเตอร์ที่มีมาตรการป้องกันการเข้าถึง จำคุกไม่เกินหกเดือนหรือปรับไม่เกินหนึ่งหมื่นบาทหรือทั้งจำทั้งปรับ
(มาตรา 7) แฮกเกอร์ที่เจาะเข้าระบบและได้เข้าไปดูข้อมูลของผู้อื่นจำคุกไม่เกินสองปีหรือปรับไม่เกินสี่หมื่นบาทหรือทั้งจำทั้งปรับ
(มาตรา 8) ผู้ที่ชอบดักรับข้อมูลของผู้อื่นระหว่างการส่งข้อมูลในระบบคอมพิวเตอร์ จำคุกไม่เกินสามปีหรือปรับไม่เกินหกหมื่นบาทหรือทั้งจำทั้งปรับ
(มาตรา 9,10 และ 12) ผู้ที่ทำการปลอมแปลง ทำลาย แก้ไขข้อมูลคอมพิวเตอร์ของผู้อื่น หรือทำการใดๆ ที่ไประงับ ชะลอ ขัดขวาง หรือรบกวนการทำงานระบบคอมพิวเตอร์ของผู้อื่น จำคุกสูงสุดยี่สิบปี
(มาตรา 11 ) ผู้ที่ส่งอีเมล์ปกปิดหรือปลอมแปลงแหล่งที่มา เช่น สแปมเมล์ (spam mail ) ทำให้รบกวนการใช้งานระบบคอมพิวเตอร์ของผู้อื่น ปรับไม่เกินหนึ่งแสนบาท
(มาตรา 14) ผู้ที่นำเข้าข้อมูลที่ไม่เหมาะสมเข้าไปในระบบคอมพิวเตอร์ซึ่งคนอื่นสามารถเข้าไปดูข้อมูลนั้นได้ เช่นข้อมูลอันเป็นเท็จที่ส่งผลกระทบต่อความมั่นคงของประเทศ ก่อให้เกิดความตื่นตระหนกแก่ประชาชน หรือทำให้ผู้อื่นเสียหาย ข้อมูลความผิดเกี่ยวกับการก่อการร้าย ข้อมูลลามกอนาจาร หรือผู้ที่เผยแพร่หรือส่งต่อข้อมูลเหล่านี้ ไม่ว่าจะเป็นทางเครื่องคอมพิวเตอร์ พีดีเอ โทรศัพท์มือถือ หรือระบบคอมพิวเตอร์อื่นๆ จำคุกไม่เกินห้าปีหรือปรับไม่เกินหนึ่งแสนบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ
(มาตรา 16) ผู้ที่นำเข้าภาพตัดต่อ ภาพดัดแปลงด้วยวิธีการใดๆ ของบุคคลอื่นเข้าไปในระบบคอมพิวเตอร์โดยมีเจตนาให้ผู้นั้นเสียชื่อเสียง ถูกดูหมิ่น ถูกเกลียดชัง หรือได้รับความอับอาย จำคุกไม่เกินสามปี หรือปรับไม่เกินหกหมื่นบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ
(มาตรา 26) ผู้ให้บริการ เช่น อินเตอร์เน็ตคาเฟ่ ผู้ให้บริการสัญญาณอินเตอร์เน็ต กลุ่มผู้ประกอบการอีคอมเมิร์ช รวมถึงมหาวิทยาลัย ต้องเก็บข้อมูลการเข้าใช้งานระบบคอมพิวเตอร์ของผู้ใช้บริการไม่น้อยกว่าเก้าสิบวัน เพื่อใช้ติดตามผู้กระทำความผิดมาลงโทษ หากผู้ให้บริการไม่ปฏิบัติตามนี้ ปรับสูงสุดถึงห้าแสนบาท

นางสาวจิรัฐกาล สามาลย์ สาขา ฟิสิกส์ รหัส 56191430135

ไม่ระบุชื่อ กล่าวว่า...

ไวรัสคอมพิวเตอร์ คือ ชื่อเรียกสำหรับโปรแกรมประเภทหนึ่งที่มีพฤติกรรมคล้ายๆ กับไวรัสที่เป็นเชื้อโรค ที่สามารถแพร่เชื้อได้และมักทำอันตรายต่อสิ่งมีชีวิตที่มันอาศัยอยู่ แต่ต่างกันตรงที่ว่าคอมพิวเตอร์ไวรัสเป็นแค่เพียงโปรแกรมเท่านั้น ไม่ใช่สิ่งมีชีวิต
การป้องกันไวรัส
1.สำรองไฟล์ข้อมูลที่สำคัญ
2.สำหรับเครื่องที่มีฮาร์ดดิสก์ อย่าเรียกดอสจากฟลอปปีดิสก์
3.ป้องกันการเขียนให้กับฟลอปปีดิสก์
4.อย่าเรียกโปรแกรมที่ติดมากับดิสก์อื่น
5.เสาะหาโปรแกรมตรวจหาไวรัสที่ใหม่และมากกว่าหนึ่งโปรแกรมจากคนละบริษัท
6.เรียกใช้โปรแกรมตรวจหาไวรัสเป็นช่วงๆ
7. เรียกใช้โปรแกรมตรวจจับไวรัสแบบเฝ้าดูทุกครั้ง
8. เลือกคัดลอกซอฟแวร์เฉพาะที่ถูกตรวจสอบแล้วในบีบีเอส
9. สำรองข้อมูลที่สำคัญของฮาร์ดิสก์ไปเก็บในฟลอปปีดิสก์
10. เตรียมฟลอปปีดิสก์ที่ไว้สำหรับให้เรียกดอสก์ขึ้นมาทำงานได้
11. เมื่อเครื่องติดไวรัส ให้พยายามหาที่มาของไวรัสนั้น

จริยธรรมในการใช้ ICT
1.ไม่ใช้คอมพิวเตอร์ทำร้ายผู้อื่น
2.ไม่รบกวนจนงานคอมพิวเตอร์ของผู้อื่น
3. ไม่แอบดูแฟ้มข้อมูลของผู้อื่น
4. ไม่ใช้คอมพิวเตอร์เพื่อลักขโมย
5.ไม่ใช้คอมพิวเตอร์เพื่อเป็นพยานเท็จ
6.ไม่ใช้หรือทำสำเนาซอฟต์แวร์ที่ตนไม่ได้ซื้อสิทธิ์
7.ไม่ใช้คอมพิวเตอร์ของผู้อื่นโดยไม่มีอำนาจหน้าที่
8. ไม่ฉวยเอาทรัพย์ทางปัญญาของผู้อื่นมาเป็นของตน
9. คิดถึงผลต่อเนื่องทางสังคมของโปรแกรมที่เขียน
10. ใช้คอมพิวเตอร์ในทางที่แสดงถึงความใคร่ครวญและเคารพจรรยาวิชาชีพของสมาชิกสมาคมเครื่องจักรกลคอมพิวเตอร์

พรบ.ว่าด้วยการกระทำความผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์
(มาตรา 5 ) แฮกเกอร์ที่เจาะเข้าระบบคอมพิวเตอร์ที่มีมาตรการป้องกันการเข้าถึง จำคุกไม่เกินหกเดือนหรือปรับไม่เกินหนึ่งหมื่นบาทหรือทั้งจำทั้งปรับ
(มาตรา 7) แฮกเกอร์ที่เจาะเข้าระบบและได้เข้าไปดูข้อมูลของผู้อื่นจำคุกไม่เกินสองปีหรือปรับไม่เกินสี่หมื่นบาทหรือทั้งจำทั้งปรับ
(มาตรา 8) ผู้ที่ชอบดักรับข้อมูลของผู้อื่นระหว่างการส่งข้อมูลในระบบคอมพิวเตอร์ จำคุกไม่เกินสามปีหรือปรับไม่เกินหกหมื่นบาทหรือทั้งจำทั้งปรับ
(มาตรา 9,10 และ 12) ผู้ที่ทำการปลอมแปลง ทำลาย แก้ไขข้อมูลคอมพิวเตอร์ของผู้อื่น หรือทำการใดๆ ที่ไประงับ ชะลอ ขัดขวาง หรือรบกวนการทำงานระบบคอมพิวเตอร์ของผู้อื่น จำคุกสูงสุดยี่สิบปี
(มาตรา 11 ) ผู้ที่ส่งอีเมล์ปกปิดหรือปลอมแปลงแหล่งที่มา เช่น สแปมเมล์ (spam mail ) ทำให้รบกวนการใช้งานระบบคอมพิวเตอร์ของผู้อื่น ปรับไม่เกินหนึ่งแสนบาท
(มาตรา 14) ผู้ที่นำเข้าข้อมูลที่ไม่เหมาะสมเข้าไปในระบบคอมพิวเตอร์ซึ่งคนอื่นสามารถเข้าไปดูข้อมูลนั้นได้ เช่นข้อมูลอันเป็นเท็จที่ส่งผลกระทบต่อความมั่นคงของประเทศ ก่อให้เกิดความตื่นตระหนกแก่ประชาชน หรือทำให้ผู้อื่นเสียหาย ข้อมูลความผิดเกี่ยวกับการก่อการร้าย ข้อมูลลามกอนาจาร หรือผู้ที่เผยแพร่หรือส่งต่อข้อมูลเหล่านี้ ไม่ว่าจะเป็นทางเครื่องคอมพิวเตอร์ พีดีเอ โทรศัพท์มือถือ หรือระบบคอมพิวเตอร์อื่นๆ จำคุกไม่เกินห้าปีหรือปรับไม่เกินหนึ่งแสนบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ
(มาตรา 16) ผู้ที่นำเข้าภาพตัดต่อ ภาพดัดแปลงด้วยวิธีการใดๆ ของบุคคลอื่นเข้าไปในระบบคอมพิวเตอร์โดยมีเจตนาให้ผู้นั้นเสียชื่อเสียง ถูกดูหมิ่น ถูกเกลียดชัง หรือได้รับความอับอาย จำคุกไม่เกินสามปี หรือปรับไม่เกินหกหมื่นบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ
(มาตรา 26) ผู้ให้บริการ เช่น อินเตอร์เน็ตคาเฟ่ ผู้ให้บริการสัญญาณอินเตอร์เน็ต กลุ่มผู้ประกอบการอีคอมเมิร์ช รวมถึงมหาวิทยาลัย ต้องเก็บข้อมูลการเข้าใช้งานระบบคอมพิวเตอร์ของผู้ใช้บริการไม่น้อยกว่าเก้าสิบวัน เพื่อใช้ติดตามผู้กระทำความผิดมาลงโทษ หากผู้ให้บริการไม่ปฏิบัติตามนี้ ปรับสูงสุดถึงห้าแสนบาท
นาย ประสิทธิ์ บุลา เอก คหกรรมศาสตร์ รหัส 55191600202

ไม่ระบุชื่อ กล่าวว่า...

ไวรัสคอมพิวเตอร์ คือ ชื่อเรียกสำหรับโปรแกรมประเภทหนึ่งที่มีพฤติกรรมคล้ายๆ กับไวรัสที่เป็นเชื้อโรค ที่สามารถแพร่เชื้อได้และมักทำอันตรายต่อสิ่งมีชีวิตที่มันอาศัยอยู่ แต่ต่างกันตรงที่ว่าคอมพิวเตอร์ไวรัสเป็นแค่เพียงโปรแกรมเท่านั้น ไม่ใช่สิ่งมีชีวิต
การป้องกันไวรัส
1.สำรองไฟล์ข้อมูลที่สำคัญ
2.สำหรับเครื่องที่มีฮาร์ดดิสก์ อย่าเรียกดอสจากฟลอปปีดิสก์
3.ป้องกันการเขียนให้กับฟลอปปีดิสก์
4.อย่าเรียกโปรแกรมที่ติดมากับดิสก์อื่น
5.เสาะหาโปรแกรมตรวจหาไวรัสที่ใหม่และมากกว่าหนึ่งโปรแกรมจากคนละบริษัท
6.เรียกใช้โปรแกรมตรวจหาไวรัสเป็นช่วงๆ
7. เรียกใช้โปรแกรมตรวจจับไวรัสแบบเฝ้าดูทุกครั้ง
8. เลือกคัดลอกซอฟแวร์เฉพาะที่ถูกตรวจสอบแล้วในบีบีเอส
9. สำรองข้อมูลที่สำคัญของฮาร์ดิสก์ไปเก็บในฟลอปปีดิสก์
10. เตรียมฟลอปปีดิสก์ที่ไว้สำหรับให้เรียกดอสก์ขึ้นมาทำงานได้
11. เมื่อเครื่องติดไวรัส ให้พยายามหาที่มาของไวรัสนั้น

จริยธรรมในการใช้ ICT
1.ไม่ใช้คอมพิวเตอร์ทำร้ายผู้อื่น
2.ไม่รบกวนจนงานคอมพิวเตอร์ของผู้อื่น
3. ไม่แอบดูแฟ้มข้อมูลของผู้อื่น
4. ไม่ใช้คอมพิวเตอร์เพื่อลักขโมย
5.ไม่ใช้คอมพิวเตอร์เพื่อเป็นพยานเท็จ
6.ไม่ใช้หรือทำสำเนาซอฟต์แวร์ที่ตนไม่ได้ซื้อสิทธิ์
7.ไม่ใช้คอมพิวเตอร์ของผู้อื่นโดยไม่มีอำนาจหน้าที่
8. ไม่ฉวยเอาทรัพย์ทางปัญญาของผู้อื่นมาเป็นของตน
9. คิดถึงผลต่อเนื่องทางสังคมของโปรแกรมที่เขียน
10. ใช้คอมพิวเตอร์ในทางที่แสดงถึงความใคร่ครวญและเคารพจรรยาวิชาชีพของสมาชิกสมาคมเครื่องจักรกลคอมพิวเตอร์

พรบ.ว่าด้วยการกระทำความผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์
(มาตรา 5 ) แฮกเกอร์ที่เจาะเข้าระบบคอมพิวเตอร์ที่มีมาตรการป้องกันการเข้าถึง จำคุกไม่เกินหกเดือนหรือปรับไม่เกินหนึ่งหมื่นบาทหรือทั้งจำทั้งปรับ
(มาตรา 7) แฮกเกอร์ที่เจาะเข้าระบบและได้เข้าไปดูข้อมูลของผู้อื่นจำคุกไม่เกินสองปีหรือปรับไม่เกินสี่หมื่นบาทหรือทั้งจำทั้งปรับ
(มาตรา 8) ผู้ที่ชอบดักรับข้อมูลของผู้อื่นระหว่างการส่งข้อมูลในระบบคอมพิวเตอร์ จำคุกไม่เกินสามปีหรือปรับไม่เกินหกหมื่นบาทหรือทั้งจำทั้งปรับ
(มาตรา 9,10 และ 12) ผู้ที่ทำการปลอมแปลง ทำลาย แก้ไขข้อมูลคอมพิวเตอร์ของผู้อื่น หรือทำการใดๆ ที่ไประงับ ชะลอ ขัดขวาง หรือรบกวนการทำงานระบบคอมพิวเตอร์ของผู้อื่น จำคุกสูงสุดยี่สิบปี
(มาตรา 11 ) ผู้ที่ส่งอีเมล์ปกปิดหรือปลอมแปลงแหล่งที่มา เช่น สแปมเมล์ (spam mail ) ทำให้รบกวนการใช้งานระบบคอมพิวเตอร์ของผู้อื่น ปรับไม่เกินหนึ่งแสนบาท
(มาตรา 14) ผู้ที่นำเข้าข้อมูลที่ไม่เหมาะสมเข้าไปในระบบคอมพิวเตอร์ซึ่งคนอื่นสามารถเข้าไปดูข้อมูลนั้นได้ เช่นข้อมูลอันเป็นเท็จที่ส่งผลกระทบต่อความมั่นคงของประเทศ ก่อให้เกิดความตื่นตระหนกแก่ประชาชน หรือทำให้ผู้อื่นเสียหาย ข้อมูลความผิดเกี่ยวกับการก่อการร้าย ข้อมูลลามกอนาจาร หรือผู้ที่เผยแพร่หรือส่งต่อข้อมูลเหล่านี้ ไม่ว่าจะเป็นทางเครื่องคอมพิวเตอร์ พีดีเอ โทรศัพท์มือถือ หรือระบบคอมพิวเตอร์อื่นๆ จำคุกไม่เกินห้าปีหรือปรับไม่เกินหนึ่งแสนบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ
(มาตรา 16) ผู้ที่นำเข้าภาพตัดต่อ ภาพดัดแปลงด้วยวิธีการใดๆ ของบุคคลอื่นเข้าไปในระบบคอมพิวเตอร์โดยมีเจตนาให้ผู้นั้นเสียชื่อเสียง ถูกดูหมิ่น ถูกเกลียดชัง หรือได้รับความอับอาย จำคุกไม่เกินสามปี หรือปรับไม่เกินหกหมื่นบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ
(มาตรา 26) ผู้ให้บริการ เช่น อินเตอร์เน็ตคาเฟ่ ผู้ให้บริการสัญญาณอินเตอร์เน็ต กลุ่มผู้ประกอบการอีคอมเมิร์ช รวมถึงมหาวิทยาลัย ต้องเก็บข้อมูลการเข้าใช้งานระบบคอมพิวเตอร์ของผู้ใช้บริการไม่น้อยกว่าเก้าสิบวัน เพื่อใช้ติดตามผู้กระทำความผิดมาลงโทษ หากผู้ให้บริการไม่ปฏิบัติตามนี้ ปรับสูงสุดถึงห้าแสนบาท
นาย ประสิทธิ์ บุลา เอก คหกรรมศาสตร์ รหัส 55191600202

ไม่ระบุชื่อ กล่าวว่า...

ไวรัสคอมพิวเตอร์ คือ ชื่อเรียกสำหรับโปรแกรมประเภทหนึ่งที่มีพฤติกรรมคล้ายๆ กับไวรัสที่เป็นเชื้อโรค ที่สามารถแพร่เชื้อได้และมักทำอันตรายต่อสิ่งมีชีวิตที่มันอาศัยอยู่ แต่ต่างกันตรงที่ว่าคอมพิวเตอร์ไวรัสเป็นแค่เพียงโปรแกรมเท่านั้น ไม่ใช่สิ่งมีชีวิต
การป้องกันไวรัส
1.สำรองไฟล์ข้อมูลที่สำคัญ
2.สำหรับเครื่องที่มีฮาร์ดดิสก์ อย่าเรียกดอสจากฟลอปปีดิสก์
3.ป้องกันการเขียนให้กับฟลอปปีดิสก์
4.อย่าเรียกโปรแกรมที่ติดมากับดิสก์อื่น
5.เสาะหาโปรแกรมตรวจหาไวรัสที่ใหม่และมากกว่าหนึ่งโปรแกรมจากคนละบริษัท
6.เรียกใช้โปรแกรมตรวจหาไวรัสเป็นช่วงๆ
7. เรียกใช้โปรแกรมตรวจจับไวรัสแบบเฝ้าดูทุกครั้ง
8. เลือกคัดลอกซอฟแวร์เฉพาะที่ถูกตรวจสอบแล้วในบีบีเอส
9. สำรองข้อมูลที่สำคัญของฮาร์ดิสก์ไปเก็บในฟลอปปีดิสก์
10. เตรียมฟลอปปีดิสก์ที่ไว้สำหรับให้เรียกดอสก์ขึ้นมาทำงานได้
11. เมื่อเครื่องติดไวรัส ให้พยายามหาที่มาของไวรัสนั้น

จริยธรรมในการใช้ ICT
1.ไม่ใช้คอมพิวเตอร์ทำร้ายผู้อื่น
2.ไม่รบกวนจนงานคอมพิวเตอร์ของผู้อื่น
3. ไม่แอบดูแฟ้มข้อมูลของผู้อื่น
4. ไม่ใช้คอมพิวเตอร์เพื่อลักขโมย
5.ไม่ใช้คอมพิวเตอร์เพื่อเป็นพยานเท็จ
6.ไม่ใช้หรือทำสำเนาซอฟต์แวร์ที่ตนไม่ได้ซื้อสิทธิ์
7.ไม่ใช้คอมพิวเตอร์ของผู้อื่นโดยไม่มีอำนาจหน้าที่
8. ไม่ฉวยเอาทรัพย์ทางปัญญาของผู้อื่นมาเป็นของตน
9. คิดถึงผลต่อเนื่องทางสังคมของโปรแกรมที่เขียน
10. ใช้คอมพิวเตอร์ในทางที่แสดงถึงความใคร่ครวญและเคารพจรรยาวิชาชีพของสมาชิกสมาคมเครื่องจักรกลคอมพิวเตอร์

พรบ.ว่าด้วยการกระทำความผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์
(มาตรา 5 ) แฮกเกอร์ที่เจาะเข้าระบบคอมพิวเตอร์ที่มีมาตรการป้องกันการเข้าถึง จำคุกไม่เกินหกเดือนหรือปรับไม่เกินหนึ่งหมื่นบาทหรือทั้งจำทั้งปรับ
(มาตรา 7) แฮกเกอร์ที่เจาะเข้าระบบและได้เข้าไปดูข้อมูลของผู้อื่นจำคุกไม่เกินสองปีหรือปรับไม่เกินสี่หมื่นบาทหรือทั้งจำทั้งปรับ
(มาตรา 8) ผู้ที่ชอบดักรับข้อมูลของผู้อื่นระหว่างการส่งข้อมูลในระบบคอมพิวเตอร์ จำคุกไม่เกินสามปีหรือปรับไม่เกินหกหมื่นบาทหรือทั้งจำทั้งปรับ
(มาตรา 9,10 และ 12) ผู้ที่ทำการปลอมแปลง ทำลาย แก้ไขข้อมูลคอมพิวเตอร์ของผู้อื่น หรือทำการใดๆ ที่ไประงับ ชะลอ ขัดขวาง หรือรบกวนการทำงานระบบคอมพิวเตอร์ของผู้อื่น จำคุกสูงสุดยี่สิบปี
(มาตรา 11 ) ผู้ที่ส่งอีเมล์ปกปิดหรือปลอมแปลงแหล่งที่มา เช่น สแปมเมล์ (spam mail ) ทำให้รบกวนการใช้งานระบบคอมพิวเตอร์ของผู้อื่น ปรับไม่เกินหนึ่งแสนบาท
(มาตรา 14) ผู้ที่นำเข้าข้อมูลที่ไม่เหมาะสมเข้าไปในระบบคอมพิวเตอร์ซึ่งคนอื่นสามารถเข้าไปดูข้อมูลนั้นได้ เช่นข้อมูลอันเป็นเท็จที่ส่งผลกระทบต่อความมั่นคงของประเทศ ก่อให้เกิดความตื่นตระหนกแก่ประชาชน หรือทำให้ผู้อื่นเสียหาย ข้อมูลความผิดเกี่ยวกับการก่อการร้าย ข้อมูลลามกอนาจาร หรือผู้ที่เผยแพร่หรือส่งต่อข้อมูลเหล่านี้ ไม่ว่าจะเป็นทางเครื่องคอมพิวเตอร์ พีดีเอ โทรศัพท์มือถือ หรือระบบคอมพิวเตอร์อื่นๆ จำคุกไม่เกินห้าปีหรือปรับไม่เกินหนึ่งแสนบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ
(มาตรา 16) ผู้ที่นำเข้าภาพตัดต่อ ภาพดัดแปลงด้วยวิธีการใดๆ ของบุคคลอื่นเข้าไปในระบบคอมพิวเตอร์โดยมีเจตนาให้ผู้นั้นเสียชื่อเสียง ถูกดูหมิ่น ถูกเกลียดชัง หรือได้รับความอับอาย จำคุกไม่เกินสามปี หรือปรับไม่เกินหกหมื่นบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ
(มาตรา 26) ผู้ให้บริการ เช่น อินเตอร์เน็ตคาเฟ่ ผู้ให้บริการสัญญาณอินเตอร์เน็ต กลุ่มผู้ประกอบการอีคอมเมิร์ช รวมถึงมหาวิทยาลัย ต้องเก็บข้อมูลการเข้าใช้งานระบบคอมพิวเตอร์ของผู้ใช้บริการไม่น้อยกว่าเก้าสิบวัน เพื่อใช้ติดตามผู้กระทำความผิดมาลงโทษ หากผู้ให้บริการไม่ปฏิบัติตามนี้ ปรับสูงสุดถึงห้าแสนบาท
นาย ประสิทธิ์ บุลา เอก คหกรรมศาสตร์ รหัส 55191600202

ไม่ระบุชื่อ กล่าวว่า...

ไวรัสคอมพิวเตอร์ คือ ชื่อเรียกสำหรับโปรแกรมประเภทหนึ่งที่มีพฤติกรรมคล้ายๆ กับไวรัสที่เป็นเชื้อโรค ที่สามารถแพร่เชื้อได้และมักทำอันตรายต่อสิ่งมีชีวิตที่มันอาศัยอยู่ แต่ต่างกันตรงที่ว่าคอมพิวเตอร์ไวรัสเป็นแค่เพียงโปรแกรมเท่านั้น ไม่ใช่สิ่งมีชีวิต
การป้องกันไวรัส
1.สำรองไฟล์ข้อมูลที่สำคัญ
2.สำหรับเครื่องที่มีฮาร์ดดิสก์ อย่าเรียกดอสจากฟลอปปีดิสก์
3.ป้องกันการเขียนให้กับฟลอปปีดิสก์
4.อย่าเรียกโปรแกรมที่ติดมากับดิสก์อื่น
5.เสาะหาโปรแกรมตรวจหาไวรัสที่ใหม่และมากกว่าหนึ่งโปรแกรมจากคนละบริษัท
6.เรียกใช้โปรแกรมตรวจหาไวรัสเป็นช่วงๆ
7. เรียกใช้โปรแกรมตรวจจับไวรัสแบบเฝ้าดูทุกครั้ง
8. เลือกคัดลอกซอฟแวร์เฉพาะที่ถูกตรวจสอบแล้วในบีบีเอส
9. สำรองข้อมูลที่สำคัญของฮาร์ดิสก์ไปเก็บในฟลอปปีดิสก์
10. เตรียมฟลอปปีดิสก์ที่ไว้สำหรับให้เรียกดอสก์ขึ้นมาทำงานได้
11. เมื่อเครื่องติดไวรัส ให้พยายามหาที่มาของไวรัสนั้น

จริยธรรมในการใช้ ICT
1.ไม่ใช้คอมพิวเตอร์ทำร้ายผู้อื่น
2.ไม่รบกวนจนงานคอมพิวเตอร์ของผู้อื่น
3. ไม่แอบดูแฟ้มข้อมูลของผู้อื่น
4. ไม่ใช้คอมพิวเตอร์เพื่อลักขโมย
5.ไม่ใช้คอมพิวเตอร์เพื่อเป็นพยานเท็จ
6.ไม่ใช้หรือทำสำเนาซอฟต์แวร์ที่ตนไม่ได้ซื้อสิทธิ์
7.ไม่ใช้คอมพิวเตอร์ของผู้อื่นโดยไม่มีอำนาจหน้าที่
8. ไม่ฉวยเอาทรัพย์ทางปัญญาของผู้อื่นมาเป็นของตน
9. คิดถึงผลต่อเนื่องทางสังคมของโปรแกรมที่เขียน
10. ใช้คอมพิวเตอร์ในทางที่แสดงถึงความใคร่ครวญและเคารพจรรยาวิชาชีพของสมาชิกสมาคมเครื่องจักรกลคอมพิวเตอร์

พรบ.ว่าด้วยการกระทำความผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์
(มาตรา 5 ) แฮกเกอร์ที่เจาะเข้าระบบคอมพิวเตอร์ที่มีมาตรการป้องกันการเข้าถึง จำคุกไม่เกินหกเดือนหรือปรับไม่เกินหนึ่งหมื่นบาทหรือทั้งจำทั้งปรับ
(มาตรา 7) แฮกเกอร์ที่เจาะเข้าระบบและได้เข้าไปดูข้อมูลของผู้อื่นจำคุกไม่เกินสองปีหรือปรับไม่เกินสี่หมื่นบาทหรือทั้งจำทั้งปรับ
(มาตรา 8) ผู้ที่ชอบดักรับข้อมูลของผู้อื่นระหว่างการส่งข้อมูลในระบบคอมพิวเตอร์ จำคุกไม่เกินสามปีหรือปรับไม่เกินหกหมื่นบาทหรือทั้งจำทั้งปรับ
(มาตรา 9,10 และ 12) ผู้ที่ทำการปลอมแปลง ทำลาย แก้ไขข้อมูลคอมพิวเตอร์ของผู้อื่น หรือทำการใดๆ ที่ไประงับ ชะลอ ขัดขวาง หรือรบกวนการทำงานระบบคอมพิวเตอร์ของผู้อื่น จำคุกสูงสุดยี่สิบปี
(มาตรา 11 ) ผู้ที่ส่งอีเมล์ปกปิดหรือปลอมแปลงแหล่งที่มา เช่น สแปมเมล์ (spam mail ) ทำให้รบกวนการใช้งานระบบคอมพิวเตอร์ของผู้อื่น ปรับไม่เกินหนึ่งแสนบาท
(มาตรา 14) ผู้ที่นำเข้าข้อมูลที่ไม่เหมาะสมเข้าไปในระบบคอมพิวเตอร์ซึ่งคนอื่นสามารถเข้าไปดูข้อมูลนั้นได้ เช่นข้อมูลอันเป็นเท็จที่ส่งผลกระทบต่อความมั่นคงของประเทศ ก่อให้เกิดความตื่นตระหนกแก่ประชาชน หรือทำให้ผู้อื่นเสียหาย ข้อมูลความผิดเกี่ยวกับการก่อการร้าย ข้อมูลลามกอนาจาร หรือผู้ที่เผยแพร่หรือส่งต่อข้อมูลเหล่านี้ ไม่ว่าจะเป็นทางเครื่องคอมพิวเตอร์ พีดีเอ โทรศัพท์มือถือ หรือระบบคอมพิวเตอร์อื่นๆ จำคุกไม่เกินห้าปีหรือปรับไม่เกินหนึ่งแสนบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ
(มาตรา 16) ผู้ที่นำเข้าภาพตัดต่อ ภาพดัดแปลงด้วยวิธีการใดๆ ของบุคคลอื่นเข้าไปในระบบคอมพิวเตอร์โดยมีเจตนาให้ผู้นั้นเสียชื่อเสียง ถูกดูหมิ่น ถูกเกลียดชัง หรือได้รับความอับอาย จำคุกไม่เกินสามปี หรือปรับไม่เกินหกหมื่นบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ
(มาตรา 26) ผู้ให้บริการ เช่น อินเตอร์เน็ตคาเฟ่ ผู้ให้บริการสัญญาณอินเตอร์เน็ต กลุ่มผู้ประกอบการอีคอมเมิร์ช รวมถึงมหาวิทยาลัย ต้องเก็บข้อมูลการเข้าใช้งานระบบคอมพิวเตอร์ของผู้ใช้บริการไม่น้อยกว่าเก้าสิบวัน เพื่อใช้ติดตามผู้กระทำความผิดมาลงโทษ หากผู้ให้บริการไม่ปฏิบัติตามนี้ ปรับสูงสุดถึงห้าแสนบาท
นาย ประสิทธิ์ บุลา เอก คหกรรมศาสตร์ รหัส 55191600202

Unknown กล่าวว่า...

การป้องกันไวรัส
1.สำรองไฟล์ข้อมูลที่สำคัญ
2.สำหรับเครื่องที่มีฮาร์ดดิสก์ อย่าเรียกดอสจากฟลอปปีดิสก์
3.ป้องกันการเขียนให้กับฟลอปปีดิสก์
4.อย่าเรียกโปรแกรมที่ติดมากับดิสก์อื่น
5.เสาะหาโปรแกรมตรวจหาไวรัสที่ใหม่และมากกว่าหนึ่งโปรแกรมจากคนละบริษัท
6.เรียกใช้โปรแกรมตรวจหาไวรัสเป็นช่วงๆ
7. เรียกใช้โปรแกรมตรวจจับไวรัสแบบเฝ้าดูทุกครั้ง
8. เลือกคัดลอกซอฟแวร์เฉพาะที่ถูกตรวจสอบแล้วในบีบีเอส
9. สำรองข้อมูลที่สำคัญของฮาร์ดิสก์ไปเก็บในฟลอปปีดิสก์
10. เตรียมฟลอปปีดิสก์ที่ไว้สำหรับให้เรียกดอสก์ขึ้นมาทำงานได้
11. เมื่อเครื่องติดไวรัส ให้พยายามหาที่มาของไวรัสนั้น

จริยธรรมในการใช้ ICT
1.ไม่ใช้คอมพิวเตอร์ทำร้ายผู้อื่น
2.ไม่รบกวนจนงานคอมพิวเตอร์ของผู้อื่น
3. ไม่แอบดูแฟ้มข้อมูลของผู้อื่น
4. ไม่ใช้คอมพิวเตอร์เพื่อลักขโมย
5.ไม่ใช้คอมพิวเตอร์เพื่อเป็นพยานเท็จ
6.ไม่ใช้หรือทำสำเนาซอฟต์แวร์ที่ตนไม่ได้ซื้อสิทธิ์
7.ไม่ใช้คอมพิวเตอร์ของผู้อื่นโดยไม่มีอำนาจหน้าที่
8. ไม่ฉวยเอาทรัพย์ทางปัญญาของผู้อื่นมาเป็นของตน
9. คิดถึงผลต่อเนื่องทางสังคมของโปรแกรมที่เขียน
10. ใช้คอมพิวเตอร์ในทางที่แสดงถึงความใคร่ครวญและเคารพจรรยาวิชาชีพของสมาชิกสมาคมเครื่องจักรกลคอมพิวเตอร์

พรบ.ว่าด้วยการกระทำความผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์
(มาตรา 5 ) แฮกเกอร์ที่เจาะเข้าระบบคอมพิวเตอร์ที่มีมาตรการป้องกันการเข้าถึง จำคุกไม่เกินหกเดือนหรือปรับไม่เกินหนึ่งหมื่นบาทหรือทั้งจำทั้งปรับ
(มาตรา 7) แฮกเกอร์ที่เจาะเข้าระบบและได้เข้าไปดูข้อมูลของผู้อื่นจำคุกไม่เกินสองปีหรือปรับไม่เกินสี่หมื่นบาทหรือทั้งจำทั้งปรับ
(มาตรา 8) ผู้ที่ชอบดักรับข้อมูลของผู้อื่นระหว่างการส่งข้อมูลในระบบคอมพิวเตอร์ จำคุกไม่เกินสามปีหรือปรับไม่เกินหกหมื่นบาทหรือทั้งจำทั้งปรับ
(มาตรา 9,10 และ 12) ผู้ที่ทำการปลอมแปลง ทำลาย แก้ไขข้อมูลคอมพิวเตอร์ของผู้อื่น หรือทำการใดๆ ที่ไประงับ ชะลอ ขัดขวาง หรือรบกวนการทำงานระบบคอมพิวเตอร์ของผู้อื่น จำคุกสูงสุดยี่สิบปี
(มาตรา 11 ) ผู้ที่ส่งอีเมล์ปกปิดหรือปลอมแปลงแหล่งที่มา เช่น สแปมเมล์ (spam mail ) ทำให้รบกวนการใช้งานระบบคอมพิวเตอร์ของผู้อื่น ปรับไม่เกินหนึ่งแสนบาท
(มาตรา 14) ผู้ที่นำเข้าข้อมูลที่ไม่เหมาะสมเข้าไปในระบบคอมพิวเตอร์ซึ่งคนอื่นสามารถ เข้าไปดูข้อมูลนั้นได้ เช่นข้อมูลอันเป็นเท็จที่ส่งผลกระทบต่อความมั่นคงของประเทศ ก่อให้เกิดความตื่นตระหนกแก่ประชาชน หรือทำให้ผู้อื่นเสียหาย ข้อมูลความผิดเกี่ยวกับการก่อการร้าย ข้อมูลลามกอนาจาร หรือผู้ที่เผยแพร่หรือส่งต่อข้อมูลเหล่านี้ ไม่ว่าจะเป็นทางเครื่องคอมพิวเตอร์ พีดีเอ โทรศัพท์มือถือ หรือระบบคอมพิวเตอร์อื่นๆ จำคุกไม่เกินห้าปีหรือปรับไม่เกินหนึ่งแสนบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ
(มาตรา 16) ผู้ที่นำเข้าภาพตัดต่อ ภาพดัดแปลงด้วยวิธีการใดๆ ของบุคคลอื่นเข้าไปในระบบคอมพิวเตอร์โดยมีเจตนาให้ผู้นั้นเสียชื่อเสียง ถูกดูหมิ่น ถูกเกลียดชัง หรือได้รับความอับอาย จำคุกไม่เกินสามปี หรือปรับไม่เกินหกหมื่นบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ
(มาตรา 26) ผู้ให้บริการ เช่น อินเตอร์เน็ตคาเฟ่ ผู้ให้บริการสัญญาณอินเตอร์เน็ต กลุ่มผู้ประกอบการอีคอมเมิร์ช รวมถึงมหาวิทยาลัย ต้องเก็บข้อมูลการเข้าใช้งานระบบคอมพิวเตอร์ของผู้ใช้บริการไม่น้อยกว่าเก้า สิบวัน เพื่อใช้ติดตามผู้กระทำความผิดมาลงโทษ หากผู้ให้บริการไม่ปฏิบัติตามนี้ ปรับสูงสุดถึงห้าแสนบาท

นายภาณุพงษ์ พิมพา รหัสนักศึกษา 56191430122 สาขาฟิสิกส์ ค.บ. 5/1

Unknown กล่าวว่า...

ไวรัสคอมพิวเตอร์ (computer virus) ซึ่งเรียกชื่อเลียนแบบ ไวรัส ที่เป็นสิ่งมีชีวิต แต่เป็นคำเรียกแบบย่อของ โปรแกรมคอมพิวเตอร์ ที่มีชุดคำสั่งระบบปฏิบัติการใดๆก็ตามเท่าที่โปรแกรมถูกเขียนขึ้นมาเพื่อการใดการหนึ่งทั้งที่มีประโยชน์ทางการทำงานตามผู้เขียนโปรแกรมนั้นขึ้นมา
วิธีการป้องกันไวรัสคอมพิวเตอร์เบื้องต้น

1. อย่านำไฟล์ แปลกๆ หรือโฟเดอร์ ที่เราไม่รู้จัก โดยเฉพาะไฟล์นามสกุล .exe เข้ามาใน
คอมพิวเตอร์
2. การใช้งานหน่วยความจำสำรองต่าง ๆ เช่น SD card , flash drive ควรจะ Scan
Virus ทุกครั้ง
3. เฟรตไดร์ ธัมไดร์ แฮนดี้ไดร์ (แล้วแต่จะเรียก) เวลาเสียบ ผ่าน USB Port นั้นให้
กด Ship ที่คีบอร์ดค้างเอาไว้ เพื่อป้องกันการ Auto Run ของไวรัส แล้วเข้าใช้งานทาง
My Computer
4. กรณีที่เครื่องติดตั้งโปรแกรมฆ่าไวรัส ควร Up Date โปรแกรมบ้าง
5. การใช้งาน E-mail msn qq หรือโปรแกรมการติดต่อสื่อสาร อื่น ๆ ควรที่จะเปิดดูเฉพาะ
ไฟล์ที่คนรู้จักส่งให้เท่านั้น สำหรับเอกสารที่แนบ มากับอีเมล์ ควรสแกนไวรัสก่อนทุก
ครั้งก่อนเปิดเอกสาร
6. กรณีที่ใช้งาน Web site การตอบตกลงอะไรจาก popup นั้นควรจะอ่านให้ละเอียด อย่า
ตอบตกลงอย่างเดียว สังเกตและอ่านดีๆ หากอ่านไม่ออก หรือไม่เข้าใจ ให้ยกเลิกไปเลย
เพราะการตอบตกลงอย่างเดียว อาจจะเป็นเหตุให้ไวรัสเข้าเครื่องได้
7. การโหลดไฟล์จาก Internet ควรจะโหลดไฟล์ที่จำเป็นต้องใช้งานและเป็นไฟล์ที่น่าเชื่อถือ
ได้เท่านั้น

บัญญัติ10 ประการของผู้ใช้คอมพิวเตอร์

การเข้าถึงระบบคอมพิวเตอร์และข้อมูลก็จะเฉพาะสิทธิ์ที่ตนเองมีในส่วนที่เกี่ยวข้องกับงาน

ไม่ใช้คอมพิวเตอร์ทำร้ายผู้อื่น
ไม่รบกวนจนงานคอมพิวเตอร์ของผู้อื่น
ไม่แอบดูแฟ้มข้อมูลของผู้อื่น
ไม่ใช้คอมพิวเตอร์เพื่อลักขโมย
ไม่ใช้คอมพิวเตอร์เพื่อเป็นพยานเท็จ
ไม่ใช้หรือทำสำเนาซอฟต์แวร์ที่ตนไม่ได้ซื้อสิทธิ์
ไม่ใช้คอมพิวเตอร์ของผู้อื่นโดยไม่มีอำนาจหน้าที่
ไม่ฉวยเอาทรัพย์ทางปัญญาของผู้อื่นมาเป็นของตน
คิดถึงผลต่อเนื่องทางสังคมของโปรแกรมที่เขียน
ใช้คอมพิวเตอร์ในทางที่แสดงถึงความใคร่ครวญและเคารพจรรยาวิชาชีพของสมาชิกสมาคมเครื่องจักรกลคอมพิวเตอร์

นางสาวนัยนา สีสมงาม คบ.วิทยาศาสตร์ หมู่ 2
รหัส 56191960237

Unknown กล่าวว่า...

ไวรัสคอมพิวเตอร์ (computer virus) ซึ่งเรียกชื่อเลียนแบบ ไวรัส ที่เป็นสิ่งมีชีวิต แต่เป็นคำเรียกแบบย่อของ โปรแกรมคอมพิวเตอร์ ที่มีชุดคำสั่งระบบปฏิบัติการใดๆก็ตามเท่าที่โปรแกรมถูกเขียนขึ้นมาเพื่อการใดการหนึ่งทั้งที่มีประโยชน์ทางการทำงานตามผู้เขียนโปรแกรมนั้นขึ้นมา
วิธีการป้องกันไวรัสคอมพิวเตอร์เบื้องต้น

1. อย่านำไฟล์ แปลกๆ หรือโฟเดอร์ ที่เราไม่รู้จัก โดยเฉพาะไฟล์นามสกุล .exe เข้ามาใน
คอมพิวเตอร์
2. การใช้งานหน่วยความจำสำรองต่าง ๆ เช่น SD card , flash drive ควรจะ Scan
Virus ทุกครั้ง
3. เฟรตไดร์ ธัมไดร์ แฮนดี้ไดร์ (แล้วแต่จะเรียก) เวลาเสียบ ผ่าน USB Port นั้นให้
กด Ship ที่คีบอร์ดค้างเอาไว้ เพื่อป้องกันการ Auto Run ของไวรัส แล้วเข้าใช้งานทาง
My Computer
4. กรณีที่เครื่องติดตั้งโปรแกรมฆ่าไวรัส ควร Up Date โปรแกรมบ้าง
5. การใช้งาน E-mail msn qq หรือโปรแกรมการติดต่อสื่อสาร อื่น ๆ ควรที่จะเปิดดูเฉพาะ
ไฟล์ที่คนรู้จักส่งให้เท่านั้น สำหรับเอกสารที่แนบ มากับอีเมล์ ควรสแกนไวรัสก่อนทุก
ครั้งก่อนเปิดเอกสาร
6. กรณีที่ใช้งาน Web site การตอบตกลงอะไรจาก popup นั้นควรจะอ่านให้ละเอียด อย่า
ตอบตกลงอย่างเดียว สังเกตและอ่านดีๆ หากอ่านไม่ออก หรือไม่เข้าใจ ให้ยกเลิกไปเลย
เพราะการตอบตกลงอย่างเดียว อาจจะเป็นเหตุให้ไวรัสเข้าเครื่องได้
7. การโหลดไฟล์จาก Internet ควรจะโหลดไฟล์ที่จำเป็นต้องใช้งานและเป็นไฟล์ที่น่าเชื่อถือ
ได้เท่านั้น

บัญญัติ10 ประการของผู้ใช้คอมพิวเตอร์

การเข้าถึงระบบคอมพิวเตอร์และข้อมูลก็จะเฉพาะสิทธิ์ที่ตนเองมีในส่วนที่เกี่ยวข้องกับงาน

ไม่ใช้คอมพิวเตอร์ทำร้ายผู้อื่น
ไม่รบกวนจนงานคอมพิวเตอร์ของผู้อื่น
ไม่แอบดูแฟ้มข้อมูลของผู้อื่น
ไม่ใช้คอมพิวเตอร์เพื่อลักขโมย
ไม่ใช้คอมพิวเตอร์เพื่อเป็นพยานเท็จ
ไม่ใช้หรือทำสำเนาซอฟต์แวร์ที่ตนไม่ได้ซื้อสิทธิ์
ไม่ใช้คอมพิวเตอร์ของผู้อื่นโดยไม่มีอำนาจหน้าที่
ไม่ฉวยเอาทรัพย์ทางปัญญาของผู้อื่นมาเป็นของตน
คิดถึงผลต่อเนื่องทางสังคมของโปรแกรมที่เขียน
ใช้คอมพิวเตอร์ในทางที่แสดงถึงความใคร่ครวญและเคารพจรรยาวิชาชีพของสมาชิกสมาคมเครื่องจักรกลคอมพิวเตอร์

นางสาวนัยนา สีสมงาม คบ.วิทยาศาสตร์ หมู่ 2
รหัส 56191960237

Unknown กล่าวว่า...

ไวรัสคอมพิวเตอร์ (computer virus) ซึ่งเรียกชื่อเลียนแบบ ไวรัส ที่เป็นสิ่งมีชีวิต แต่เป็นคำเรียกแบบย่อของ โปรแกรมคอมพิวเตอร์ ที่มีชุดคำสั่งระบบปฏิบัติการใดๆก็ตามเท่าที่โปรแกรมถูกเขียนขึ้นมาเพื่อการใดการหนึ่งทั้งที่มีประโยชน์ทางการทำงานตามผู้เขียนโปรแกรมนั้นขึ้นมา
วิธีการป้องกันไวรัสคอมพิวเตอร์เบื้องต้น

1. อย่านำไฟล์ แปลกๆ หรือโฟเดอร์ ที่เราไม่รู้จัก โดยเฉพาะไฟล์นามสกุล .exe เข้ามาใน
คอมพิวเตอร์
2. การใช้งานหน่วยความจำสำรองต่าง ๆ เช่น SD card , flash drive ควรจะ Scan
Virus ทุกครั้ง
3. เฟรตไดร์ ธัมไดร์ แฮนดี้ไดร์ (แล้วแต่จะเรียก) เวลาเสียบ ผ่าน USB Port นั้นให้
กด Ship ที่คีบอร์ดค้างเอาไว้ เพื่อป้องกันการ Auto Run ของไวรัส แล้วเข้าใช้งานทาง
My Computer
4. กรณีที่เครื่องติดตั้งโปรแกรมฆ่าไวรัส ควร Up Date โปรแกรมบ้าง
5. การใช้งาน E-mail msn qq หรือโปรแกรมการติดต่อสื่อสาร อื่น ๆ ควรที่จะเปิดดูเฉพาะ
ไฟล์ที่คนรู้จักส่งให้เท่านั้น สำหรับเอกสารที่แนบ มากับอีเมล์ ควรสแกนไวรัสก่อนทุก
ครั้งก่อนเปิดเอกสาร
6. กรณีที่ใช้งาน Web site การตอบตกลงอะไรจาก popup นั้นควรจะอ่านให้ละเอียด อย่า
ตอบตกลงอย่างเดียว สังเกตและอ่านดีๆ หากอ่านไม่ออก หรือไม่เข้าใจ ให้ยกเลิกไปเลย
เพราะการตอบตกลงอย่างเดียว อาจจะเป็นเหตุให้ไวรัสเข้าเครื่องได้
7. การโหลดไฟล์จาก Internet ควรจะโหลดไฟล์ที่จำเป็นต้องใช้งานและเป็นไฟล์ที่น่าเชื่อถือ
ได้เท่านั้น

บัญญัติ10 ประการของผู้ใช้คอมพิวเตอร์

การเข้าถึงระบบคอมพิวเตอร์และข้อมูลก็จะเฉพาะสิทธิ์ที่ตนเองมีในส่วนที่เกี่ยวข้องกับงาน

ไม่ใช้คอมพิวเตอร์ทำร้ายผู้อื่น
ไม่รบกวนจนงานคอมพิวเตอร์ของผู้อื่น
ไม่แอบดูแฟ้มข้อมูลของผู้อื่น
ไม่ใช้คอมพิวเตอร์เพื่อลักขโมย
ไม่ใช้คอมพิวเตอร์เพื่อเป็นพยานเท็จ
ไม่ใช้หรือทำสำเนาซอฟต์แวร์ที่ตนไม่ได้ซื้อสิทธิ์
ไม่ใช้คอมพิวเตอร์ของผู้อื่นโดยไม่มีอำนาจหน้าที่
ไม่ฉวยเอาทรัพย์ทางปัญญาของผู้อื่นมาเป็นของตน
คิดถึงผลต่อเนื่องทางสังคมของโปรแกรมที่เขียน
ใช้คอมพิวเตอร์ในทางที่แสดงถึงความใคร่ครวญและเคารพจรรยาวิชาชีพของสมาชิกสมาคมเครื่องจักรกลคอมพิวเตอร์

นางสาวนัยนา สีสมงาม คบ.วิทยาศาสตร์ หมู่ 2
รหัส 56191960237

Unknown กล่าวว่า...

ไวรัสคอมพิวเตอร์ เป็นโปรแกรมพิเศษชนิดหนึ่งที่เขียนขึ้นมาเพื่อให้จัดการกับตัวมันเอง โดยมีลักษณะเลียบแบบสิ่งมีชีวิต คือ เจริญเติบโตเองได้ ขยายและแพร่กระจายเองได้ สามารถอยู่รอดได้ โปรแกรมนี้เข้าไปอยู่ในระบบคอมพิวเตอร์ได้ โดยผ่านทาง แผ่นฟลอปปีดิสก์ เครือข่ายคอมพิวเตอร์
การแพร่กระจายของไวรัสคอมพิวเตอร์ มีลักษณะคล้ายกับการแพร่กระจายของเชื้อโรคทั่วไป กล่าวคือ ต้องมีพาหะ หรือตัวกลาง เช่น อากาศ น้ำ และพาหะอื่น ๆ ส่วนโลกของคอมพิวเตอร์พาหะที่ว่านั้นก็คือ แผ่นดิสก์ สายเคเบิลเพื่อสื่อสารข้อมูล โดยเฉพาะเครื่องคอมพิวเตอร์ที่มีผู้ใช้หลายคน และแต่ละคนก็ต่างมีแผ่นดิสก์ของตนเอง รวมทั้งมีการก๊อปปี้แผ่นดิสก์กันโดยไม่มีเงื่อนไขด้วยแล้ว ยังมีโอกาสติดไวรัสคอมพิวเตอร์มากขึ้น
ประเภทของไวรัสคอมพิวเตอร์
สามารถแบ่งไวรัสที่มีอยู่มากกว่าแปดพันชนิด ตามลักษณะแหล่งที่อยู่ และการฝังตัวของมันได้ดังนี้
1. ไวรัสที่ฝังตัวอยู่ตามบูตเซ็กเตอร์ของแผ่นดิสก์และตารางพาร์ติชัน
ทุกครั่งทีทำการเปิดเครื่อง ระบบจัดการของคอมพิวเตอร์จะอ่านข้อมูลจากบูตเซ็กเตอร์ และโหลดเข้าไปในหน่วยความจำก่อน เสมอ ทำให้ไวรัสประเภทนี้ถูกโหลดไปหลบซ่อนในหน่วยความจำเพื่อรจังหวะแพร่กระจายต่อไปยังแผ่นดิสก์
ไวรัสประเภท ไม่สามารถทำลายได้โดยการเปิดเครื่องใหม่ เพราะมันจะเริ่มอยู่ในหน่วยความจำตั้งแต่เปิดเครื่อง และจะเมทำงานตลอดเวลานับจากนั้น
2. ไวรัสที่เกาะตามไฟล์
ส่วนมากจะเกาะติดไฟล์ที่มีสกุล .COM และ .EXE คือเมื่อมีการใช้งานโปรแกรม .COM .EXE ไวรัสประเภทนี้จะแยกตัวไปซ่อนอยู่ในหน่วยความจำ แล้วหาทางเกาะติดไฟล์ที่มีนามสกุลดังกล่าว ที่เก็บไว้ในแผ่นดิสก์
3. ไวรัสที่ฝังตัวอยู่ในไฟล์ COMMAND.COM
ไฟล์นี้เป็น ไฟล์ คำสั่งพื้นฐานที่มีอยู่ในระบบปฏิบัติการ เช่น เมื่อไปใช้งานในโหมด DOS Prompt แล้วไฟล์คำสั่ง COMMAND จะทำหน้าที่แปลคำสั่งนั้นให้เป็นภาษาเครื่องเข้าใจ เช่น คำสั่ง DEL,REN,DIR,COPY เป็นต้น จากการที่ไฟล์นี้ทำงานบ่อย ๆ นี่เอง ทำให้กระจายไปได้อย่างกว้างขวาง ทำลายยากกว่าไวรัสประเภทแรก
4. ไวรัสที่แฝงตัวอยู่ในหน่วยความจำ
ไวรัสประเภทนี้จะฝังติดอยู่ในหน่วยความจำ และรอจนกว่าจะเป็นไปตามเงื่อนไขที่เหมาะสมของสภาพแวดล้อม ไวรัสนี้ก็จะเริ่มทำงานทันที
5. ไวรัสประเภททำลายเฉพาะไฟล์
ไวรัสประเภทนี้เกาะติดไฟล์โปรแกรมไปเรื่อย ๆ และเมื่อพบไฟล์ที่ต้องการก็จะเริ่มทำงานไม่ว่าจะเป็นการแก้ไข การทำลาย การเคลื่อนย้าย เป็นไวรัสที่ร้ายแรงต่อเศรษฐกิจมากกว่าไวรัสประเภทอื่น ๆ กว่าจะพิสูจน์ได้ว่าติดไวรัสแล้ว ข้อมูลที่สำคัญของผู้ใช้ก็อาจหายไปหมดแล้ว

จรรยาบรรณการใช้ ICT
จริยธรรม (Ethics) เป็นเรื่องของการกำหนดความถูกต้องดีงามสิ่งที่ไม่ควรทำมีหลักปฏิบัติในระดับที่สูงกว่ามารยาทในสังคม
บัญญัติ10 ประการของผู้ใช้คอมพิวเตอร์
การเข้าถึงระบบคอมพิวเตอร์และข้อมูลก็จะเฉพาะสิทธิ์ที่ตนเองมีในส่วนที่เกี่ยวข้องกับงาน
1. ไม่ใช้คอมพิวเตอร์ทำร้ายผู้อื่น
2. ไม่รบกวนจนงานคอมพิวเตอร์ของผู้อื่น
3. ไม่แอบดูแฟ้มข้อมูลของผู้อื่น
4. ไม่ใช้คอมพิวเตอร์เพื่อลักขโมย
5. ไม่ใช้คอมพิวเตอร์เพื่อเป็นพยานเท็จ
6. ไม่ใช้หรือทำสำเนาซอฟต์แวร์ที่ตนไม่ได้ซื้อสิทธิ์
7. ไม่ใช้คอมพิวเตอร์ของผู้อื่นโดยไม่มีอำนาจหน้าที่
8. ไม่ฉวยเอาทรัพย์ทางปัญญาของผู้อื่นมาเป็นของตน
9. คิดถึงผลต่อเนื่องทางสังคมของโปรแกรมที่เขียน
10. ใช้คอมพิวเตอร์ในทางที่แสดงถึงความใคร่ครวญและเคารพจรรยาวิชาชีพของสมาชิกสมาคมเครื่องจักรกลคอมพิวเตอร์

Unknown กล่าวว่า...

ไวรัสคอมพิวเตอร์
ไวรัสคอมพิวเตอร์ เป็นโปรแกรมพิเศษชนิดหนึ่งที่เขียนขึ้นมาเพื่อให้จัดการกับตัวมันเอง โดยมีลักษณะเลียบแบบสิ่งมีชีวิต คือ เจริญเติบโตเองได้ ขยายและแพร่กระจายเองได้ สามารถอยู่รอดได้ โปรแกรมนี้เข้าไปอยู่ในระบบคอมพิวเตอร์ได้ โดยผ่านทาง
- แผ่นฟลอปปีดิสก์
- เครือข่ายคอมพิวเตอร์
จากการที่ไวรัสคอมพิวเตอร์ ทำงานได้ด้วยเงื่อนไขลักษณะใดลักษณะหนึ่งหลายลักษณะ จึงทำให้ผู้ใช้ไม่รู้ว่าเครื่องคอมพิวเตอร์ของตนติดไวรัสหรือไม่ พอเปิดเครื่องใช้ก็อาจพบว่าระบบคอมพิวเตอร์ของตนถูกไวรัสทำลายเสียแล้ว ไวรัสบางตัวไม่เพียงทำลาย ลบ ล้าง ย้ายข้อมูลของเรา โดยไม่ได้รับอนุญาตเท่านั้น แต่ยังสามารถทำลายโปรแกรมอื่น ๆได้อีกด้วยโดยสังเกตได้จากการที่หน้าจอแสดงผลโดยอาการแปลก ๆ
การป้องกันไวรัสคอมพิวเตอร์
มีเทคนิคอยู่มากมายหลายวิธี ดังนี้
-ทุกครั้งที่นำซอฟแวร์ที่ไม่ทราบแหล่งที่ผลิต หรือได้รับแจกฟรี ต้องตรวจสอบให้แน่ใจก่อนนำไปใช้
-ควรตรวจสอบทั้งฮาร์ดแวร์และซอฟแวร์อย่างสม่ำเสมอ อย่างน้อยวันละ 1 ครั้ง
- เตรียมแผ่นที่สะอาดไว้สำหรับบูตเครื่องเมื่อคราวจำเป็น
- ควรสำรองข้อมูลไว้เสมอ
- พยายามสังเกตุสิ่งผิดปกติที่เกิดขึ้นกับเครื่องอย่างสม่ำเสมอ เช่น การทำงานที่ช้าลง ขนาดไฟล์ หน้าจอแสดงผลแปลก ๆ ไดรฟ์มีเสียงผิดปกติ
-ไม่นำแผ่นดิสก์ไปใช้กับเครื่องคอมพิวเตอร์อื่น ๆ ถ้ายังไม่ได้ปิดแถบป้องกันการบันทึก (Write Protect )
- ควรแยกแผ่นโปรแกรม และแผ่นข้อมูลออกจากกันโดยเด็ดขาด
-ไม่อนุญาตให้คนอื่นมาเล่นเครื่องคอมพิวเตอร์ของท่าน โดยปราศจากการควบคุมอย่างใกล้ชิด
-ควรมีโปรแกรมป้องกันไวรัสไว้ใช้ตรวจสอบและป้องกัน โดยเฉพาะโปรแกรมป้องกันไวรัสรุ่นใหม่ ๆ จะมีประสิทธิภาพในการป้องกันได้ดีขึ้นมาก ในที่นี้จะขอแนะนำโปรแกรม SCAN ของบริษัท McAfee Associates รุ่น V.2.5.1 หรือ Norton Antivirus
จรรยาบรรณในการใช้คอมพิวเตอร์
บัญญัติ10 ประการของผู้ใช้คอมพิวเตอร์
การเข้าถึงระบบคอมพิวเตอร์และข้อมูลก็จะเฉพาะสิทธิ์ที่ตนเองมีในส่วนที่เกี่ยวข้องกับงาน

1.ไม่ใช้คอมพิวเตอร์ทำร้ายผู้อื่น
2.ไม่รบกวนจนงานคอมพิวเตอร์ของผู้อื่น
3. ไม่แอบดูแฟ้มข้อมูลของผู้อื่น
4.ไม่ใช้คอมพิวเตอร์เพื่อลักขโมย
5.ไม่ใช้คอมพิวเตอร์เพื่อเป็นพยานเท็จ
6. ไม่ใช้หรือทำสำเนาซอฟต์แวร์ที่ตนไม่ได้ซื้อสิทธิ์
7.ไม่ใช้คอมพิวเตอร์ของผู้อื่นโดยไม่มีอำนาจหน้าที่
8.ไม่ฉวยเอาทรัพย์ทางปัญญาของผู้อื่นมาเป็นของตน
9.คิดถึงผลต่อเนื่องทางสังคมของโปรแกรมที่เขียน
10.ใช้คอมพิวเตอร์ในทางที่แสดงถึงความใคร่ครวญและเคารพจรรยาวิชาชีพของสมาชิกสมาคมเครื่องจักรกลคอมพิวเตอร์
พระราชบัญญัติ ว่าด้วยการกระทําความผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ พ.ศ. 2550

พ.ร.บ.ฉบับนี้ประกาศในพระราชกิจจานุเบกษา เมื่อวันที่ 18 มิ.ย 2550 และมีผลบังคับใช้ ตั้งแต่วันที่ 18 ก.ค. 2550 ป็นต้นไป

ความผิดที่เข้าข่ายตาม พ.ร.บ ฉบับนี้

- การเข้าถึงระบบคอมพิวเตอร์ของผู้อื่นโดยมิชอบ
- การเปิดเผยข้อมูลมาตรการป้องกันการเข้าถึงระบบคอมพิวเตอร์ที่ผู้อื่นจัดทำขึ้นเป็นการเฉพาะ
- การดักรับข้อมูลคอมพิวเตอร์ของผู้อื่น
- การทำให้เสียหาย ทำลาย แก้ไข เปลี่ยนแปลงข้อมูลโดยมิชอบ
- การกระทำเพื่อใหการทำงานของระบบคอมพิวเตอร์ของผู้อื่นไม่สามารถทำงานได้ตามปกติ
- การส่งข้อมูลรบกวนการใช้ระบบคอมพิวเตอร์ของผู้อื่น
- การจำหน่ายชุดคำสั่งที่จัดทำขึ้นเพื่อนำไปเป็นเครื่องมือในการกระทำผิด
- การใช้ระบบคอมพิวเตอร์ทำความผิดอื่น
- การตกแต่งข้อมูลคอมพิวเตอร์ที่เป็นภาพของบุคคล

นายโกศล แป้นนะริน
56191430123

Unknown กล่าวว่า...

ไวรัสคอมพิวเตอร์
ไวรัสคอมพิวเตอร์ เป็นโปรแกรมพิเศษชนิดหนึ่งที่เขียนขึ้นมาเพื่อให้จัดการกับตัวมันเอง โดยมีลักษณะเลียบแบบสิ่งมีชีวิต คือ เจริญเติบโตเองได้ ขยายและแพร่กระจายเองได้ สามารถอยู่รอดได้ โปรแกรมนี้เข้าไปอยู่ในระบบคอมพิวเตอร์ได้ โดยผ่านทาง
- แผ่นฟลอปปีดิสก์
- เครือข่ายคอมพิวเตอร์
จากการที่ไวรัสคอมพิวเตอร์ ทำงานได้ด้วยเงื่อนไขลักษณะใดลักษณะหนึ่งหลายลักษณะ จึงทำให้ผู้ใช้ไม่รู้ว่าเครื่องคอมพิวเตอร์ของตนติดไวรัสหรือไม่ พอเปิดเครื่องใช้ก็อาจพบว่าระบบคอมพิวเตอร์ของตนถูกไวรัสทำลายเสียแล้ว ไวรัสบางตัวไม่เพียงทำลาย ลบ ล้าง ย้ายข้อมูลของเรา โดยไม่ได้รับอนุญาตเท่านั้น แต่ยังสามารถทำลายโปรแกรมอื่น ๆได้อีกด้วยโดยสังเกตได้จากการที่หน้าจอแสดงผลโดยอาการแปลก ๆ
การป้องกันไวรัสคอมพิวเตอร์
มีเทคนิคอยู่มากมายหลายวิธี ดังนี้
-ทุกครั้งที่นำซอฟแวร์ที่ไม่ทราบแหล่งที่ผลิต หรือได้รับแจกฟรี ต้องตรวจสอบให้แน่ใจก่อนนำไปใช้
-ควรตรวจสอบทั้งฮาร์ดแวร์และซอฟแวร์อย่างสม่ำเสมอ อย่างน้อยวันละ 1 ครั้ง
- เตรียมแผ่นที่สะอาดไว้สำหรับบูตเครื่องเมื่อคราวจำเป็น
- ควรสำรองข้อมูลไว้เสมอ
- พยายามสังเกตุสิ่งผิดปกติที่เกิดขึ้นกับเครื่องอย่างสม่ำเสมอ เช่น การทำงานที่ช้าลง ขนาดไฟล์ หน้าจอแสดงผลแปลก ๆ ไดรฟ์มีเสียงผิดปกติ
-ไม่นำแผ่นดิสก์ไปใช้กับเครื่องคอมพิวเตอร์อื่น ๆ ถ้ายังไม่ได้ปิดแถบป้องกันการบันทึก (Write Protect )
- ควรแยกแผ่นโปรแกรม และแผ่นข้อมูลออกจากกันโดยเด็ดขาด
-ไม่อนุญาตให้คนอื่นมาเล่นเครื่องคอมพิวเตอร์ของท่าน โดยปราศจากการควบคุมอย่างใกล้ชิด
-ควรมีโปรแกรมป้องกันไวรัสไว้ใช้ตรวจสอบและป้องกัน โดยเฉพาะโปรแกรมป้องกันไวรัสรุ่นใหม่ ๆ จะมีประสิทธิภาพในการป้องกันได้ดีขึ้นมาก ในที่นี้จะขอแนะนำโปรแกรม SCAN ของบริษัท McAfee Associates รุ่น V.2.5.1 หรือ Norton Antivirus
จรรยาบรรณในการใช้คอมพิวเตอร์
บัญญัติ10 ประการของผู้ใช้คอมพิวเตอร์
การเข้าถึงระบบคอมพิวเตอร์และข้อมูลก็จะเฉพาะสิทธิ์ที่ตนเองมีในส่วนที่เกี่ยวข้องกับงาน

1.ไม่ใช้คอมพิวเตอร์ทำร้ายผู้อื่น
2.ไม่รบกวนจนงานคอมพิวเตอร์ของผู้อื่น
3. ไม่แอบดูแฟ้มข้อมูลของผู้อื่น
4.ไม่ใช้คอมพิวเตอร์เพื่อลักขโมย
5.ไม่ใช้คอมพิวเตอร์เพื่อเป็นพยานเท็จ
6. ไม่ใช้หรือทำสำเนาซอฟต์แวร์ที่ตนไม่ได้ซื้อสิทธิ์
7.ไม่ใช้คอมพิวเตอร์ของผู้อื่นโดยไม่มีอำนาจหน้าที่
8.ไม่ฉวยเอาทรัพย์ทางปัญญาของผู้อื่นมาเป็นของตน
9.คิดถึงผลต่อเนื่องทางสังคมของโปรแกรมที่เขียน
10.ใช้คอมพิวเตอร์ในทางที่แสดงถึงความใคร่ครวญและเคารพจรรยาวิชาชีพของสมาชิกสมาคมเครื่องจักรกลคอมพิวเตอร์
พระราชบัญญัติ ว่าด้วยการกระทําความผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ พ.ศ. 2550

พ.ร.บ.ฉบับนี้ประกาศในพระราชกิจจานุเบกษา เมื่อวันที่ 18 มิ.ย 2550 และมีผลบังคับใช้ ตั้งแต่วันที่ 18 ก.ค. 2550 ป็นต้นไป

ความผิดที่เข้าข่ายตาม พ.ร.บ ฉบับนี้

- การเข้าถึงระบบคอมพิวเตอร์ของผู้อื่นโดยมิชอบ
- การเปิดเผยข้อมูลมาตรการป้องกันการเข้าถึงระบบคอมพิวเตอร์ที่ผู้อื่นจัดทำขึ้นเป็นการเฉพาะ
- การดักรับข้อมูลคอมพิวเตอร์ของผู้อื่น
- การทำให้เสียหาย ทำลาย แก้ไข เปลี่ยนแปลงข้อมูลโดยมิชอบ
- การกระทำเพื่อใหการทำงานของระบบคอมพิวเตอร์ของผู้อื่นไม่สามารถทำงานได้ตามปกติ
- การส่งข้อมูลรบกวนการใช้ระบบคอมพิวเตอร์ของผู้อื่น
- การจำหน่ายชุดคำสั่งที่จัดทำขึ้นเพื่อนำไปเป็นเครื่องมือในการกระทำผิด
- การใช้ระบบคอมพิวเตอร์ทำความผิดอื่น
- การตกแต่งข้อมูลคอมพิวเตอร์ที่เป็นภาพของบุคคล

นายโกศล แป้นนะริน
56191430123

Unknown กล่าวว่า...

ไวรัสคอมพิวเตอร์
ไวรัสคอมพิวเตอร์ เป็นโปรแกรมพิเศษชนิดหนึ่งที่เขียนขึ้นมาเพื่อให้จัดการกับตัวมันเอง โดยมีลักษณะเลียบแบบสิ่งมีชีวิต คือ เจริญเติบโตเองได้ ขยายและแพร่กระจายเองได้ สามารถอยู่รอดได้ โปรแกรมนี้เข้าไปอยู่ในระบบคอมพิวเตอร์ได้ โดยผ่านทาง
- แผ่นฟลอปปีดิสก์
- เครือข่ายคอมพิวเตอร์
จากการที่ไวรัสคอมพิวเตอร์ ทำงานได้ด้วยเงื่อนไขลักษณะใดลักษณะหนึ่งหลายลักษณะ จึงทำให้ผู้ใช้ไม่รู้ว่าเครื่องคอมพิวเตอร์ของตนติดไวรัสหรือไม่ พอเปิดเครื่องใช้ก็อาจพบว่าระบบคอมพิวเตอร์ของตนถูกไวรัสทำลายเสียแล้ว ไวรัสบางตัวไม่เพียงทำลาย ลบ ล้าง ย้ายข้อมูลของเรา โดยไม่ได้รับอนุญาตเท่านั้น แต่ยังสามารถทำลายโปรแกรมอื่น ๆได้อีกด้วยโดยสังเกตได้จากการที่หน้าจอแสดงผลโดยอาการแปลก ๆ
การป้องกันไวรัสคอมพิวเตอร์
มีเทคนิคอยู่มากมายหลายวิธี ดังนี้
-ทุกครั้งที่นำซอฟแวร์ที่ไม่ทราบแหล่งที่ผลิต หรือได้รับแจกฟรี ต้องตรวจสอบให้แน่ใจก่อนนำไปใช้
-ควรตรวจสอบทั้งฮาร์ดแวร์และซอฟแวร์อย่างสม่ำเสมอ อย่างน้อยวันละ 1 ครั้ง
- เตรียมแผ่นที่สะอาดไว้สำหรับบูตเครื่องเมื่อคราวจำเป็น
- ควรสำรองข้อมูลไว้เสมอ
- พยายามสังเกตุสิ่งผิดปกติที่เกิดขึ้นกับเครื่องอย่างสม่ำเสมอ เช่น การทำงานที่ช้าลง ขนาดไฟล์ หน้าจอแสดงผลแปลก ๆ ไดรฟ์มีเสียงผิดปกติ
-ไม่นำแผ่นดิสก์ไปใช้กับเครื่องคอมพิวเตอร์อื่น ๆ ถ้ายังไม่ได้ปิดแถบป้องกันการบันทึก (Write Protect )
- ควรแยกแผ่นโปรแกรม และแผ่นข้อมูลออกจากกันโดยเด็ดขาด
-ไม่อนุญาตให้คนอื่นมาเล่นเครื่องคอมพิวเตอร์ของท่าน โดยปราศจากการควบคุมอย่างใกล้ชิด
-ควรมีโปรแกรมป้องกันไวรัสไว้ใช้ตรวจสอบและป้องกัน โดยเฉพาะโปรแกรมป้องกันไวรัสรุ่นใหม่ ๆ จะมีประสิทธิภาพในการป้องกันได้ดีขึ้นมาก ในที่นี้จะขอแนะนำโปรแกรม SCAN ของบริษัท McAfee Associates รุ่น V.2.5.1 หรือ Norton Antivirus
จรรยาบรรณในการใช้คอมพิวเตอร์
บัญญัติ10 ประการของผู้ใช้คอมพิวเตอร์
การเข้าถึงระบบคอมพิวเตอร์และข้อมูลก็จะเฉพาะสิทธิ์ที่ตนเองมีในส่วนที่เกี่ยวข้องกับงาน

1.ไม่ใช้คอมพิวเตอร์ทำร้ายผู้อื่น
2.ไม่รบกวนจนงานคอมพิวเตอร์ของผู้อื่น
3. ไม่แอบดูแฟ้มข้อมูลของผู้อื่น
4.ไม่ใช้คอมพิวเตอร์เพื่อลักขโมย
5.ไม่ใช้คอมพิวเตอร์เพื่อเป็นพยานเท็จ
6. ไม่ใช้หรือทำสำเนาซอฟต์แวร์ที่ตนไม่ได้ซื้อสิทธิ์
7.ไม่ใช้คอมพิวเตอร์ของผู้อื่นโดยไม่มีอำนาจหน้าที่
8.ไม่ฉวยเอาทรัพย์ทางปัญญาของผู้อื่นมาเป็นของตน
9.คิดถึงผลต่อเนื่องทางสังคมของโปรแกรมที่เขียน
10.ใช้คอมพิวเตอร์ในทางที่แสดงถึงความใคร่ครวญและเคารพจรรยาวิชาชีพของสมาชิกสมาคมเครื่องจักรกลคอมพิวเตอร์
พระราชบัญญัติ ว่าด้วยการกระทําความผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ พ.ศ. 2550

พ.ร.บ.ฉบับนี้ประกาศในพระราชกิจจานุเบกษา เมื่อวันที่ 18 มิ.ย 2550 และมีผลบังคับใช้ ตั้งแต่วันที่ 18 ก.ค. 2550 ป็นต้นไป

ความผิดที่เข้าข่ายตาม พ.ร.บ ฉบับนี้

- การเข้าถึงระบบคอมพิวเตอร์ของผู้อื่นโดยมิชอบ
- การเปิดเผยข้อมูลมาตรการป้องกันการเข้าถึงระบบคอมพิวเตอร์ที่ผู้อื่นจัดทำขึ้นเป็นการเฉพาะ
- การดักรับข้อมูลคอมพิวเตอร์ของผู้อื่น
- การทำให้เสียหาย ทำลาย แก้ไข เปลี่ยนแปลงข้อมูลโดยมิชอบ
- การกระทำเพื่อใหการทำงานของระบบคอมพิวเตอร์ของผู้อื่นไม่สามารถทำงานได้ตามปกติ
- การส่งข้อมูลรบกวนการใช้ระบบคอมพิวเตอร์ของผู้อื่น
- การจำหน่ายชุดคำสั่งที่จัดทำขึ้นเพื่อนำไปเป็นเครื่องมือในการกระทำผิด
- การใช้ระบบคอมพิวเตอร์ทำความผิดอื่น
- การตกแต่งข้อมูลคอมพิวเตอร์ที่เป็นภาพของบุคคล

นายโกศล แป้นนะริน
56191430123

Unknown กล่าวว่า...

ไวรัสคอมพิวเตอร์ คือ ชื่อเรียกสำหรับโปรแกรมประเภทหนึ่งที่มีพฤติกรรมคล้ายๆ กับไวรัสที่เป็นเชื้อโรค ที่สามารถแพร่เชื้อได้และมักทำอันตรายต่อสิ่งมีชีวิตที่มันอาศัยอยู่ แต่ต่างกันตรงที่ว่าคอมพิวเตอร์ไวรัสเป็นแค่เพียงโปรแกรมเท่านั้น ไม่ใช่สิ่งมีชีวิต

การป้องกันไวรัส
1.สำรองไฟล์ข้อมูลที่สำคัญ
2.สำหรับเครื่องที่มีฮาร์ดดิสก์ อย่าเรียกดอสจากฟลอปปีดิสก์
3.ป้องกันการเขียนให้กับฟลอปปีดิสก์
4.อย่าเรียกโปรแกรมที่ติดมากับดิสก์อื่น
5.เสาะหาโปรแกรมตรวจหาไวรัสที่ใหม่และมากกว่าหนึ่งโปรแกรมจากคนละบริษัท
6.เรียกใช้โปรแกรมตรวจหาไวรัสเป็นช่วงๆ
7. เรียกใช้โปรแกรมตรวจจับไวรัสแบบเฝ้าดูทุกครั้ง
8. เลือกคัดลอกซอฟแวร์เฉพาะที่ถูกตรวจสอบแล้วในบีบีเอส
9. สำรองข้อมูลที่สำคัญของฮาร์ดิสก์ไปเก็บในฟลอปปีดิสก์
10. เตรียมฟลอปปีดิสก์ที่ไว้สำหรับให้เรียกดอสก์ขึ้นมาทำงานได้
11. เมื่อเครื่องติดไวรัส ให้พยายามหาที่มาของไวรัสนั้น

จริยธรรมในการใช้ ICT
1.ไม่ใช้คอมพิวเตอร์ทำร้ายผู้อื่น
2.ไม่รบกวนจนงานคอมพิวเตอร์ของผู้อื่น
3. ไม่แอบดูแฟ้มข้อมูลของผู้อื่น
4. ไม่ใช้คอมพิวเตอร์เพื่อลักขโมย
5.ไม่ใช้คอมพิวเตอร์เพื่อเป็นพยานเท็จ
6.ไม่ใช้หรือทำสำเนาซอฟต์แวร์ที่ตนไม่ได้ซื้อสิทธิ์
7.ไม่ใช้คอมพิวเตอร์ของผู้อื่นโดยไม่มีอำนาจหน้าที่
8. ไม่ฉวยเอาทรัพย์ทางปัญญาของผู้อื่นมาเป็นของตน
9. คิดถึงผลต่อเนื่องทางสังคมของโปรแกรมที่เขียน
10. ใช้คอมพิวเตอร์ในทางที่แสดงถึงความใคร่ครวญและเคารพจรรยาวิชาชีพของสมาชิกสมาคมเครื่องจักรกลคอมพิวเตอร์

พรบ.ว่าด้วยการกระทำความผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์
(มาตรา 5 ) แฮกเกอร์ที่เจาะเข้าระบบคอมพิวเตอร์ที่มีมาตรการป้องกันการเข้าถึง จำคุกไม่เกินหกเดือนหรือปรับไม่เกินหนึ่งหมื่นบาทหรือทั้งจำทั้งปรับ
(มาตรา 7) แฮกเกอร์ที่เจาะเข้าระบบและได้เข้าไปดูข้อมูลของผู้อื่นจำคุกไม่เกินสองปีหรือปรับไม่เกินสี่หมื่นบาทหรือทั้งจำทั้งปรับ
(มาตรา 8) ผู้ที่ชอบดักรับข้อมูลของผู้อื่นระหว่างการส่งข้อมูลในระบบคอมพิวเตอร์ จำคุกไม่เกินสามปีหรือปรับไม่เกินหกหมื่นบาทหรือทั้งจำทั้งปรับ
(มาตรา 9,10 และ 12) ผู้ที่ทำการปลอมแปลง ทำลาย แก้ไขข้อมูลคอมพิวเตอร์ของผู้อื่น หรือทำการใดๆ ที่ไประงับ ชะลอ ขัดขวาง หรือรบกวนการทำงานระบบคอมพิวเตอร์ของผู้อื่น จำคุกสูงสุดยี่สิบปี
(มาตรา 11 ) ผู้ที่ส่งอีเมล์ปกปิดหรือปลอมแปลงแหล่งที่มา เช่น สแปมเมล์ (spam mail ) ทำให้รบกวนการใช้งานระบบคอมพิวเตอร์ของผู้อื่น ปรับไม่เกินหนึ่งแสนบาท
(มาตรา 14) ผู้ที่นำเข้าข้อมูลที่ไม่เหมาะสมเข้าไปในระบบคอมพิวเตอร์ซึ่งคนอื่นสามารถเข้าไปดูข้อมูลนั้นได้ เช่นข้อมูลอันเป็นเท็จที่ส่งผลกระทบต่อความมั่นคงของประเทศ ก่อให้เกิดความตื่นตระหนกแก่ประชาชน หรือทำให้ผู้อื่นเสียหาย ข้อมูลความผิดเกี่ยวกับการก่อการร้าย ข้อมูลลามกอนาจาร หรือผู้ที่เผยแพร่หรือส่งต่อข้อมูลเหล่านี้ ไม่ว่าจะเป็นทางเครื่องคอมพิวเตอร์ พีดีเอ โทรศัพท์มือถือ หรือระบบคอมพิวเตอร์อื่นๆ จำคุกไม่เกินห้าปีหรือปรับไม่เกินหนึ่งแสนบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ
(มาตรา 16) ผู้ที่นำเข้าภาพตัดต่อ ภาพดัดแปลงด้วยวิธีการใดๆ ของบุคคลอื่นเข้าไปในระบบคอมพิวเตอร์โดยมีเจตนาให้ผู้นั้นเสียชื่อเสียง ถูกดูหมิ่น ถูกเกลียดชัง หรือได้รับความอับอาย จำคุกไม่เกินสามปี หรือปรับไม่เกินหกหมื่นบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ
(มาตรา 26) ผู้ให้บริการ เช่น อินเตอร์เน็ตคาเฟ่ ผู้ให้บริการสัญญาณอินเตอร์เน็ต กลุ่มผู้ประกอบการอีคอมเมิร์ช รวมถึงมหาวิทยาลัย ต้องเก็บข้อมูลการเข้าใช้งานระบบคอมพิวเตอร์ของผู้ใช้บริการไม่น้อยกว่าเก้าสิบวัน เพื่อใช้ติดตามผู้กระทำความผิดมาลงโทษ หากผู้ให้บริการไม่ปฏิบัติตามนี้ ปรับสูงสุดถึงห้าแสนบาท

นางสาวสุธิดา บุญฤทธิ์
วิทยาการคอมพิวเตอร์ 56122420115

Unknown กล่าวว่า...

ไวรัสคอมพิวเตอร์ คือ ชื่อเรียกสำหรับโปรแกรมประเภทหนึ่งที่มีพฤติกรรมคล้ายๆ กับไวรัสที่เป็นเชื้อโรค ที่สามารถแพร่เชื้อได้และมักทำอันตรายต่อสิ่งมีชีวิตที่มันอาศัยอยู่ แต่ต่างกันตรงที่ว่าคอมพิวเตอร์ไวรัสเป็นแค่เพียงโปรแกรมเท่านั้น ไม่ใช่สิ่งมีชีวิต

การป้องกันไวรัส
1.สำรองไฟล์ข้อมูลที่สำคัญ
2.สำหรับเครื่องที่มีฮาร์ดดิสก์ อย่าเรียกดอสจากฟลอปปีดิสก์
3.ป้องกันการเขียนให้กับฟลอปปีดิสก์
4.อย่าเรียกโปรแกรมที่ติดมากับดิสก์อื่น
5.เสาะหาโปรแกรมตรวจหาไวรัสที่ใหม่และมากกว่าหนึ่งโปรแกรมจากคนละบริษัท
6.เรียกใช้โปรแกรมตรวจหาไวรัสเป็นช่วงๆ
7. เรียกใช้โปรแกรมตรวจจับไวรัสแบบเฝ้าดูทุกครั้ง
8. เลือกคัดลอกซอฟแวร์เฉพาะที่ถูกตรวจสอบแล้วในบีบีเอส
9. สำรองข้อมูลที่สำคัญของฮาร์ดิสก์ไปเก็บในฟลอปปีดิสก์
10. เตรียมฟลอปปีดิสก์ที่ไว้สำหรับให้เรียกดอสก์ขึ้นมาทำงานได้
11. เมื่อเครื่องติดไวรัส ให้พยายามหาที่มาของไวรัสนั้น

จริยธรรมในการใช้ ICT
1.ไม่ใช้คอมพิวเตอร์ทำร้ายผู้อื่น
2.ไม่รบกวนจนงานคอมพิวเตอร์ของผู้อื่น
3. ไม่แอบดูแฟ้มข้อมูลของผู้อื่น
4. ไม่ใช้คอมพิวเตอร์เพื่อลักขโมย
5.ไม่ใช้คอมพิวเตอร์เพื่อเป็นพยานเท็จ
6.ไม่ใช้หรือทำสำเนาซอฟต์แวร์ที่ตนไม่ได้ซื้อสิทธิ์
7.ไม่ใช้คอมพิวเตอร์ของผู้อื่นโดยไม่มีอำนาจหน้าที่
8. ไม่ฉวยเอาทรัพย์ทางปัญญาของผู้อื่นมาเป็นของตน
9. คิดถึงผลต่อเนื่องทางสังคมของโปรแกรมที่เขียน
10. ใช้คอมพิวเตอร์ในทางที่แสดงถึงความใคร่ครวญและเคารพจรรยาวิชาชีพของสมาชิกสมาคมเครื่องจักรกลคอมพิวเตอร์

พรบ.ว่าด้วยการกระทำความผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์
(มาตรา 5 ) แฮกเกอร์ที่เจาะเข้าระบบคอมพิวเตอร์ที่มีมาตรการป้องกันการเข้าถึง จำคุกไม่เกินหกเดือนหรือปรับไม่เกินหนึ่งหมื่นบาทหรือทั้งจำทั้งปรับ
(มาตรา 7) แฮกเกอร์ที่เจาะเข้าระบบและได้เข้าไปดูข้อมูลของผู้อื่นจำคุกไม่เกินสองปีหรือปรับไม่เกินสี่หมื่นบาทหรือทั้งจำทั้งปรับ
(มาตรา 8) ผู้ที่ชอบดักรับข้อมูลของผู้อื่นระหว่างการส่งข้อมูลในระบบคอมพิวเตอร์ จำคุกไม่เกินสามปีหรือปรับไม่เกินหกหมื่นบาทหรือทั้งจำทั้งปรับ
(มาตรา 9,10 และ 12) ผู้ที่ทำการปลอมแปลง ทำลาย แก้ไขข้อมูลคอมพิวเตอร์ของผู้อื่น หรือทำการใดๆ ที่ไประงับ ชะลอ ขัดขวาง หรือรบกวนการทำงานระบบคอมพิวเตอร์ของผู้อื่น จำคุกสูงสุดยี่สิบปี
(มาตรา 11 ) ผู้ที่ส่งอีเมล์ปกปิดหรือปลอมแปลงแหล่งที่มา เช่น สแปมเมล์ (spam mail ) ทำให้รบกวนการใช้งานระบบคอมพิวเตอร์ของผู้อื่น ปรับไม่เกินหนึ่งแสนบาท
(มาตรา 14) ผู้ที่นำเข้าข้อมูลที่ไม่เหมาะสมเข้าไปในระบบคอมพิวเตอร์ซึ่งคนอื่นสามารถเข้าไปดูข้อมูลนั้นได้ เช่นข้อมูลอันเป็นเท็จที่ส่งผลกระทบต่อความมั่นคงของประเทศ ก่อให้เกิดความตื่นตระหนกแก่ประชาชน หรือทำให้ผู้อื่นเสียหาย ข้อมูลความผิดเกี่ยวกับการก่อการร้าย ข้อมูลลามกอนาจาร หรือผู้ที่เผยแพร่หรือส่งต่อข้อมูลเหล่านี้ ไม่ว่าจะเป็นทางเครื่องคอมพิวเตอร์ พีดีเอ โทรศัพท์มือถือ หรือระบบคอมพิวเตอร์อื่นๆ จำคุกไม่เกินห้าปีหรือปรับไม่เกินหนึ่งแสนบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ
(มาตรา 16) ผู้ที่นำเข้าภาพตัดต่อ ภาพดัดแปลงด้วยวิธีการใดๆ ของบุคคลอื่นเข้าไปในระบบคอมพิวเตอร์โดยมีเจตนาให้ผู้นั้นเสียชื่อเสียง ถูกดูหมิ่น ถูกเกลียดชัง หรือได้รับความอับอาย จำคุกไม่เกินสามปี หรือปรับไม่เกินหกหมื่นบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ
(มาตรา 26) ผู้ให้บริการ เช่น อินเตอร์เน็ตคาเฟ่ ผู้ให้บริการสัญญาณอินเตอร์เน็ต กลุ่มผู้ประกอบการอีคอมเมิร์ช รวมถึงมหาวิทยาลัย ต้องเก็บข้อมูลการเข้าใช้งานระบบคอมพิวเตอร์ของผู้ใช้บริการไม่น้อยกว่าเก้าสิบวัน เพื่อใช้ติดตามผู้กระทำความผิดมาลงโทษ หากผู้ให้บริการไม่ปฏิบัติตามนี้ ปรับสูงสุดถึงห้าแสนบาท

Unknown กล่าวว่า...

ไวรัสคอมพิวเตอร์เป็นชื่อเรียกสำหรับโปรแกรมประเภทหนึ่งที่มีพฤติกรรมคล้ายๆ กับไวรัสที่เป็นเชื้อโรค ที่สามารถแพร่เชื้อได้และมักทำอันตรายต่อสิ่งมีชีวิตที่มันอาศัยอยู่ แต่ต่างกันตรงที่ว่าคอมพิวเตอร์ไวรัสเป็นแค่เพียงโปรแกรมเท่านั้น ไม่ใช่สิ่งมีชีวิต

การป้องกันไวรัส
1.สำรองไฟล์ข้อมูลที่สำคัญ
2.สำหรับเครื่องที่มีฮาร์ดดิสก์ อย่าเรียกดอสจากฟลอปปีดิสก์
3.ป้องกันการเขียนให้กับฟลอปปีดิสก์
4.อย่าเรียกโปรแกรมที่ติดมากับดิสก์อื่น
5.เสาะหาโปรแกรมตรวจหาไวรัสที่ใหม่และมากกว่าหนึ่งโปรแกรมจากคนละบริษัท
6.เรียกใช้โปรแกรมตรวจหาไวรัสเป็นช่วงๆ
7. เรียกใช้โปรแกรมตรวจจับไวรัสแบบเฝ้าดูทุกครั้ง
8. เลือกคัดลอกซอฟแวร์เฉพาะที่ถูกตรวจสอบแล้วในบีบีเอส
9. สำรองข้อมูลที่สำคัญของฮาร์ดิสก์ไปเก็บในฟลอปปีดิสก์
10. เตรียมฟลอปปีดิสก์ที่ไว้สำหรับให้เรียกดอสก์ขึ้นมาทำงานได้
11. เมื่อเครื่องติดไวรัส ให้พยายามหาที่มาของไวรัสนั้น

จริยธรรมในการใช้ ICT
ต้องให้ความร่วมมือจากทุกๆฝ่าย ไม่ว่าจะจากทางภาครัฐ ภาคเอกชน ตัวบุคคลที่ใช้เทคโนโลยีสื่อสารและ ผู้ปกครองจะต้องดูแลบุตรหลานตัวเองในการใช้เทคโนโลยีการสื่อสารที่อยู่ในยุคไร้พรมแดนนี้ การสร้างจิตสำนึกต่อตนเองให้กับเด็กเยาวชนตั้งแต่ยังเล็กๆ และให้เด็กรู้ถึงโทษ ถึงปัญหา ให้เด็กรู้จักเลือกใช้โปรแกรมในทางที่ก่อให้เกิดประโยชน์แก่ตนเอง ก็น่าจะเป็นทางป้องกันที่ดีต่อปัญหาเหล่านี้ได้ ทั้งนี้เพราะโปรแกรมประเภทนี้ ไม่ว่าจะเป็น Camfrog , MSN , ICQ , Yahoo ล้วนแต่เป็นโปรแกรมการสื่อสาร ที่มีทั้งคุณและโทษในการใช้ ข้อดีของโปรแกรมเหล่านี้ก็คือจะช่วยสร้างให้เกิดความรวดเร็วในการสื่อสารมากขึ้น สามารถสื่อสารได้ทั้งทางสายตา เสียงพูด และมองเห็นหน้ากันได้ ส่วนข้อเสียส่วนใหญ่แล้วมักจะเกิดจากการใช้งานไปในทางที่ไม่ถูกไม่ควร ซึ่งตรงนี้ก็อยู่ที่ตัวของบุคคลแต่ละบุคคลในการที่จะเลือกทำเลือกใช้และเลือกที่จะนำสิ่งนั้นมาก่อให้เกิดประโยชน์ต่อตนเองค่ะ

พรบ.ว่าด้วยการกระทำความผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์
(มาตรา 5 ) แฮกเกอร์ที่เจาะเข้าระบบคอมพิวเตอร์ที่มีมาตรการป้องกันการเข้าถึง จำคุกไม่เกินหกเดือนหรือปรับไม่เกินหนึ่งหมื่นบาทหรือทั้งจำทั้งปรับ
(มาตรา 7) แฮกเกอร์ที่เจาะเข้าระบบและได้เข้าไปดูข้อมูลของผู้อื่นจำคุกไม่เกินสองปีหรือปรับไม่เกินสี่หมื่นบาทหรือทั้งจำทั้งปรับ
(มาตรา 8) ผู้ที่ชอบดักรับข้อมูลของผู้อื่นระหว่างการส่งข้อมูลในระบบคอมพิวเตอร์ จำคุกไม่เกินสามปีหรือปรับไม่เกินหกหมื่นบาทหรือทั้งจำทั้งปรับ
(มาตรา 9,10 และ 12) ผู้ที่ทำการปลอมแปลง ทำลาย แก้ไขข้อมูลคอมพิวเตอร์ของผู้อื่น หรือทำการใดๆ ที่ไประงับ ชะลอ ขัดขวาง หรือรบกวนการทำงานระบบคอมพิวเตอร์ของผู้อื่น จำคุกสูงสุดยี่สิบปี
(มาตรา 11 ) ผู้ที่ส่งอีเมล์ปกปิดหรือปลอมแปลงแหล่งที่มา เช่น สแปมเมล์ (spam mail ) ทำให้รบกวนการใช้งานระบบคอมพิวเตอร์ของผู้อื่น ปรับไม่เกินหนึ่งแสนบาท
(มาตรา 14) ผู้ที่นำเข้าข้อมูลที่ไม่เหมาะสมเข้าไปในระบบคอมพิวเตอร์ซึ่งคนอื่นสามารถเข้าไปดูข้อมูลนั้นได้ เช่นข้อมูลอันเป็นเท็จที่ส่งผลกระทบต่อความมั่นคงของประเทศ ก่อให้เกิดความตื่นตระหนกแก่ประชาชน หรือทำให้ผู้อื่นเสียหาย ข้อมูลความผิดเกี่ยวกับการก่อการร้าย ข้อมูลลามกอนาจาร หรือผู้ที่เผยแพร่หรือส่งต่อข้อมูลเหล่านี้ ไม่ว่าจะเป็นทางเครื่องคอมพิวเตอร์ พีดีเอ โทรศัพท์มือถือ หรือระบบคอมพิวเตอร์อื่นๆ จำคุกไม่เกินห้าปีหรือปรับไม่เกินหนึ่งแสนบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ
(มาตรา 16) ผู้ที่นำเข้าภาพตัดต่อ ภาพดัดแปลงด้วยวิธีการใดๆ ของบุคคลอื่นเข้าไปในระบบคอมพิวเตอร์โดยมีเจตนาให้ผู้นั้นเสียชื่อเสียง ถูกดูหมิ่น ถูกเกลียดชัง หรือได้รับความอับอาย จำคุกไม่เกินสามปี หรือปรับไม่เกินหกหมื่นบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ
(มาตรา 26) ผู้ให้บริการ เช่น อินเตอร์เน็ตคาเฟ่ ผู้ให้บริการสัญญาณอินเตอร์เน็ต กลุ่มผู้ประกอบการอีคอมเมิร์ช รวมถึงมหาวิทยาลัย ต้องเก็บข้อมูลการเข้าใช้งานระบบคอมพิวเตอร์ของผู้ใช้บริการไม่น้อยกว่าเก้าสิบวัน เพื่อใช้ติดตามผู้กระทำความผิดมาลงโทษ หากผู้ให้บริการไม่ปฏิบัติตามนี้ ปรับสูงสุดถึงห้าแสนบาท
นางสาวเมธาวดี สิมมา ค.บ.ฟิสิกส์ รหัส56191430116

Unknown กล่าวว่า...

ไวรัสคอมพิวเตอร์ คือ ชื่อเรียกสำหรับโปรแกรมประเภทหนึ่งที่มีพฤติกรรมคล้ายๆ กับไวรัสที่เป็นเชื้อโรค ที่สามารถแพร่เชื้อได้และมักทำอันตรายต่อสิ่งมีชีวิตที่มันอาศัยอยู่ แต่ต่างกันตรงที่ว่าคอมพิวเตอร์ไวรัสเป็นแค่เพียงโปรแกรมเท่านั้น ไม่ใช่สิ่งมีชีวิต

การป้องกันไวรัส
1.สำรองไฟล์ข้อมูลที่สำคัญ
2.สำหรับเครื่องที่มีฮาร์ดดิสก์ อย่าเรียกดอสจากฟลอปปีดิสก์
3.ป้องกันการเขียนให้กับฟลอปปีดิสก์
4.อย่าเรียกโปรแกรมที่ติดมากับดิสก์อื่น
5.เสาะหาโปรแกรมตรวจหาไวรัสที่ใหม่และมากกว่าหนึ่งโปรแกรมจากคนละบริษัท
6.เรียกใช้โปรแกรมตรวจหาไวรัสเป็นช่วงๆ
7. เรียกใช้โปรแกรมตรวจจับไวรัสแบบเฝ้าดูทุกครั้ง
8. เลือกคัดลอกซอฟแวร์เฉพาะที่ถูกตรวจสอบแล้วในบีบีเอส
9. สำรองข้อมูลที่สำคัญของฮาร์ดิสก์ไปเก็บในฟลอปปีดิสก์
10. เตรียมฟลอปปีดิสก์ที่ไว้สำหรับให้เรียกดอสก์ขึ้นมาทำงานได้
11. เมื่อเครื่องติดไวรัส ให้พยายามหาที่มาของไวรัสนั้น

จริยธรรมในการใช้ ICT
1.ไม่ใช้คอมพิวเตอร์ทำร้ายผู้อื่น
2.ไม่รบกวนจนงานคอมพิวเตอร์ของผู้อื่น
3. ไม่แอบดูแฟ้มข้อมูลของผู้อื่น
4. ไม่ใช้คอมพิวเตอร์เพื่อลักขโมย
5.ไม่ใช้คอมพิวเตอร์เพื่อเป็นพยานเท็จ
6.ไม่ใช้หรือทำสำเนาซอฟต์แวร์ที่ตนไม่ได้ซื้อสิทธิ์
7.ไม่ใช้คอมพิวเตอร์ของผู้อื่นโดยไม่มีอำนาจหน้าที่
8. ไม่ฉวยเอาทรัพย์ทางปัญญาของผู้อื่นมาเป็นของตน
9. คิดถึงผลต่อเนื่องทางสังคมของโปรแกรมที่เขียน
10. ใช้คอมพิวเตอร์ในทางที่แสดงถึงความใคร่ครวญและเคารพจรรยาวิชาชีพของสมาชิกสมาคมเครื่องจักรกลคอมพิวเตอร์

พรบ.ว่าด้วยการกระทำความผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์
(มาตรา 5 ) แฮกเกอร์ที่เจาะเข้าระบบคอมพิวเตอร์ที่มีมาตรการป้องกันการเข้าถึง จำคุกไม่เกินหกเดือนหรือปรับไม่เกินหนึ่งหมื่นบาทหรือทั้งจำทั้งปรับ
(มาตรา 7) แฮกเกอร์ที่เจาะเข้าระบบและได้เข้าไปดูข้อมูลของผู้อื่นจำคุกไม่เกินสองปีหรือปรับไม่เกินสี่หมื่นบาทหรือทั้งจำทั้งปรับ
(มาตรา 8) ผู้ที่ชอบดักรับข้อมูลของผู้อื่นระหว่างการส่งข้อมูลในระบบคอมพิวเตอร์ จำคุกไม่เกินสามปีหรือปรับไม่เกินหกหมื่นบาทหรือทั้งจำทั้งปรับ
(มาตรา 9,10 และ 12) ผู้ที่ทำการปลอมแปลง ทำลาย แก้ไขข้อมูลคอมพิวเตอร์ของผู้อื่น หรือทำการใดๆ ที่ไประงับ ชะลอ ขัดขวาง หรือรบกวนการทำงานระบบคอมพิวเตอร์ของผู้อื่น จำคุกสูงสุดยี่สิบปี
(มาตรา 11 ) ผู้ที่ส่งอีเมล์ปกปิดหรือปลอมแปลงแหล่งที่มา เช่น สแปมเมล์ (spam mail ) ทำให้รบกวนการใช้งานระบบคอมพิวเตอร์ของผู้อื่น ปรับไม่เกินหนึ่งแสนบาท
(มาตรา 14) ผู้ที่นำเข้าข้อมูลที่ไม่เหมาะสมเข้าไปในระบบคอมพิวเตอร์ซึ่งคนอื่นสามารถเข้าไปดูข้อมูลนั้นได้ เช่นข้อมูลอันเป็นเท็จที่ส่งผลกระทบต่อความมั่นคงของประเทศ ก่อให้เกิดความตื่นตระหนกแก่ประชาชน หรือทำให้ผู้อื่นเสียหาย ข้อมูลความผิดเกี่ยวกับการก่อการร้าย ข้อมูลลามกอนาจาร หรือผู้ที่เผยแพร่หรือส่งต่อข้อมูลเหล่านี้ ไม่ว่าจะเป็นทางเครื่องคอมพิวเตอร์ พีดีเอ โทรศัพท์มือถือ หรือระบบคอมพิวเตอร์อื่นๆ จำคุกไม่เกินห้าปีหรือปรับไม่เกินหนึ่งแสนบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ
(มาตรา 16) ผู้ที่นำเข้าภาพตัดต่อ ภาพดัดแปลงด้วยวิธีการใดๆ ของบุคคลอื่นเข้าไปในระบบคอมพิวเตอร์โดยมีเจตนาให้ผู้นั้นเสียชื่อเสียง ถูกดูหมิ่น ถูกเกลียดชัง หรือได้รับความอับอาย จำคุกไม่เกินสามปี หรือปรับไม่เกินหกหมื่นบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ
(มาตรา 26) ผู้ให้บริการ เช่น อินเตอร์เน็ตคาเฟ่ ผู้ให้บริการสัญญาณอินเตอร์เน็ต กลุ่มผู้ประกอบการอีคอมเมิร์ช รวมถึงมหาวิทยาลัย ต้องเก็บข้อมูลการเข้าใช้งานระบบคอมพิวเตอร์ของผู้ใช้บริการไม่น้อยกว่าเก้าสิบวัน เพื่อใช้ติดตามผู้กระทำความผิดมาลงโทษ หากผู้ให้บริการไม่ปฏิบัติตามนี้ ปรับสูงสุดถึงห้าแสนบาท
นางสาวกมลมาศ บุญเพ็ง 56191860144สาขาการศึกษาปฐมวัย

Unknown กล่าวว่า...

ไวรัสคอมพิวเตอร์
ที่บุกรุกเข้าไปในเครื่องคอมพิวเตอร์โดยไม่ได้รับความยินยอมจากผู้ใช้ ส่วนมากมักจะมีประสงค์ร้ายและสร้างความเสียหายให้กับระบบของเครื่องคอมพิวเตอร์นั้นๆในเชิงเทคโนโลยีความมั่นคงของระบบคอมพิวเตอร์นั้น ไวรัสเป็นโปรแกรมคอมพิวเตอร์ที่สามารถทำสำเนาของตัวเอง เพื่อแพร่ออกไปโดยการสอดแทรกตัวสำเนาไปในรหัสคอมพิวเตอร์ส่วนของข้อมูลเอกสารหรือส่วนที่สามารถปฏิบัติการได้ ดังนั้นไวรัสคอมพิวเตอร์จึงมีพฤติกรรมในลักษณะเดียวกับไวรัสในทางชีววิทยา ซึ่งสามารถแพร่กระจายไปในเซลล์ของสิ่งมีชีวิตในลักษณะเดียวกันนี้ คำอื่นๆ ที่ใช้กับไวรัสในทางชีววิทยายังขยายขอบข่ายของความหมายครอบคลุมถึงไวรัสในทางคอมพิวเตอร์ เช่น การติดไวรัส (infection) แฟ้มข้อมูลที่ติดไวรัสนี้จะเรียกว่า โฮสต์ (host) ไวรัสนั้นเป็นประเภทหนึ่งของโปรแกรมประเภทมัลแวร์ (malware) หรือโปรแกรมที่มีประสงค์ร้าย ในความหมายที่ใช้กันทั่วไปนั้น ไวรัสยังใช้หมายรวมถึง เวิร์ม (worm) ซึ่งก็เป็นโปรแกรมอีกรูปแบบหนึ่งของมัลแวร์ ซึ่งบางครั้งก็ทำให้ผู้ใช้คอมพิวเตอร์นั้นสับสนเมื่อคำไวรัสนั้นใช้ในความหมายที่เฉพาะเจาะจง คอมพิวเตอร์ไวรัสนั้นโดยทั่วไปจะไม่ส่งผลก่อให้เกิดความเสียหายต่อฮาร์ดแวร์โดยตรง แต่จะทำความเสียหายต่อซอฟต์แวร์
โปรแกรมป้องกันไวรัส
โปรแกรมป้องกันไวรัส หรือ แอนติไวรัส (อังกฤษ: antivirus software) เป็นโปรแกรมที่สร้างขึ้นเพื่อคอยตรวจจับ ป้องกัน และกำจัดโปรแกรมคุกคามทางคอมพิวเตอ ร์หรือมัลแวร์ ซึ่งหมายถึง ไวรัส เวิร์ม โทรจันสปายแวร์ แอดแวร์ และซอฟต์แวร์คุกคามประเภทอื่นๆ
โปรแกรมป้องกันไวรัสมี 2 แบบหลักๆ คือ
1. แอนติไวรัส (Anti-Virus) เป็นโปรแกรมโปรแกรมป้องกันไวรัสทั่วๆไป จะค้นหาและทำลายไวรัสในคอมพิวเตอร์ของเรา
2. แอนติสปายแวร์ (Anti-Spyware) เป็นโปรแกรมป้องกันการโจรกรรมข้อมูล จากไวรัสสปายแวร์ และจากแฮ็กเกอร์ รวมถึงการกำจัด Adsware ซึ่งเป็นป๊อปอัพโฆษณาอีกด้วย
โปรแกรมป้องกันไวรัสจะค้นหาและทำลายไวรัสที่ไฟล์โดยตรง แต่ในทุกๆวันจะมีไวรัสชนิดใหม่เกิดขึ้นมาเสมอ ทำให้เราต้องอัปเดตโปรแกรมป้องกันไวรัสตลอดเวลาเพื่อให้คอมพิวเตอร์ของเราปลอดภัย โดยแอนติไวรัสจะมีหลายรูปแบบตามบริษัทกันไปและแต่ละบริษัทจะมีการอัปเดตและการป้องกันไม่เหมือนกัน แต่ในคอมพิวเตอร์เครื่องเดียวไม่ควรมีแอนติไวรัส 2 โปรแกรมเพราะจะทำให้โปรแกรมขัดแย้งกันเองจนไม่สามารถใช้งานได้
จรรยาบรรณในการใช้คอมพิวเตอร์
จริยธรรม (Ethics) เป็นเรื่องของการกำหนดความถูกต้องดีงามสิ่งที่ไม่ควรทำมีหลักปฏิบัติในระดับที่สูงกว่ามารยาทในสังคมเช่นคนที่ไม่ยอมเข้าแถวเพื่อขอรับบริการตามสิทธิ์ก่อนหลังอาจถือว่าไม่มีมารยาทหรือพนักงานคอมพิวเตอร์คนหนึ่งเอาข้อมูลทางการเงินของลูกค้าที่เขาจะต้องเห็นตามหน้าที่การงานไปหาผลประโยชน์แก่ตนเองเช่นขายรายชื่อนั้นให้ธุรกิจอื่นหรือบอกให้แก่คู่สมรสซึ่งเป็นพนักงานขายตรงไปเสนอขายสินค้าการกระทำเช่นนี้ถือว่าไม่ถูกต้องไม่มีจริยธรรมจริงอยู่แม้ว่าบริษัทที่พนักงานผู้นั้นทำงานอยู่จะไม่เสียหายแต่การนำเอาของบริษัทไปใช้เพื่อประโยชน์ส่วนตัวก็เป็นสิ่งที่ไม่อาจทำได้อย่างเปิดเผยหรือพนักงานขายสินค้าของทางบริการหนึ่งซึ่งลาออกจากบริษัทเพื่อไปทำงานกับบริษัทคู่แข่งแล้วใช้ประโยชน์จากความรู้ ในเรื่องข้อมูลราคาหรือความลับทางการค้าของบริษัทแรกไปให้บริษัทหลังก็อาจเรียกได้ว่าพนักงานคนนั้นไม่มีจริยธรรมเมื่อสังคมสลับซับซ้อนขึ้นมีการแบ่งหน้าที่กันออกเป็นหน้าที่ต่างๆจึงมีข้อกำหนดที่เรียกว่า“จรรยาวิชาชีพ
นางสาวเมธาวดี สิมมา ค.บ.ฟิสิกส์ รหัส56191430116

Unknown กล่าวว่า...

ไวรัสคอมพิวเตอร์ คือ ชื่อเรียกสำหรับโปรแกรมประเภทหนึ่งที่มีพฤติกรรมคล้ายๆ กับไวรัสที่เป็นเชื้อโรค ที่สามารถแพร่เชื้อได้และมักทำอันตรายต่อสิ่งมีชีวิตที่มันอาศัยอยู่ แต่ต่างกันตรงที่ว่าคอมพิวเตอร์ไวรัสเป็นแค่เพียงโปรแกรมเท่านั้น ไม่ใช่สิ่งมีชีวิต

การป้องกันไวรัส
1.สำรองไฟล์ข้อมูลที่สำคัญ
2.สำหรับเครื่องที่มีฮาร์ดดิสก์ อย่าเรียกดอสจากฟลอปปีดิสก์
3.ป้องกันการเขียนให้กับฟลอปปีดิสก์
4.อย่าเรียกโปรแกรมที่ติดมากับดิสก์อื่น
5.เสาะหาโปรแกรมตรวจหาไวรัสที่ใหม่และมากกว่าหนึ่งโปรแกรมจากคนละบริษัท
6.เรียกใช้โปรแกรมตรวจหาไวรัสเป็นช่วงๆ
7. เรียกใช้โปรแกรมตรวจจับไวรัสแบบเฝ้าดูทุกครั้ง
8. เลือกคัดลอกซอฟแวร์เฉพาะที่ถูกตรวจสอบแล้วในบีบีเอส
9. สำรองข้อมูลที่สำคัญของฮาร์ดิสก์ไปเก็บในฟลอปปีดิสก์
10. เตรียมฟลอปปีดิสก์ที่ไว้สำหรับให้เรียกดอสก์ขึ้นมาทำงานได้
11. เมื่อเครื่องติดไวรัส ให้พยายามหาที่มาของไวรัสนั้น

จริยธรรมในการใช้ ICT
1.ไม่ใช้คอมพิวเตอร์ทำร้ายผู้อื่น
2.ไม่รบกวนจนงานคอมพิวเตอร์ของผู้อื่น
3. ไม่แอบดูแฟ้มข้อมูลของผู้อื่น
4. ไม่ใช้คอมพิวเตอร์เพื่อลักขโมย
5.ไม่ใช้คอมพิวเตอร์เพื่อเป็นพยานเท็จ
6.ไม่ใช้หรือทำสำเนาซอฟต์แวร์ที่ตนไม่ได้ซื้อสิทธิ์
7.ไม่ใช้คอมพิวเตอร์ของผู้อื่นโดยไม่มีอำนาจหน้าที่
8. ไม่ฉวยเอาทรัพย์ทางปัญญาของผู้อื่นมาเป็นของตน
9. คิดถึงผลต่อเนื่องทางสังคมของโปรแกรมที่เขียน
10. ใช้คอมพิวเตอร์ในทางที่แสดงถึงความใคร่ครวญและเคารพจรรยาวิชาชีพของสมาชิกสมาคมเครื่องจักรกลคอมพิวเตอร์

พรบ.ว่าด้วยการกระทำความผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์
(มาตรา 5 ) แฮกเกอร์ที่เจาะเข้าระบบคอมพิวเตอร์ที่มีมาตรการป้องกันการเข้าถึง จำคุกไม่เกินหกเดือนหรือปรับไม่เกินหนึ่งหมื่นบาทหรือทั้งจำทั้งปรับ
(มาตรา 7) แฮกเกอร์ที่เจาะเข้าระบบและได้เข้าไปดูข้อมูลของผู้อื่นจำคุกไม่เกินสองปีหรือปรับไม่เกินสี่หมื่นบาทหรือทั้งจำทั้งปรับ
(มาตรา 8) ผู้ที่ชอบดักรับข้อมูลของผู้อื่นระหว่างการส่งข้อมูลในระบบคอมพิวเตอร์ จำคุกไม่เกินสามปีหรือปรับไม่เกินหกหมื่นบาทหรือทั้งจำทั้งปรับ
(มาตรา 9,10 และ 12) ผู้ที่ทำการปลอมแปลง ทำลาย แก้ไขข้อมูลคอมพิวเตอร์ของผู้อื่น หรือทำการใดๆ ที่ไประงับ ชะลอ ขัดขวาง หรือรบกวนการทำงานระบบคอมพิวเตอร์ของผู้อื่น จำคุกสูงสุดยี่สิบปี
(มาตรา 11 ) ผู้ที่ส่งอีเมล์ปกปิดหรือปลอมแปลงแหล่งที่มา เช่น สแปมเมล์ (spam mail ) ทำให้รบกวนการใช้งานระบบคอมพิวเตอร์ของผู้อื่น ปรับไม่เกินหนึ่งแสนบาท
(มาตรา 14) ผู้ที่นำเข้าข้อมูลที่ไม่เหมาะสมเข้าไปในระบบคอมพิวเตอร์ซึ่งคนอื่นสามารถเข้าไปดูข้อมูลนั้นได้ เช่นข้อมูลอันเป็นเท็จที่ส่งผลกระทบต่อความมั่นคงของประเทศ ก่อให้เกิดความตื่นตระหนกแก่ประชาชน หรือทำให้ผู้อื่นเสียหาย ข้อมูลความผิดเกี่ยวกับการก่อการร้าย ข้อมูลลามกอนาจาร หรือผู้ที่เผยแพร่หรือส่งต่อข้อมูลเหล่านี้ ไม่ว่าจะเป็นทางเครื่องคอมพิวเตอร์ พีดีเอ โทรศัพท์มือถือ หรือระบบคอมพิวเตอร์อื่นๆ จำคุกไม่เกินห้าปีหรือปรับไม่เกินหนึ่งแสนบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ
(มาตรา 16) ผู้ที่นำเข้าภาพตัดต่อ ภาพดัดแปลงด้วยวิธีการใดๆ ของบุคคลอื่นเข้าไปในระบบคอมพิวเตอร์โดยมีเจตนาให้ผู้นั้นเสียชื่อเสียง ถูกดูหมิ่น ถูกเกลียดชัง หรือได้รับความอับอาย จำคุกไม่เกินสามปี หรือปรับไม่เกินหกหมื่นบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ
(มาตรา 26) ผู้ให้บริการ เช่น อินเตอร์เน็ตคาเฟ่ ผู้ให้บริการสัญญาณอินเตอร์เน็ต กลุ่มผู้ประกอบการอีคอมเมิร์ช รวมถึงมหาวิทยาลัย ต้องเก็บข้อมูลการเข้าใช้งานระบบคอมพิวเตอร์ของผู้ใช้บริการไม่น้อยกว่าเก้าสิบวัน เพื่อใช้ติดตามผู้กระทำความผิดมาลงโทษ หากผู้ให้บริการไม่ปฏิบัติตามนี้ ปรับสูงสุดถึงห้าแสนบาท
นายสนธยา แสนกล้า สาขา ค.บ. พิสิกส์ รหัส 56191430133

Unknown กล่าวว่า...

ไวรัสคอมพิวเตอร์ คือ
ไวรัส คือ โปรแกรมชนิดหนึ่งที่มีความสามารถในการสำเนาตัวเองเข้าไปติดอยู่ในระบบคอมพิวเตอร์ได้ และถ้ามีโอกาสก็สามารถแทรกเข้าไประบาดในระบบคอมพิวเตอร์อื่นๆ ซึ่งอาจเกิดจากการนำเอาดิสก์ที่ติดไวรัสจากเครื่องหนึ่งไปใช้อีกเครื่องหนึ่ง หรืออาจผ่านระบบเครือข่ายหรือระบบสื่อสารข้อมูล ไวรัสก็อาจแพร่ระบาดได้เช่นกัน
การป้องกันไวรัสคอมพิวเตอร์
7 ขั้นตอนในการช่วยป้องกันคุณไม่ให้ติดไวรัสคอมพิวเตอร์
1. ใช้โปรแกรมป้องกันไวรัส
2. ใช้โปรแกรมป้องกันไวรัสที่เหมาะกับตัวเอง
3. ติดตั้งโปรแกรมป้องกันไวรัสให้เป็น
4. อัพเดตฐานข้อมูลไวรัส (Definition) อยู่เสมอ
5. เปลี่ยนเวอร์ชันใหม่ทันทีที่มีโอกาส
6. อย่ารับไฟล์แปลกหน้า และติดตามข่าวสารอยู่เสมอ
7. ติดไวรัสแล้วอย่ากลัว
จรรยาบรรณการใช้ ICT
จริยธรรม (Ethics) เป็นเรื่องของการกำหนดความถูกต้องดีงามสิ่งที่ไม่ควรทำมีหลักปฏิบัติในระดับที่สูงกว่ามารยาทในสังคม
บัญญัติ10 ประการของผู้ใช้คอมพิวเตอร์
การเข้าถึงระบบคอมพิวเตอร์และข้อมูลก็จะเฉพาะสิทธิ์ที่ตนเองมีในส่วนที่เกี่ยวข้องกับงาน
1. ไม่ใช้คอมพิวเตอร์ทำร้ายผู้อื่น
2. ไม่รบกวนจนงานคอมพิวเตอร์ของผู้อื่น
3. ไม่แอบดูแฟ้มข้อมูลของผู้อื่น
4. ไม่ใช้คอมพิวเตอร์เพื่อลักขโมย
5. ไม่ใช้คอมพิวเตอร์เพื่อเป็นพยานเท็จ
6. ไม่ใช้หรือทำสำเนาซอฟต์แวร์ที่ตนไม่ได้ซื้อสิทธิ์
7. ไม่ใช้คอมพิวเตอร์ของผู้อื่นโดยไม่มีอำนาจหน้าที่
8. ไม่ฉวยเอาทรัพย์ทางปัญญาของผู้อื่นมาเป็นของตน
9. คิดถึงผลต่อเนื่องทางสังคมของโปรแกรมที่เขียน
10. ใช้คอมพิวเตอร์ในทางที่แสดงถึงความใคร่ครวญและเคารพจรรยาวิชาชีพของสมาชิกสมาคมเครื่องจักรกลคอมพิวเตอร์
พรบ.ว่าด้วยการกระทำความผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์
พระราชบัญญัติ
ว่าด้วยการกระทำความผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์
พ.ศ. ๒๕๕๐
ภูมิพลอดุลยเดช ป.ร.
ให้ไว้ ณ วันที่ ๑๐ มิถุนายน พ.ศ. ๒๕๕๐
เป็นปีที่ ๖๒ ในรัชกาลปัจจุบัน
พระราชบัญญัติ ว่าด้วยการกระทําความผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ พ.ศ. 2550
พ.ร.บ.ฉบับนี้ประกาศในพระราชกิจจานุเบกษา เมื่อวันที่ 18 มิ.ย 2550 และมีผลบังคับใช้ ตั้งแต่วันที่ 18 ก.ค. 2550 ป็นต้นไป
ความผิดที่เข้าข่ายตาม พ.ร.บ ฉบับนี้
- การเข้าถึงระบบคอมพิวเตอร์ของผู้อื่นโดยมิชอบ
- การเปิดเผยข้อมูลมาตรการป้องกันการเข้าถึงระบบคอมพิวเตอร์ที่ผู้อื่นจัดทำขึ้นเป็นการเฉพาะ
- การดักรับข้อมูลคอมพิวเตอร์ของผู้อื่น
- การทำให้เสียหาย ทำลาย แก้ไข เปลี่ยนแปลงข้อมูลโดยมิชอบ
- การกระทำเพื่อใหการทำงานของระบบคอมพิวเตอร์ของผู้อื่นไม่สามารถทำงานได้ตามปกติ
- การส่งข้อมูลรบกวนการใช้ระบบคอมพิวเตอร์ของผู้อื่น
- การจำหน่ายชุดคำสั่งที่จัดทำขึ้นเพื่อนำไปเป็นเครื่องมือในการกระทำผิด
- การใช้ระบบคอมพิวเตอร์ทำความผิดอื่น
- การตกแต่งข้อมูลคอมพิวเตอร์ที่เป็นภาพของบุคคล

Unknown กล่าวว่า...

ไวรัสคอมพิวเตอร์ คือ
ไวรัส คือ โปรแกรมชนิดหนึ่งที่มีความสามารถในการสำเนาตัวเองเข้าไปติดอยู่ในระบบคอมพิวเตอร์ได้ และถ้ามีโอกาสก็สามารถแทรกเข้าไประบาดในระบบคอมพิวเตอร์อื่นๆ ซึ่งอาจเกิดจากการนำเอาดิสก์ที่ติดไวรัสจากเครื่องหนึ่งไปใช้อีกเครื่องหนึ่ง หรืออาจผ่านระบบเครือข่ายหรือระบบสื่อสารข้อมูล ไวรัสก็อาจแพร่ระบาดได้เช่นกัน
การป้องกันไวรัสคอมพิวเตอร์
7 ขั้นตอนในการช่วยป้องกันคุณไม่ให้ติดไวรัสคอมพิวเตอร์
1. ใช้โปรแกรมป้องกันไวรัส
2. ใช้โปรแกรมป้องกันไวรัสที่เหมาะกับตัวเอง
3. ติดตั้งโปรแกรมป้องกันไวรัสให้เป็น
4. อัพเดตฐานข้อมูลไวรัส (Definition) อยู่เสมอ
5. เปลี่ยนเวอร์ชันใหม่ทันทีที่มีโอกาส
6. อย่ารับไฟล์แปลกหน้า และติดตามข่าวสารอยู่เสมอ
7. ติดไวรัสแล้วอย่ากลัว
จรรยาบรรณการใช้ ICT
จริยธรรม (Ethics) เป็นเรื่องของการกำหนดความถูกต้องดีงามสิ่งที่ไม่ควรทำมีหลักปฏิบัติในระดับที่สูงกว่ามารยาทในสังคม
บัญญัติ10 ประการของผู้ใช้คอมพิวเตอร์
การเข้าถึงระบบคอมพิวเตอร์และข้อมูลก็จะเฉพาะสิทธิ์ที่ตนเองมีในส่วนที่เกี่ยวข้องกับงาน
1. ไม่ใช้คอมพิวเตอร์ทำร้ายผู้อื่น
2. ไม่รบกวนจนงานคอมพิวเตอร์ของผู้อื่น
3. ไม่แอบดูแฟ้มข้อมูลของผู้อื่น
4. ไม่ใช้คอมพิวเตอร์เพื่อลักขโมย
5. ไม่ใช้คอมพิวเตอร์เพื่อเป็นพยานเท็จ
6. ไม่ใช้หรือทำสำเนาซอฟต์แวร์ที่ตนไม่ได้ซื้อสิทธิ์
7. ไม่ใช้คอมพิวเตอร์ของผู้อื่นโดยไม่มีอำนาจหน้าที่
8. ไม่ฉวยเอาทรัพย์ทางปัญญาของผู้อื่นมาเป็นของตน
9. คิดถึงผลต่อเนื่องทางสังคมของโปรแกรมที่เขียน
10. ใช้คอมพิวเตอร์ในทางที่แสดงถึงความใคร่ครวญและเคารพจรรยาวิชาชีพของสมาชิกสมาคมเครื่องจักรกลคอมพิวเตอร์
พรบ.ว่าด้วยการกระทำความผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์
พระราชบัญญัติ
ว่าด้วยการกระทำความผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์
พ.ศ. ๒๕๕๐
ภูมิพลอดุลยเดช ป.ร.
ให้ไว้ ณ วันที่ ๑๐ มิถุนายน พ.ศ. ๒๕๕๐
เป็นปีที่ ๖๒ ในรัชกาลปัจจุบัน
พระราชบัญญัติ ว่าด้วยการกระทําความผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ พ.ศ. 2550
พ.ร.บ.ฉบับนี้ประกาศในพระราชกิจจานุเบกษา เมื่อวันที่ 18 มิ.ย 2550 และมีผลบังคับใช้ ตั้งแต่วันที่ 18 ก.ค. 2550 ป็นต้นไป
ความผิดที่เข้าข่ายตาม พ.ร.บ ฉบับนี้
- การเข้าถึงระบบคอมพิวเตอร์ของผู้อื่นโดยมิชอบ
- การเปิดเผยข้อมูลมาตรการป้องกันการเข้าถึงระบบคอมพิวเตอร์ที่ผู้อื่นจัดทำขึ้นเป็นการเฉพาะ
- การดักรับข้อมูลคอมพิวเตอร์ของผู้อื่น
- การทำให้เสียหาย ทำลาย แก้ไข เปลี่ยนแปลงข้อมูลโดยมิชอบ
- การกระทำเพื่อใหการทำงานของระบบคอมพิวเตอร์ของผู้อื่นไม่สามารถทำงานได้ตามปกติ
- การส่งข้อมูลรบกวนการใช้ระบบคอมพิวเตอร์ของผู้อื่น
- การจำหน่ายชุดคำสั่งที่จัดทำขึ้นเพื่อนำไปเป็นเครื่องมือในการกระทำผิด
- การใช้ระบบคอมพิวเตอร์ทำความผิดอื่น
- การตกแต่งข้อมูลคอมพิวเตอร์ที่เป็นภาพของบุคคล

Unknown กล่าวว่า...

ไวรัสคอมพิวเตอร์
ที่บุกรุกเข้าไปในเครื่องคอมพิวเตอร์โดยไม่ได้รับความยินยอมจากผู้ใช้ ส่วนมากมักจะมีประสงค์ร้ายและสร้างความเสียหายให้กับระบบของเครื่องคอมพิวเตอร์นั้นๆในเชิงเทคโนโลยีความมั่นคงของระบบคอมพิวเตอร์นั้น ไวรัสเป็นโปรแกรมคอมพิวเตอร์ที่สามารถทำสำเนาของตัวเอง เพื่อแพร่ออกไปโดยการสอดแทรกตัวสำเนาไปในรหัสคอมพิวเตอร์ส่วนของข้อมูลเอกสารหรือส่วนที่สามารถปฏิบัติการได้ ดังนั้นไวรัสคอมพิวเตอร์จึงมีพฤติกรรมในลักษณะเดียวกับไวรัสในทางชีววิทยา ซึ่งสามารถแพร่กระจายไปในเซลล์ของสิ่งมีชีวิตในลักษณะเดียวกันนี้ คำอื่นๆ ที่ใช้กับไวรัสในทางชีววิทยายังขยายขอบข่ายของความหมายครอบคลุมถึงไวรัสในทางคอมพิวเตอร์ เช่น การติดไวรัส (infection) แฟ้มข้อมูลที่ติดไวรัสนี้จะเรียกว่า โฮสต์ (host) ไวรัสนั้นเป็นประเภทหนึ่งของโปรแกรมประเภทมัลแวร์ (malware) หรือโปรแกรมที่มีประสงค์ร้าย ในความหมายที่ใช้กันทั่วไปนั้น ไวรัสยังใช้หมายรวมถึง เวิร์ม (worm) ซึ่งก็เป็นโปรแกรมอีกรูปแบบหนึ่งของมัลแวร์ ซึ่งบางครั้งก็ทำให้ผู้ใช้คอมพิวเตอร์นั้นสับสนเมื่อคำไวรัสนั้นใช้ในความหมายที่เฉพาะเจาะจง คอมพิวเตอร์ไวรัสนั้นโดยทั่วไปจะไม่ส่งผลก่อให้เกิดความเสียหายต่อฮาร์ดแวร์โดยตรง แต่จะทำความเสียหายต่อซอฟต์แวร์
โปรแกรมป้องกันไวรัส หรือ แอนติไวรัส (อังกฤษ: antivirus software) เป็นโปรแกรมที่สร้างขึ้นเพื่อคอยตรวจจับ ป้องกัน และกำจัดโปรแกรมคุกคามทางคอมพิวเตอ ร์หรือมัลแวร์ ซึ่งหมายถึง ไวรัส เวิร์ม โทรจันสปายแวร์ แอดแวร์ และซอฟต์แวร์คุกคามประเภทอื่นๆ
โปรแกรมป้องกันไวรัสมี 2 แบบหลักๆ คือ
1. แอนติไวรัส (Anti-Virus) เป็นโปรแกรมโปรแกรมป้องกันไวรัสทั่วๆไป จะค้นหาและทำลายไวรัสในคอมพิวเตอร์ของเรา
2. แอนติสปายแวร์ (Anti-Spyware) เป็นโปรแกรมป้องกันการโจรกรรมข้อมูล จากไวรัสสปายแวร์ และจากแฮ็กเกอร์ รวมถึงการกำจัด Adsware ซึ่งเป็นป๊อปอัพโฆษณาอีกด้วย
โปรแกรมป้องกันไวรัสจะค้นหาและทำลายไวรัสที่ไฟล์โดยตรง แต่ในทุกๆวันจะมีไวรัสชนิดใหม่เกิดขึ้นมาเสมอ ทำให้เราต้องอัปเดตโปรแกรมป้องกันไวรัสตลอดเวลาเพื่อให้คอมพิวเตอร์ของเราปลอดภัย โดยแอนติไวรัสจะมีหลายรูปแบบตามบริษัทกันไปและแต่ละบริษัทจะมีการอัปเดตและการป้องกันไม่เหมือนกัน แต่ในคอมพิวเตอร์เครื่องเดียวไม่ควรมีแอนติไวรัส 2 โปรแกรมเพราะจะทำให้โปรแกรมขัดแย้งกันเองจนไม่สามารถใช้งานได้
จรรยาบรรณในการใช้คอมพิวเตอร์
จริยธรรม (Ethics) เป็นเรื่องของการกำหนดความถูกต้องดีงามสิ่งที่ไม่ควรทำมีหลักปฏิบัติในระดับที่สูงกว่ามารยาทในสังคมเช่นคนที่ไม่ยอมเข้าแถวเพื่อขอรับบริการตามสิทธิ์ก่อนหลังอาจถือว่าไม่มีมารยาทหรือพนักงานคอมพิวเตอร์คนหนึ่งเอาข้อมูลทางการเงินของลูกค้าที่เขาจะต้องเห็นตามหน้าที่การงานไปหาผลประโยชน์แก่ตนเองเช่นขายรายชื่อนั้นให้ธุรกิจอื่นหรือบอกให้แก่คู่สมรสซึ่งเป็นพนักงานขายตรงไปเสนอขายสินค้าการกระทำเช่นนี้ถือว่าไม่ถูกต้องไม่มีจริยธรรมจริงอยู่แม้ว่าบริษัทที่พนักงานผู้นั้นทำงานอยู่จะไม่เสียหายแต่การนำเอาของบริษัทไปใช้เพื่อประโยชน์ส่วนตัวก็เป็นสิ่งที่ไม่อาจทำได้อย่างเปิดเผยหรือพนักงานขายสินค้าของทางบริการหนึ่งซึ่งลาออกจากบริษัทเพื่อไปทำงานกับบริษัทคู่แข่งแล้วใช้ประโยชน์จากความรู้ ในเรื่องข้อมูลราคาหรือความลับทางการค้าของบริษัทแรกไปให้บริษัทหลังก็อาจเรียกได้ว่าพนักงานคนนั้นไม่มีจริยธรรมเมื่อสังคมสลับซับซ้อนขึ้นมีการแบ่งหน้าที่กันออกเป็นหน้าที่ต่างๆจึงมีข้อกำหนดที่เรียกว่า“จรรยาวิชาชีพ
นางสาวเมธาวดี สิมมา ค.บ.ฟิสิกส์ รหัส56191430116

Unknown กล่าวว่า...

ไวรัสคอมพิวเตอร์
ไวรัสคอมพิวเตอร์ คือ ชื่อเรียกสำหรับโปรแกรมประเภทหนึ่งที่มีพฤติกรรมคล้ายๆ กับไวรัสที่เป็นเชื้อโรค ที่สามารถแพร่เชื้อได้และมักทำอันตรายต่อสิ่งมีชีวิตที่มันอาศัยอยู่ แต่ต่างกันตรงที่ว่าคอมพิวเตอร์ไวรัสเป็นแค่เพียงโปรแกรมเท่านั้น ไม่ใช่สิ่งมีชีวิต
การป้องกันไวรัส
1.สำรองไฟล์ข้อมูลที่สำคัญ
2.สำหรับเครื่องที่มีฮาร์ดดิสก์ อย่าเรียกดอสจากฟลอปปีดิสก์
3.ป้องกันการเขียนให้กับฟลอปปีดิสก์
4.อย่าเรียกโปรแกรมที่ติดมากับดิสก์อื่น
5.เสาะหาโปรแกรมตรวจหาไวรัสที่ใหม่และมากกว่าหนึ่งโปรแกรมจากคนละบริษัท
6.เรียกใช้โปรแกรมตรวจหาไวรัสเป็นช่วงๆ
7. เรียกใช้โปรแกรมตรวจจับไวรัสแบบเฝ้าดูทุกครั้ง
8. เลือกคัดลอกซอฟแวร์เฉพาะที่ถูกตรวจสอบแล้วในบีบีเอส
9. สำรองข้อมูลที่สำคัญของฮาร์ดิสก์ไปเก็บในฟลอปปีดิสก์
10. เตรียมฟลอปปีดิสก์ที่ไว้สำหรับให้เรียกดอสก์ขึ้นมาทำงานได้
11. เมื่อเครื่องติดไวรัส ให้พยายามหาที่มาของไวรัสนั้น

จริยธรรมในการใช้ ICT
ต้องให้ความร่วมมือจากทุกๆฝ่าย ไม่ว่าจะจากทางภาครัฐ ภาคเอกชน ตัวบุคคลที่ใช้เทคโนโลยีสื่อสารและ ผู้ปกครองจะต้องดูแลบุตรหลานตัวเองในการใช้เทคโนโลยีการสื่อสารที่อยู่ในยุคไร้พรมแดนนี้ การสร้างจิตสำนึกต่อตนเองให้กับเด็กเยาวชนตั้งแต่ยังเล็กๆ และให้เด็กรู้ถึงโทษ ถึงปัญหา ให้เด็กรู้จักเลือกใช้โปรแกรมในทางที่ก่อให้เกิดประโยชน์แก่ตนเอง ก็น่าจะเป็นทางป้องกันที่ดีต่อปัญหาเหล่านี้ได้ ทั้งนี้เพราะโปรแกรมประเภทนี้ ไม่ว่าจะเป็น Camfrog , MSN , ICQ , Yahoo ล้วนแต่เป็นโปรแกรมการสื่อสาร ที่มีทั้งคุณและโทษในการใช้ ข้อดีของโปรแกรมเหล่านี้ก็คือจะช่วยสร้างให้เกิดความรวดเร็วในการสื่อสารมากขึ้น สามารถสื่อสารได้ทั้งทางสายตา เสียงพูด และมองเห็นหน้ากันได้ ส่วนข้อเสียส่วนใหญ่แล้วมักจะเกิดจากการใช้งานไปในทางที่ไม่ถูกไม่ควร ซึ่งตรงนี้ก็อยู่ที่ตัวของบุคคลแต่ละบุคคลในการที่จะเลือกทำเลือกใช้และเลือกที่จะนำสิ่งนั้นมาก่อให้เกิดประโยชน์ต่อตนเองค่ะ

พรบ.ว่าด้วยการกระทำความผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์
(มาตรา 5 ) แฮกเกอร์ที่เจาะเข้าระบบคอมพิวเตอร์ที่มีมาตรการป้องกันการเข้าถึง จำคุกไม่เกินหกเดือนหรือปรับไม่เกินหนึ่งหมื่นบาทหรือทั้งจำทั้งปรับ
(มาตรา 7) แฮกเกอร์ที่เจาะเข้าระบบและได้เข้าไปดูข้อมูลของผู้อื่นจำคุกไม่เกินสองปีหรือปรับไม่เกินสี่หมื่นบาทหรือทั้งจำทั้งปรับ
(มาตรา 8) ผู้ที่ชอบดักรับข้อมูลของผู้อื่นระหว่างการส่งข้อมูลในระบบคอมพิวเตอร์ จำคุกไม่เกินสามปีหรือปรับไม่เกินหกหมื่นบาทหรือทั้งจำทั้งปรับ
(มาตรา 9,10 และ 12) ผู้ที่ทำการปลอมแปลง ทำลาย แก้ไขข้อมูลคอมพิวเตอร์ของผู้อื่น หรือทำการใดๆ ที่ไประงับ ชะลอ ขัดขวาง หรือรบกวนการทำงานระบบคอมพิวเตอร์ของผู้อื่น จำคุกสูงสุดยี่สิบปี
(มาตรา 11 ) ผู้ที่ส่งอีเมล์ปกปิดหรือปลอมแปลงแหล่งที่มา เช่น สแปมเมล์ (spam mail ) ทำให้รบกวนการใช้งานระบบคอมพิวเตอร์ของผู้อื่น ปรับไม่เกินหนึ่งแสนบาท
(มาตรา 14) ผู้ที่นำเข้าข้อมูลที่ไม่เหมาะสมเข้าไปในระบบคอมพิวเตอร์ซึ่งคนอื่นสามารถเข้าไปดูข้อมูลนั้นได้ เช่นข้อมูลอันเป็นเท็จที่ส่งผลกระทบต่อความมั่นคงของประเทศ ก่อให้เกิดความตื่นตระหนกแก่ประชาชน หรือทำให้ผู้อื่นเสียหาย ข้อมูลความผิดเกี่ยวกับการก่อการร้าย ข้อมูลลามกอนาจาร หรือผู้ที่เผยแพร่หรือส่งต่อข้อมูลเหล่านี้ ไม่ว่าจะเป็นทางเครื่องคอมพิวเตอร์ พีดีเอ โทรศัพท์มือถือ หรือระบบคอมพิวเตอร์อื่นๆ จำคุกไม่เกินห้าปีหรือปรับไม่เกินหนึ่งแสนบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ
(มาตรา 16) ผู้ที่นำเข้าภาพตัดต่อ ภาพดัดแปลงด้วยวิธีการใดๆ ของบุคคลอื่นเข้าไปในระบบคอมพิวเตอร์โดยมีเจตนาให้ผู้นั้นเสียชื่อเสียง ถูกดูหมิ่น ถูกเกลียดชัง หรือได้รับความอับอาย จำคุกไม่เกินสามปี หรือปรับไม่เกินหกหมื่นบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ
(มาตรา 26) ผู้ให้บริการ เช่น อินเตอร์เน็ตคาเฟ่ ผู้ให้บริการสัญญาณอินเตอร์เน็ต กลุ่มผู้ประกอบการอีคอมเมิร์ช รวมถึงมหาวิทยาลัย ต้องเก็บข้อมูลการเข้าใช้งานระบบคอมพิวเตอร์ของผู้ใช้บริการไม่น้อยกว่าเก้าสิบวัน เพื่อใช้ติดตามผู้กระทำความผิดมาลงโทษ หากผู้ให้บริการไม่ปฏิบัติตามนี้ ปรับสูงสุดถึงห้า

นางสาว ธารีรัตน์ มะยมหิน
ค.บ.ฟิสิกส์ 56191430127

Unknown กล่าวว่า...

ไวรัสคอมพิวเตอร์ คือ ชื่อเรียกสำหรับโปรแกรมประเภทหนึ่งที่มีพฤติกรรมคล้ายๆ กับไวรัสที่เป็นเชื้อโรค ที่สามารถแพร่เชื้อได้และมักทำอันตรายต่อสิ่งมีชีวิตที่มันอาศัยอยู่ แต่ต่างกันตรงที่ว่าคอมพิวเตอร์ไวรัสเป็นแค่เพียงโปรแกรมเท่านั้น ไม่ใช่สิ่งมีชีวิต

การป้องกันไวรัส
1.สำรองไฟล์ข้อมูลที่สำคัญ
2.สำหรับเครื่องที่มีฮาร์ดดิสก์ อย่าเรียกดอสจากฟลอปปีดิสก์
3.ป้องกันการเขียนให้กับฟลอปปีดิสก์
4.อย่าเรียกโปรแกรมที่ติดมากับดิสก์อื่น
5.เสาะหาโปรแกรมตรวจหาไวรัสที่ใหม่และมากกว่าหนึ่งโปรแกรมจากคนละบริษัท
6.เรียกใช้โปรแกรมตรวจหาไวรัสเป็นช่วงๆ
7. เรียกใช้โปรแกรมตรวจจับไวรัสแบบเฝ้าดูทุกครั้ง
8. เลือกคัดลอกซอฟแวร์เฉพาะที่ถูกตรวจสอบแล้วในบีบีเอส
9. สำรองข้อมูลที่สำคัญของฮาร์ดิสก์ไปเก็บในฟลอปปีดิสก์
10. เตรียมฟลอปปีดิสก์ที่ไว้สำหรับให้เรียกดอสก์ขึ้นมาทำงานได้
11. เมื่อเครื่องติดไวรัส ให้พยายามหาที่มาของไวรัสนั้น

จริยธรรมในการใช้ ICT
1.ไม่ใช้คอมพิวเตอร์ทำร้ายผู้อื่น
2.ไม่รบกวนจนงานคอมพิวเตอร์ของผู้อื่น
3. ไม่แอบดูแฟ้มข้อมูลของผู้อื่น
4. ไม่ใช้คอมพิวเตอร์เพื่อลักขโมย
5.ไม่ใช้คอมพิวเตอร์เพื่อเป็นพยานเท็จ
6.ไม่ใช้หรือทำสำเนาซอฟต์แวร์ที่ตนไม่ได้ซื้อสิทธิ์
7.ไม่ใช้คอมพิวเตอร์ของผู้อื่นโดยไม่มีอำนาจหน้าที่
8. ไม่ฉวยเอาทรัพย์ทางปัญญาของผู้อื่นมาเป็นของตน
9. คิดถึงผลต่อเนื่องทางสังคมของโปรแกรมที่เขียน
10. ใช้คอมพิวเตอร์ในทางที่แสดงถึงความใคร่ครวญและเคารพจรรยาวิชาชีพของสมาชิกสมาคมเครื่องจักรกลคอมพิวเตอร์

พรบ.ว่าด้วยการกระทำความผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์
(มาตรา 5 ) แฮกเกอร์ที่เจาะเข้าระบบคอมพิวเตอร์ที่มีมาตรการป้องกันการเข้าถึง จำคุกไม่เกินหกเดือนหรือปรับไม่เกินหนึ่งหมื่นบาทหรือทั้งจำทั้งปรับ
(มาตรา 7) แฮกเกอร์ที่เจาะเข้าระบบและได้เข้าไปดูข้อมูลของผู้อื่นจำคุกไม่เกินสองปีหรือปรับไม่เกินสี่หมื่นบาทหรือทั้งจำทั้งปรับ
(มาตรา 8) ผู้ที่ชอบดักรับข้อมูลของผู้อื่นระหว่างการส่งข้อมูลในระบบคอมพิวเตอร์ จำคุกไม่เกินสามปีหรือปรับไม่เกินหกหมื่นบาทหรือทั้งจำทั้งปรับ
(มาตรา 9,10 และ 12) ผู้ที่ทำการปลอมแปลง ทำลาย แก้ไขข้อมูลคอมพิวเตอร์ของผู้อื่น หรือทำการใดๆ ที่ไประงับ ชะลอ ขัดขวาง หรือรบกวนการทำงานระบบคอมพิวเตอร์ของผู้อื่น จำคุกสูงสุดยี่สิบปี
(มาตรา 11 ) ผู้ที่ส่งอีเมล์ปกปิดหรือปลอมแปลงแหล่งที่มา เช่น สแปมเมล์ (spam mail ) ทำให้รบกวนการใช้งานระบบคอมพิวเตอร์ของผู้อื่น ปรับไม่เกินหนึ่งแสนบาท
(มาตรา 14) ผู้ที่นำเข้าข้อมูลที่ไม่เหมาะสมเข้าไปในระบบคอมพิวเตอร์ซึ่งคนอื่นสามารถเข้าไปดูข้อมูลนั้นได้ เช่นข้อมูลอันเป็นเท็จที่ส่งผลกระทบต่อความมั่นคงของประเทศ ก่อให้เกิดความตื่นตระหนกแก่ประชาชน หรือทำให้ผู้อื่นเสียหาย ข้อมูลความผิดเกี่ยวกับการก่อการร้าย ข้อมูลลามกอนาจาร หรือผู้ที่เผยแพร่หรือส่งต่อข้อมูลเหล่านี้ ไม่ว่าจะเป็นทางเครื่องคอมพิวเตอร์ พีดีเอ โทรศัพท์มือถือ หรือระบบคอมพิวเตอร์อื่นๆ จำคุกไม่เกินห้าปีหรือปรับไม่เกินหนึ่งแสนบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ
(มาตรา 16) ผู้ที่นำเข้าภาพตัดต่อ ภาพดัดแปลงด้วยวิธีการใดๆ ของบุคคลอื่นเข้าไปในระบบคอมพิวเตอร์โดยมีเจตนาให้ผู้นั้นเสียชื่อเสียง ถูกดูหมิ่น ถูกเกลียดชัง หรือได้รับความอับอาย จำคุกไม่เกินสามปี หรือปรับไม่เกินหกหมื่นบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ
(มาตรา 26) ผู้ให้บริการ เช่น อินเตอร์เน็ตคาเฟ่ ผู้ให้บริการสัญญาณอินเตอร์เน็ต กลุ่มผู้ประกอบการอีคอมเมิร์ช รวมถึงมหาวิทยาลัย ต้องเก็บข้อมูลการเข้าใช้งานระบบคอมพิวเตอร์ของผู้ใช้บริการไม่น้อยกว่าเก้าสิบวัน เพื่อใช้ติดตามผู้กระทำความผิดมาลงโทษ หากผู้ให้บริการไม่ปฏิบัติตามนี้ ปรับสูงสุดถึงห้าแสนบาท


นางสาวศิริกาญจน์ ปัจฉิมานนท์ รหัส 54191700231 หมู่2 ปี3 ค.บ.อุตสาหกรรมศิลป์

Unknown กล่าวว่า...

Unknown กล่าวว่า...

ไวรัส คือโปรแกรมชนิดหนึ่งที่มีความสามารถในการสำเนาตัวเองเข้าไปติดอยู่ในระบบคอมพิวเตอร์ได้และถ้ามีโอกาสก็สามารถแทรกเข้าไประบาดในระบบคอมพิวเตอร์อื่น ๆ ซึ่งอาจเกิดจากการนำเอาดิสก์ที่ติดไวรัสจากเครื่องหนึ่งไปใช้อีกเครื่องหนึ่ง หรืออาจผ่านระบบเครือข่ายหรือระบบสื่อสารข้อมูลไวรัสก็อาจแพร่ระบาดได้เช่นกัน

การป้องกัน
1. ใช้โปรแกรมป้องกันไวรัส
2. ใช้โปรแกรมป้องกันไวรัสที่เหมาะกับตัวเอง
3. ติดตั้งโปรแกรมป้องกันไวรัสให้เป็น
4.อัพเดตฐานข้อมูลไวรัส (Definition) อยู่เสมอ
5. เปลี่ยนเวอร์ชันใหม่ทันทีที่มีโอกาส
6. อย่ารับไฟล์แปลกหน้า และติดตามข่าวสารอยู่เสมอ
7. ติดไวรัสแล้วอย่ากลัว

จรรยาบรรณการใช้ ICT
จรรยาบรรณการใช้ ICT 10 ประการของผู้ใช้คอมพิวเตอร์
1. ไม่ใช้คอมพิวเตอร์ทำร้ายผู้อื่น
2. ไม่รบกวนจนงานคอมพิวเตอร์ของผู้อื่น
3. ไม่แอบดูแฟ้มข้อมูลของผู้อื่น
4. ไม่ใช้คอมพิวเตอร์เพื่อลักขโมย
5. ไม่ใช้คอมพิวเตอร์เพื่อเป็นพยานเท็จ
6. ไม่ใช้หรือทำสำเนาซอฟต์แวร์ที่ตนไม่ได้ซื้อสิทธิ์
7. ไม่ใช้คอมพิวเตอร์ของผู้อื่นโดยไม่มีอำนาจหน้าที่
8. ไม่ฉวยเอาทรัพย์ทางปัญญาของผู้อื่นมาเป็นของตน
9. คิดถึงผลต่อเนื่องทางสังคมของโปรแกรมที่เขียน
10. ใช้คอมพิวเตอร์ในทางที่แสดงถึงความใคร่ครวญและเคารพจรรยาวิชาชีพของสมาชิกสมาคมเครื่องจักรกลคอมพิวเตอร์
พรบ.ว่าด้วยการกระทำความผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์
มาตรา ๑ พระราชบัญญัตินี้เรียกว่า “พระราชบัญญัติว่าด้วยการกระทำความผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ พ.ศ. ๒๕๕๐”
มาตรา ๒ พระราชบัญญัตินี้ให้ใช้บังคับเมื่อพ้นกำหนดสามสิบวันนับแต่วันประกาศในราชกิจจานุเบกษาเป็นต้นไป

มาตรา ๓ ในพระราชบัญญัตินี้
“ระบบคอมพิวเตอร์”หมายความว่า อุปกรณ์หรือชุดอุปกรณ์ของคอมพิวเตอร์ที่เชื่อมการทำงานเข้าด้วยกัน โดยได้มีการกำหนดคำสั่ง ชุดคำสั่ง หรือสิ่งอื่นใด และแนวทางปฏิบัติงานให้อุปกรณ์หรือชุดอุปกรณ์ทำหน้าที่ประมวลผลข้อมูลโดยอัตโนมัติ
“ข้อมูลคอมพิวเตอร์”หมายความว่า ข้อมูล ข้อความ คำสั่ง ชุดคำสั่ง หรือสิ่งอื่นใดบรรดาที่อยู่ในระบบคอมพิวเตอร์ในสภาพที่ระบบคอมพิวเตอร์อาจประมวลผลได้
“ข้อมูลจราจรทางคอมพิวเตอร์”หมายความว่า ข้อมูลเกี่ยวกับการติดต่อสื่อสารของระบบคอมพิวเตอร์ ซึ่งแสดงถึงแหล่งกำเนิด ต้นทาง ปลายทาง เส้นทาง เวลา วันที่ ปริมาณ ระยะเวลาชนิดของบริการ หรืออื่นๆ
“ผู้ให้บริการ”หมายความว่า
- ผู้ให้บริการแก่บุคคลอื่นในการเข้าสู่อินเทอร์เน็ต หรือให้สามารถติดต่อถึงกันโดยประการอื่น
- ผู้ให้บริการเก็บรักษาข้อมูลคอมพิวเตอร์เพื่อประโยชน์ของบุคคลอื่น
“ผู้ใช้บริการ”หมายความว่า ผู้ใช้บริการของผู้ให้บริการไม่ว่าต้องเสียค่าใช้บริการหรือไม่ก็ตาม
“พนักงานเจ้าหน้าที่”หมายความว่า ผู้ซึ่งรัฐมนตรีแต่งตั้งให้ปฏิบัติการตามพระราชบัญญัตินี้
“รัฐมนตรี”หมายความว่า รัฐมนตรีผู้รักษาการตามพระราชบัญญัตินี้
มาตรา ๔ ให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารรักษาการตามพระราชบัญญัตินี้ และให้มีอำนาจออกกฎกระทรวงเพื่อปฏิบัติการตามพระราชบัญญัตินี้กฎกระทรวงนั้น เมื่อได้ประกาศในราชกิจจานุเบกษาแล้วให้ใช้บังคับได้

นภสร ขบวนฉลาด 54191700211
สาขาอุตสาหกรรมศิลป์ หมู่2

Unknown กล่าวว่า...

ไวรัสคอมพิวเตอร์ คือ ชื่อเรียกสำหรับโปรแกรมประเภทหนึ่งที่มีพฤติกรรมคล้ายๆ กับไวรัสที่เป็นเชื้อโรค ที่สามารถแพร่เชื้อได้และมักทำอันตรายต่อสิ่งมีชีวิตที่มันอาศัยอยู่ แต่ต่างกันตรงที่ว่าคอมพิวเตอร์ไวรัสเป็นแค่เพียงโปรแกรมเท่านั้น ไม่ใช่สิ่งมีชีวิต

การป้องกันไวรัส
1.สำรองไฟล์ข้อมูลที่สำคัญ
2.สำหรับเครื่องที่มีฮาร์ดดิสก์ อย่าเรียกดอสจากฟลอปปีดิสก์
3.ป้องกันการเขียนให้กับฟลอปปีดิสก์
4.อย่าเรียกโปรแกรมที่ติดมากับดิสก์อื่น
5.เสาะหาโปรแกรมตรวจหาไวรัสที่ใหม่และมากกว่าหนึ่งโปรแกรมจากคนละบริษัท
6.เรียกใช้โปรแกรมตรวจหาไวรัสเป็นช่วงๆ
7. เรียกใช้โปรแกรมตรวจจับไวรัสแบบเฝ้าดูทุกครั้ง
8. เลือกคัดลอกซอฟแวร์เฉพาะที่ถูกตรวจสอบแล้วในบีบีเอส
9. สำรองข้อมูลที่สำคัญของฮาร์ดิสก์ไปเก็บในฟลอปปีดิสก์
10. เตรียมฟลอปปีดิสก์ที่ไว้สำหรับให้เรียกดอสก์ขึ้นมาทำงานได้
11. เมื่อเครื่องติดไวรัส ให้พยายามหาที่มาของไวรัสนั้น

จริยธรรมในการใช้ ICT
1.ไม่ใช้คอมพิวเตอร์ทำร้ายผู้อื่น
2.ไม่รบกวนจนงานคอมพิวเตอร์ของผู้อื่น
3. ไม่แอบดูแฟ้มข้อมูลของผู้อื่น
4. ไม่ใช้คอมพิวเตอร์เพื่อลักขโมย
5.ไม่ใช้คอมพิวเตอร์เพื่อเป็นพยานเท็จ
6.ไม่ใช้หรือทำสำเนาซอฟต์แวร์ที่ตนไม่ได้ซื้อสิทธิ์
7.ไม่ใช้คอมพิวเตอร์ของผู้อื่นโดยไม่มีอำนาจหน้าที่
8. ไม่ฉวยเอาทรัพย์ทางปัญญาของผู้อื่นมาเป็นของตน
9. คิดถึงผลต่อเนื่องทางสังคมของโปรแกรมที่เขียน
10. ใช้คอมพิวเตอร์ในทางที่แสดงถึงความใคร่ครวญและเคารพจรรยาวิชาชีพของสมาชิกสมาคมเครื่องจักรกลคอมพิวเตอร์

พรบ.ว่าด้วยการกระทำความผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์
(มาตรา 5 ) แฮกเกอร์ที่เจาะเข้าระบบคอมพิวเตอร์ที่มีมาตรการป้องกันการเข้าถึง จำคุกไม่เกินหกเดือนหรือปรับไม่เกินหนึ่งหมื่นบาทหรือทั้งจำทั้งปรับ
(มาตรา 7) แฮกเกอร์ที่เจาะเข้าระบบและได้เข้าไปดูข้อมูลของผู้อื่นจำคุกไม่เกินสองปีหรือปรับไม่เกินสี่หมื่นบาทหรือทั้งจำทั้งปรับ
(มาตรา 8) ผู้ที่ชอบดักรับข้อมูลของผู้อื่นระหว่างการส่งข้อมูลในระบบคอมพิวเตอร์ จำคุกไม่เกินสามปีหรือปรับไม่เกินหกหมื่นบาทหรือทั้งจำทั้งปรับ
(มาตรา 9,10 และ 12) ผู้ที่ทำการปลอมแปลง ทำลาย แก้ไขข้อมูลคอมพิวเตอร์ของผู้อื่น หรือทำการใดๆ ที่ไประงับ ชะลอ ขัดขวาง หรือรบกวนการทำงานระบบคอมพิวเตอร์ของผู้อื่น จำคุกสูงสุดยี่สิบปี
(มาตรา 11 ) ผู้ที่ส่งอีเมล์ปกปิดหรือปลอมแปลงแหล่งที่มา เช่น สแปมเมล์ (spam mail ) ทำให้รบกวนการใช้งานระบบคอมพิวเตอร์ของผู้อื่น ปรับไม่เกินหนึ่งแสนบาท
(มาตรา 14) ผู้ที่นำเข้าข้อมูลที่ไม่เหมาะสมเข้าไปในระบบคอมพิวเตอร์ซึ่งคนอื่นสามารถเข้าไปดูข้อมูลนั้นได้ เช่นข้อมูลอันเป็นเท็จที่ส่งผลกระทบต่อความมั่นคงของประเทศ ก่อให้เกิดความตื่นตระหนกแก่ประชาชน หรือทำให้ผู้อื่นเสียหาย ข้อมูลความผิดเกี่ยวกับการก่อการร้าย ข้อมูลลามกอนาจาร หรือผู้ที่เผยแพร่หรือส่งต่อข้อมูลเหล่านี้ ไม่ว่าจะเป็นทางเครื่องคอมพิวเตอร์ พีดีเอ โทรศัพท์มือถือ หรือระบบคอมพิวเตอร์อื่นๆ จำคุกไม่เกินห้าปีหรือปรับไม่เกินหนึ่งแสนบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ
(มาตรา 16) ผู้ที่นำเข้าภาพตัดต่อ ภาพดัดแปลงด้วยวิธีการใดๆ ของบุคคลอื่นเข้าไปในระบบคอมพิวเตอร์โดยมีเจตนาให้ผู้นั้นเสียชื่อเสียง ถูกดูหมิ่น ถูกเกลียดชัง หรือได้รับความอับอาย จำคุกไม่เกินสามปี หรือปรับไม่เกินหกหมื่นบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ
(มาตรา 26) ผู้ให้บริการ เช่น อินเตอร์เน็ตคาเฟ่ ผู้ให้บริการสัญญาณอินเตอร์เน็ต กลุ่มผู้ประกอบการอีคอมเมิร์ช รวมถึงมหาวิทยาลัย ต้องเก็บข้อมูลการเข้าใช้งานระบบคอมพิวเตอร์ของผู้ใช้บริการไม่น้อยกว่าเก้าสิบวัน เพื่อใช้ติดตามผู้กระทำความผิดมาลงโทษ หากผู้ให้บริการไม่ปฏิบัติตามนี้ ปรับสูงสุดถึงห้าแสนบาท
นางสาวกวินนา พันธ์พงษ์ 55191010101 สาขาภาษาไทย

Unknown กล่าวว่า...

ไวรัสคอมพิวเตอร์ คือ ชื่อเรียกสำหรับโปรแกรมประเภทหนึ่งที่มีพฤติกรรมคล้ายๆ กับไวรัสที่เป็นเชื้อโรค ที่สามารถแพร่เชื้อได้และมักทำอันตรายต่อสิ่งมีชีวิตที่มันอาศัยอยู่ แต่ต่างกันตรงที่ว่าคอมพิวเตอร์ไวรัสเป็นแค่เพียงโปรแกรมเท่านั้น ไม่ใช่สิ่งมีชีวิต

การป้องกันไวรัส
1.สำรองไฟล์ข้อมูลที่สำคัญ
2.สำหรับเครื่องที่มีฮาร์ดดิสก์ อย่าเรียกดอสจากฟลอปปีดิสก์
3.ป้องกันการเขียนให้กับฟลอปปีดิสก์
4.อย่าเรียกโปรแกรมที่ติดมากับดิสก์อื่น
5.เสาะหาโปรแกรมตรวจหาไวรัสที่ใหม่และมากกว่าหนึ่งโปรแกรมจากคนละบริษัท
6.เรียกใช้โปรแกรมตรวจหาไวรัสเป็นช่วงๆ
7. เรียกใช้โปรแกรมตรวจจับไวรัสแบบเฝ้าดูทุกครั้ง
8. เลือกคัดลอกซอฟแวร์เฉพาะที่ถูกตรวจสอบแล้วในบีบีเอส
9. สำรองข้อมูลที่สำคัญของฮาร์ดิสก์ไปเก็บในฟลอปปีดิสก์
10. เตรียมฟลอปปีดิสก์ที่ไว้สำหรับให้เรียกดอสก์ขึ้นมาทำงานได้
11. เมื่อเครื่องติดไวรัส ให้พยายามหาที่มาของไวรัสนั้น

จริยธรรมในการใช้ ICT
1.ไม่ใช้คอมพิวเตอร์ทำร้ายผู้อื่น
2.ไม่รบกวนจนงานคอมพิวเตอร์ของผู้อื่น
3. ไม่แอบดูแฟ้มข้อมูลของผู้อื่น
4. ไม่ใช้คอมพิวเตอร์เพื่อลักขโมย
5.ไม่ใช้คอมพิวเตอร์เพื่อเป็นพยานเท็จ
6.ไม่ใช้หรือทำสำเนาซอฟต์แวร์ที่ตนไม่ได้ซื้อสิทธิ์
7.ไม่ใช้คอมพิวเตอร์ของผู้อื่นโดยไม่มีอำนาจหน้าที่
8. ไม่ฉวยเอาทรัพย์ทางปัญญาของผู้อื่นมาเป็นของตน
9. คิดถึงผลต่อเนื่องทางสังคมของโปรแกรมที่เขียน
10. ใช้คอมพิวเตอร์ในทางที่แสดงถึงความใคร่ครวญและเคารพจรรยาวิชาชีพของสมาชิกสมาคมเครื่องจักรกลคอมพิวเตอร์

พรบ.ว่าด้วยการกระทำความผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์
(มาตรา 5 ) แฮกเกอร์ที่เจาะเข้าระบบคอมพิวเตอร์ที่มีมาตรการป้องกันการเข้าถึง จำคุกไม่เกินหกเดือนหรือปรับไม่เกินหนึ่งหมื่นบาทหรือทั้งจำทั้งปรับ
(มาตรา 7) แฮกเกอร์ที่เจาะเข้าระบบและได้เข้าไปดูข้อมูลของผู้อื่นจำคุกไม่เกินสองปีหรือปรับไม่เกินสี่หมื่นบาทหรือทั้งจำทั้งปรับ
(มาตรา 8) ผู้ที่ชอบดักรับข้อมูลของผู้อื่นระหว่างการส่งข้อมูลในระบบคอมพิวเตอร์ จำคุกไม่เกินสามปีหรือปรับไม่เกินหกหมื่นบาทหรือทั้งจำทั้งปรับ
(มาตรา 9,10 และ 12) ผู้ที่ทำการปลอมแปลง ทำลาย แก้ไขข้อมูลคอมพิวเตอร์ของผู้อื่น หรือทำการใดๆ ที่ไประงับ ชะลอ ขัดขวาง หรือรบกวนการทำงานระบบคอมพิวเตอร์ของผู้อื่น จำคุกสูงสุดยี่สิบปี
(มาตรา 11 ) ผู้ที่ส่งอีเมล์ปกปิดหรือปลอมแปลงแหล่งที่มา เช่น สแปมเมล์ (spam mail ) ทำให้รบกวนการใช้งานระบบคอมพิวเตอร์ของผู้อื่น ปรับไม่เกินหนึ่งแสนบาท
(มาตรา 14) ผู้ที่นำเข้าข้อมูลที่ไม่เหมาะสมเข้าไปในระบบคอมพิวเตอร์ซึ่งคนอื่นสามารถเข้าไปดูข้อมูลนั้นได้ เช่นข้อมูลอันเป็นเท็จที่ส่งผลกระทบต่อความมั่นคงของประเทศ ก่อให้เกิดความตื่นตระหนกแก่ประชาชน หรือทำให้ผู้อื่นเสียหาย ข้อมูลความผิดเกี่ยวกับการก่อการร้าย ข้อมูลลามกอนาจาร หรือผู้ที่เผยแพร่หรือส่งต่อข้อมูลเหล่านี้ ไม่ว่าจะเป็นทางเครื่องคอมพิวเตอร์ พีดีเอ โทรศัพท์มือถือ หรือระบบคอมพิวเตอร์อื่นๆ จำคุกไม่เกินห้าปีหรือปรับไม่เกินหนึ่งแสนบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ
(มาตรา 16) ผู้ที่นำเข้าภาพตัดต่อ ภาพดัดแปลงด้วยวิธีการใดๆ ของบุคคลอื่นเข้าไปในระบบคอมพิวเตอร์โดยมีเจตนาให้ผู้นั้นเสียชื่อเสียง ถูกดูหมิ่น ถูกเกลียดชัง หรือได้รับความอับอาย จำคุกไม่เกินสามปี หรือปรับไม่เกินหกหมื่นบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ
(มาตรา 26) ผู้ให้บริการ เช่น อินเตอร์เน็ตคาเฟ่ ผู้ให้บริการสัญญาณอินเตอร์เน็ต กลุ่มผู้ประกอบการอีคอมเมิร์ช รวมถึงมหาวิทยาลัย ต้องเก็บข้อมูลการเข้าใช้งานระบบคอมพิวเตอร์ของผู้ใช้บริการไม่น้อยกว่าเก้าสิบวัน เพื่อใช้ติดตามผู้กระทำความผิดมาลงโทษ หากผู้ให้บริการไม่ปฏิบัติตามนี้ ปรับสูงสุดถึงห้าแสนบาท

นางสาวกมลมาศ บุญเพ็ง 56191860144 สาขาการศึกษาปฐมวัย

Unknown กล่าวว่า...


ไวรัสคอมพิวเตอร์ คือ
ไวรัส คือ โปรแกรมชนิดหนึ่งที่มีความสามารถในการสำเนาตัวเองเข้าไปติดอยู่ในระบบคอมพิวเตอร์ได้ และถ้ามีโอกาสก็สามารถแทรกเข้าไประบาดในระบบคอมพิวเตอร์อื่นๆ ซึ่งอาจเกิดจากการนำเอาดิสก์ที่ติดไวรัสจากเครื่องหนึ่งไปใช้อีกเครื่องหนึ่ง หรืออาจผ่านระบบเครือข่ายหรือระบบสื่อสารข้อมูล ไวรัสก็อาจแพร่ระบาดได้เช่นกัน
การป้องกันไวรัสคอมพิวเตอร์
7 ขั้นตอนในการช่วยป้องกันคุณไม่ให้ติดไวรัสคอมพิวเตอร์
1. ใช้โปรแกรมป้องกันไวรัส
2. ใช้โปรแกรมป้องกันไวรัสที่เหมาะกับตัวเอง
3. ติดตั้งโปรแกรมป้องกันไวรัสให้เป็น
4. อัพเดตฐานข้อมูลไวรัส (Definition) อยู่เสมอ
5. เปลี่ยนเวอร์ชันใหม่ทันทีที่มีโอกาส
6. อย่ารับไฟล์แปลกหน้า และติดตามข่าวสารอยู่เสมอ
7. ติดไวรัสแล้วอย่ากลัว
จรรยาบรรณการใช้ ICT
จริยธรรม (Ethics) เป็นเรื่องของการกำหนดความถูกต้องดีงามสิ่งที่ไม่ควรทำมีหลักปฏิบัติในระดับที่สูงกว่ามารยาทในสังคม
บัญญัติ10 ประการของผู้ใช้คอมพิวเตอร์
การเข้าถึงระบบคอมพิวเตอร์และข้อมูลก็จะเฉพาะสิทธิ์ที่ตนเองมีในส่วนที่เกี่ยวข้องกับงาน
1. ไม่ใช้คอมพิวเตอร์ทำร้ายผู้อื่น
2. ไม่รบกวนจนงานคอมพิวเตอร์ของผู้อื่น
3. ไม่แอบดูแฟ้มข้อมูลของผู้อื่น
4. ไม่ใช้คอมพิวเตอร์เพื่อลักขโมย
5. ไม่ใช้คอมพิวเตอร์เพื่อเป็นพยานเท็จ
6. ไม่ใช้หรือทำสำเนาซอฟต์แวร์ที่ตนไม่ได้ซื้อสิทธิ์
7. ไม่ใช้คอมพิวเตอร์ของผู้อื่นโดยไม่มีอำนาจหน้าที่
8. ไม่ฉวยเอาทรัพย์ทางปัญญาของผู้อื่นมาเป็นของตน
9. คิดถึงผลต่อเนื่องทางสังคมของโปรแกรมที่เขียน
10. ใช้คอมพิวเตอร์ในทางที่แสดงถึงความใคร่ครวญและเคารพจรรยาวิชาชีพของสมาชิกสมาคมเครื่องจักรกลคอมพิวเตอร์
พรบ.ว่าด้วยการกระทำความผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์
พระราชบัญญัติ
ว่าด้วยการกระทำความผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์
พ.ศ. ๒๕๕๐
ภูมิพลอดุลยเดช ป.ร.
ให้ไว้ ณ วันที่ ๑๐ มิถุนายน พ.ศ. ๒๕๕๐
เป็นปีที่ ๖๒ ในรัชกาลปัจจุบัน
พระราชบัญญัติ ว่าด้วยการกระทําความผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ พ.ศ. 2550
พ.ร.บ.ฉบับนี้ประกาศในพระราชกิจจานุเบกษา เมื่อวันที่ 18 มิ.ย 2550 และมีผลบังคับใช้ ตั้งแต่วันที่ 18 ก.ค. 2550 ป็นต้นไป
ความผิดที่เข้าข่ายตาม พ.ร.บ ฉบับนี้
- การเข้าถึงระบบคอมพิวเตอร์ของผู้อื่นโดยมิชอบ
- การเปิดเผยข้อมูลมาตรการป้องกันการเข้าถึงระบบคอมพิวเตอร์ที่ผู้อื่นจัดทำขึ้นเป็นการเฉพาะ
- การดักรับข้อมูลคอมพิวเตอร์ของผู้อื่น
- การทำให้เสียหาย ทำลาย แก้ไข เปลี่ยนแปลงข้อมูลโดยมิชอบ
- การกระทำเพื่อใหการทำงานของระบบคอมพิวเตอร์ของผู้อื่นไม่สามารถทำงานได้ตามปกติ
- การส่งข้อมูลรบกวนการใช้ระบบคอมพิวเตอร์ของผู้อื่น
- การจำหน่ายชุดคำสั่งที่จัดทำขึ้นเพื่อนำไปเป็นเครื่องมือในการกระทำผิด
- การใช้ระบบคอมพิวเตอร์ทำความผิดอื่น
- การตกแต่งข้อมูลคอมพิวเตอร์ที่เป็นภาพของบุคคล
นาย วัชรพงษ์ ทองลอย
55128040250
สาขา รัฐประศาสนศาสตร์

Unknown กล่าวว่า...

ไวรัสคอมพิวเตอร์ คือ ชื่อเรียกสำหรับโปรแกรมประเภทหนึ่งที่มีพฤติกรรมคล้ายๆ กับไวรัสที่เป็นเชื้อโรค ที่สามารถแพร่เชื้อได้และมักทำอันตรายต่อสิ่งมีชีวิตที่มันอาศัยอยู่ แต่ต่างกันตรงที่ว่าคอมพิวเตอร์ไวรัสเป็นแค่เพียงโปรแกรมเท่านั้น ไม่ใช่สิ่งมีชีวิต

การป้องกันไวรัส
1.สำรองไฟล์ข้อมูลที่สำคัญ
2.สำหรับเครื่องที่มีฮาร์ดดิสก์ อย่าเรียกดอสจากฟลอปปีดิสก์
3.ป้องกันการเขียนให้กับฟลอปปีดิสก์
4.อย่าเรียกโปรแกรมที่ติดมากับดิสก์อื่น
5.เสาะหาโปรแกรมตรวจหาไวรัสที่ใหม่และมากกว่าหนึ่งโปรแกรมจากคนละบริษัท
6.เรียกใช้โปรแกรมตรวจหาไวรัสเป็นช่วงๆ
7. เรียกใช้โปรแกรมตรวจจับไวรัสแบบเฝ้าดูทุกครั้ง
8. เลือกคัดลอกซอฟแวร์เฉพาะที่ถูกตรวจสอบแล้วในบีบีเอส
9. สำรองข้อมูลที่สำคัญของฮาร์ดิสก์ไปเก็บในฟลอปปีดิสก์
10. เตรียมฟลอปปีดิสก์ที่ไว้สำหรับให้เรียกดอสก์ขึ้นมาทำงานได้
11. เมื่อเครื่องติดไวรัส ให้พยายามหาที่มาของไวรัสนั้น

จริยธรรมในการใช้ ICT
1.ไม่ใช้คอมพิวเตอร์ทำร้ายผู้อื่น
2.ไม่รบกวนจนงานคอมพิวเตอร์ของผู้อื่น
3. ไม่แอบดูแฟ้มข้อมูลของผู้อื่น
4. ไม่ใช้คอมพิวเตอร์เพื่อลักขโมย
5.ไม่ใช้คอมพิวเตอร์เพื่อเป็นพยานเท็จ
6.ไม่ใช้หรือทำสำเนาซอฟต์แวร์ที่ตนไม่ได้ซื้อสิทธิ์
7.ไม่ใช้คอมพิวเตอร์ของผู้อื่นโดยไม่มีอำนาจหน้าที่
8. ไม่ฉวยเอาทรัพย์ทางปัญญาของผู้อื่นมาเป็นของตน
9. คิดถึงผลต่อเนื่องทางสังคมของโปรแกรมที่เขียน
10. ใช้คอมพิวเตอร์ในทางที่แสดงถึงความใคร่ครวญและเคารพจรรยาวิชาชีพของสมาชิกสมาคมเครื่องจักรกลคอมพิวเตอร์

พรบ.ว่าด้วยการกระทำความผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์
(มาตรา 5 ) แฮกเกอร์ที่เจาะเข้าระบบคอมพิวเตอร์ที่มีมาตรการป้องกันการเข้าถึง จำคุกไม่เกินหกเดือนหรือปรับไม่เกินหนึ่งหมื่นบาทหรือทั้งจำทั้งปรับ
(มาตรา 7) แฮกเกอร์ที่เจาะเข้าระบบและได้เข้าไปดูข้อมูลของผู้อื่นจำคุกไม่เกินสองปีหรือปรับไม่เกินสี่หมื่นบาทหรือทั้งจำทั้งปรับ
(มาตรา 8) ผู้ที่ชอบดักรับข้อมูลของผู้อื่นระหว่างการส่งข้อมูลในระบบคอมพิวเตอร์ จำคุกไม่เกินสามปีหรือปรับไม่เกินหกหมื่นบาทหรือทั้งจำทั้งปรับ
(มาตรา 9,10 และ 12) ผู้ที่ทำการปลอมแปลง ทำลาย แก้ไขข้อมูลคอมพิวเตอร์ของผู้อื่น หรือทำการใดๆ ที่ไประงับ ชะลอ ขัดขวาง หรือรบกวนการทำงานระบบคอมพิวเตอร์ของผู้อื่น จำคุกสูงสุดยี่สิบปี
(มาตรา 11 ) ผู้ที่ส่งอีเมล์ปกปิดหรือปลอมแปลงแหล่งที่มา เช่น สแปมเมล์ (spam mail ) ทำให้รบกวนการใช้งานระบบคอมพิวเตอร์ของผู้อื่น ปรับไม่เกินหนึ่งแสนบาท
(มาตรา 14) ผู้ที่นำเข้าข้อมูลที่ไม่เหมาะสมเข้าไปในระบบคอมพิวเตอร์ซึ่งคนอื่นสามารถเข้าไปดูข้อมูลนั้นได้ เช่นข้อมูลอันเป็นเท็จที่ส่งผลกระทบต่อความมั่นคงของประเทศ ก่อให้เกิดความตื่นตระหนกแก่ประชาชน หรือทำให้ผู้อื่นเสียหาย ข้อมูลความผิดเกี่ยวกับการก่อการร้าย ข้อมูลลามกอนาจาร หรือผู้ที่เผยแพร่หรือส่งต่อข้อมูลเหล่านี้ ไม่ว่าจะเป็นทางเครื่องคอมพิวเตอร์ พีดีเอ โทรศัพท์มือถือ หรือระบบคอมพิวเตอร์อื่นๆ จำคุกไม่เกินห้าปีหรือปรับไม่เกินหนึ่งแสนบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ
(มาตรา 16) ผู้ที่นำเข้าภาพตัดต่อ ภาพดัดแปลงด้วยวิธีการใดๆ ของบุคคลอื่นเข้าไปในระบบคอมพิวเตอร์โดยมีเจตนาให้ผู้นั้นเสียชื่อเสียง ถูกดูหมิ่น ถูกเกลียดชัง หรือได้รับความอับอาย จำคุกไม่เกินสามปี หรือปรับไม่เกินหกหมื่นบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ
(มาตรา 26) ผู้ให้บริการ เช่น อินเตอร์เน็ตคาเฟ่ ผู้ให้บริการสัญญาณอินเตอร์เน็ต กลุ่มผู้ประกอบการอีคอมเมิร์ช รวมถึงมหาวิทยาลัย ต้องเก็บข้อมูลการเข้าใช้งานระบบคอมพิวเตอร์ของผู้ใช้บริการไม่น้อยกว่าเก้าสิบวัน เพื่อใช้ติดตามผู้กระทำความผิดมาลงโทษ หากผู้ให้บริการไม่ปฏิบัติตามนี้ ปรับสูงสุดถึงห้าแสนบาท

นายราเชนทร์ ไชยพันธ์ 55128040238 หมู่2 รปศ.(การปกครองท้องถิ่น)

Unknown กล่าวว่า...

ไวรัส
คือ โปรแกรมชนิดหนึ่งที่มีความสามารถในการสำเนาตัวเองเข้าไปติดอยู่ในระบบคอมพิวเตอร์ได้ และถ้ามีโอกาสก็สามารถแทรกเข้าไประบาดในระบบคอมพิวเตอร์อื่นๆ ซึ่งอาจเกิดจากการนำเอาดิสก์ที่ติดไวรัสจากเครื่องหนึ่งไปใช้อีกเครื่องหนึ่ง หรืออาจผ่านระบบเครือข่ายหรือระบบสื่อสารข้อมูล ไวรัสก็อาจแพร่ระบาดได้เช่นกัน
การที่คอมพิวเตอร์ใดติดไวรัส หมายถึงว่าไวรัสได้เข้าไปฝังตัวอยู่ในหน่วยความจำคอมพิวเตอร์เรียบร้อยแล้ว เนื่องจากไวรัสก็เป็นแค่โปรแกรมๆ หนึ่ง การที่ไวรัสจะเข้าไปอยู่ในหน่วยความจำได้นั้นจะต้องมีการถูกเรียกให้ทำงาน ได้นั้น ยังขึ้นอยู่กับประเภทของไวรัสแต่ละตัว ปกติผู้ใช้มักจะไม่รู้ตัวว่าได้ทำการปลุกคอมพิวเตอร์ไวรัสขึ้นมาทำงาน
จุดประสงค์ของการทำงานของไวรัสแต่ละตัวขึ้นอยู่กับตัวผู้เขียนโปรแกรมไวรัสนั้น เช่น อาจสร้างไวรัสให้ไปทำลายโปรแกรมหรือข้อมูลอื่นๆ ที่อยู่ในเครื่องคอมพิวเตอร์ หรือแสดงข้อความวิ่งไปมาบนหน้าจอ เป็นต้น

การป้องกันไวรัส
• สำรองไฟล์ข้อมูลที่สำคัญ
• สำหรับเครื่องที่มีฮาร์ดดิสก์ อย่าเรียกดอสจากฟลอปปีดิสก์
• ป้องกันการเขียนให้กับฟลอปปีดิสก์
• อย่าเรียกโปรแกรมที่ติดมากับดิสก์อื่น
• เสาะหาโปรแกรมตรวจหาไวรัสที่ใหม่และมากกว่าหนึ่งโปรแกรมจากคนละบริษัท
• เรียกใช้โปรแกรมตรวจหาไวรัสเป็นช่วงๆ
• เรียกใช้โปรแกรมตรวจจับไวรัสแบบเฝ้าดูทุกครั้ง
• เลือกคัดลอกซอฟแวร์เฉพาะที่ถูกตรวจสอบแล้วในบีบีเอส
• สำรองข้อมูลที่สำคัญของฮาร์ดิสก์ไปเก็บในฟลอปปีดิสก์
• เตรียมฟลอปปีดิสก์ที่ไว้สำหรับให้เรียกดอสก์ขึ้นมาทำงานได้
• เืมื่อเครื่องติดไวรัส ให้พยายามหาที่มาของไวรัสนั้น

จรรยาบรรณการใช้ ICT
บัญญัติ10 ประการของผู้ใช้คอมพิวเตอร์
การเข้าถึงระบบคอมพิวเตอร์และข้อมูลก็จะเฉพาะสิทธิ์ที่ตนเองมีในส่วนที่เกี่ยวข้องกับงาน
1. ไม่ใช้คอมพิวเตอร์ทำร้ายผู้อื่น
2. ไม่รบกวนจนงานคอมพิวเตอร์ของผู้อื่น
3. ไม่แอบดูแฟ้มข้อมูลของผู้อื่น
4. ไม่ใช้คอมพิวเตอร์เพื่อลักขโมย
5. ไม่ใช้คอมพิวเตอร์เพื่อเป็นพยานเท็จ
6. ไม่ใช้หรือทำสำเนาซอฟต์แวร์ที่ตนไม่ได้ซื้อสิทธิ์
7. ไม่ใช้คอมพิวเตอร์ของผู้อื่นโดยไม่มีอำนาจหน้าที่
8. ไม่ฉวยเอาทรัพย์ทางปัญญาของผู้อื่นมาเป็นของตน
9. คิดถึงผลต่อเนื่องทางสังคมของโปรแกรมที่เขียน
10. ใช้คอมพิวเตอร์ในทางที่แสดงถึงความใคร่ครวญและเคารพจรรยาวิชาชีพของสมาชิกสมาคมเครื่องจักรกลคอมพิวเตอร์

พรบ.ว่าด้วยการกระทำความผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์
ภูมิ พลอดุลยเดช ป.ร. ให้ไว้ ณ วันที่ ๑๐ มิถุนายน พ.ศ. ๒๕๕๐ เป็นปีที่ ๖๒ ในรัชกาลปัจจุบัน พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช มีพระบรมราชโองการโปรดเกล้า ฯ ให้ประกาศว่า โดยที่เป็นการสมควรมีกฎหมายว่าด้วยการกระทำความผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ จึงทรงพระกรุณาโปรดเกล้า ฯ ให้ตราพระราชบัญญัติขึ้นไว้โดยคำแนะนำและยินยอมของ สภา

พรบ. คอมพิวเตอร์ 2550 ทุกคนที่ใช้คอมพิวเตอร์ต้องรู้
พระ บาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช มีพระบรมราชโองการโปรดเกล้า ฯ ให้ประกาศว่า โดยที่เป็นการสมควรมีกฎหมาย ว่าด้วยการกระทำความผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ จึงทรงพระกรุณาโปรดเกล้า ฯ ให้ตราพระราชบัญญัติขึ้นไว้โดยคำแนะนำและยินยอมของสภานิติบัญญัติแห่งชาติ ดังต่อไปนี้
มาตรา ๑ พระราชบัญญัตินี้เรียกว่า “พระราชบัญญัติว่าด้วยการกระทำความผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ พ.ศ. ๒๕๕๐”

มาตรา ๒ พระราชบัญญัตินี้ให้ใช้บังคับเมื่อพ้นกำหนดสามสิบวันนับแต่วันประกาศในราชกิจจานุเบกษาเป็นต้นไป




นายธนาวุฒิ อินทร์พิทักษ์ รหัสนักศึกษา 55162220109 สาขาเทคโนโลยีวิศวกรรมโยธาและสถาปัตยกรรม

Unknown กล่าวว่า...

ไวรัสคอมพิวเตอร์ คือ ชื่อเรียกสำหรับโปรแกรมประเภทหนึ่งที่มีพฤติกรรมคล้ายๆ กับไวรัสที่เป็นเชื้อโรค ที่สามารถแพร่เชื้อได้และมักทำอันตรายต่อสิ่งมีชีวิตที่มันอาศัยอยู่ แต่ต่างกันตรงที่ว่าคอมพิวเตอร์ไวรัสเป็นแค่เพียงโปรแกรมเท่านั้น ไม่ใช่สิ่งมีชีวิต

การป้องกันไวรัส
1.สำรองไฟล์ข้อมูลที่สำคัญ
2.สำหรับเครื่องที่มีฮาร์ดดิสก์ อย่าเรียกดอสจากฟลอปปีดิสก์
3.ป้องกันการเขียนให้กับฟลอปปีดิสก์
4.อย่าเรียกโปรแกรมที่ติดมากับดิสก์อื่น
5.เสาะหาโปรแกรมตรวจหาไวรัสที่ใหม่และมากกว่าหนึ่งโปรแกรมจากคนละบริษัท
6.เรียกใช้โปรแกรมตรวจหาไวรัสเป็นช่วงๆ
7. เรียกใช้โปรแกรมตรวจจับไวรัสแบบเฝ้าดูทุกครั้ง
8. เลือกคัดลอกซอฟแวร์เฉพาะที่ถูกตรวจสอบแล้วในบีบีเอส
9. สำรองข้อมูลที่สำคัญของฮาร์ดิสก์ไปเก็บในฟลอปปีดิสก์
10. เตรียมฟลอปปีดิสก์ที่ไว้สำหรับให้เรียกดอสก์ขึ้นมาทำงานได้
11. เมื่อเครื่องติดไวรัส ให้พยายามหาที่มาของไวรัสนั้น

จริยธรรมในการใช้ ICT
1.ไม่ใช้คอมพิวเตอร์ทำร้ายผู้อื่น
2.ไม่รบกวนจนงานคอมพิวเตอร์ของผู้อื่น
3. ไม่แอบดูแฟ้มข้อมูลของผู้อื่น
4. ไม่ใช้คอมพิวเตอร์เพื่อลักขโมย
5.ไม่ใช้คอมพิวเตอร์เพื่อเป็นพยานเท็จ
6.ไม่ใช้หรือทำสำเนาซอฟต์แวร์ที่ตนไม่ได้ซื้อสิทธิ์
7.ไม่ใช้คอมพิวเตอร์ของผู้อื่นโดยไม่มีอำนาจหน้าที่
8. ไม่ฉวยเอาทรัพย์ทางปัญญาของผู้อื่นมาเป็นของตน
9. คิดถึงผลต่อเนื่องทางสังคมของโปรแกรมที่เขียน
10. ใช้คอมพิวเตอร์ในทางที่แสดงถึงความใคร่ครวญและเคารพจรรยาวิชาชีพของสมาชิกสมาคมเครื่องจักรกลคอมพิวเตอร์

พรบ.ว่าด้วยการกระทำความผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์
(มาตรา 5 ) แฮกเกอร์ที่เจาะเข้าระบบคอมพิวเตอร์ที่มีมาตรการป้องกันการเข้าถึง จำคุกไม่เกินหกเดือนหรือปรับไม่เกินหนึ่งหมื่นบาทหรือทั้งจำทั้งปรับ
(มาตรา 7) แฮกเกอร์ที่เจาะเข้าระบบและได้เข้าไปดูข้อมูลของผู้อื่นจำคุกไม่เกินสองปีหรือปรับไม่เกินสี่หมื่นบาทหรือทั้งจำทั้งปรับ
(มาตรา 8) ผู้ที่ชอบดักรับข้อมูลของผู้อื่นระหว่างการส่งข้อมูลในระบบคอมพิวเตอร์ จำคุกไม่เกินสามปีหรือปรับไม่เกินหกหมื่นบาทหรือทั้งจำทั้งปรับ
(มาตรา 9,10 และ 12) ผู้ที่ทำการปลอมแปลง ทำลาย แก้ไขข้อมูลคอมพิวเตอร์ของผู้อื่น หรือทำการใดๆ ที่ไประงับ ชะลอ ขัดขวาง หรือรบกวนการทำงานระบบคอมพิวเตอร์ของผู้อื่น จำคุกสูงสุดยี่สิบปี
(มาตรา 11 ) ผู้ที่ส่งอีเมล์ปกปิดหรือปลอมแปลงแหล่งที่มา เช่น สแปมเมล์ (spam mail ) ทำให้รบกวนการใช้งานระบบคอมพิวเตอร์ของผู้อื่น ปรับไม่เกินหนึ่งแสนบาท
(มาตรา 14) ผู้ที่นำเข้าข้อมูลที่ไม่เหมาะสมเข้าไปในระบบคอมพิวเตอร์ซึ่งคนอื่นสามารถเข้าไปดูข้อมูลนั้นได้ เช่นข้อมูลอันเป็นเท็จที่ส่งผลกระทบต่อความมั่นคงของประเทศ ก่อให้เกิดความตื่นตระหนกแก่ประชาชน หรือทำให้ผู้อื่นเสียหาย ข้อมูลความผิดเกี่ยวกับการก่อการร้าย ข้อมูลลามกอนาจาร หรือผู้ที่เผยแพร่หรือส่งต่อข้อมูลเหล่านี้ ไม่ว่าจะเป็นทางเครื่องคอมพิวเตอร์ พีดีเอ โทรศัพท์มือถือ หรือระบบคอมพิวเตอร์อื่นๆ จำคุกไม่เกินห้าปีหรือปรับไม่เกินหนึ่งแสนบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ
(มาตรา 16) ผู้ที่นำเข้าภาพตัดต่อ ภาพดัดแปลงด้วยวิธีการใดๆ ของบุคคลอื่นเข้าไปในระบบคอมพิวเตอร์โดยมีเจตนาให้ผู้นั้นเสียชื่อเสียง ถูกดูหมิ่น ถูกเกลียดชัง หรือได้รับความอับอาย จำคุกไม่เกินสามปี หรือปรับไม่เกินหกหมื่นบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ
(มาตรา 26) ผู้ให้บริการ เช่น อินเตอร์เน็ตคาเฟ่ ผู้ให้บริการสัญญาณอินเตอร์เน็ต กลุ่มผู้ประกอบการอีคอมเมิร์ช รวมถึงมหาวิทยาลัย ต้องเก็บข้อมูลการเข้าใช้งานระบบคอมพิวเตอร์ของผู้ใช้บริการไม่น้อยกว่าเก้าสิบวัน เพื่อใช้ติดตามผู้กระทำความผิดมาลงโทษ หากผู้ให้บริการไม่ปฏิบัติตามนี้ ปรับสูงสุดถึงห้าแสนบาท

นายธนาวุฒิ อินทร์พิทักษ์ รหัส55162220109 เทคโนโลยีวิศวกรรมโยธาและสถาปัตยกรรม

Unknown กล่าวว่า...

ไวรัสคอมพิวเตอร์ คือ
ไวรัส คือ โปรแกรมชนิดหนึ่งที่มีความสามารถในการสำเนาตัวเองเข้าไปติดอยู่ในระบบคอมพิวเตอร์ได้ และถ้ามีโอกาสก็สามารถแทรกเข้าไประบาดในระบบคอมพิวเตอร์อื่นๆ ซึ่งอาจเกิดจากการนำเอาดิสก์ที่ติดไวรัสจากเครื่องหนึ่งไปใช้อีกเครื่องหนึ่ง หรืออาจผ่านระบบเครือข่ายหรือระบบสื่อสารข้อมูล ไวรัสก็อาจแพร่ระบาดได้เช่นกัน
การป้องกันไวรัสคอมพิวเตอร์
7 ขั้นตอนในการช่วยป้องกันคุณไม่ให้ติดไวรัสคอมพิวเตอร์
1. ใช้โปรแกรมป้องกันไวรัส
2. ใช้โปรแกรมป้องกันไวรัสที่เหมาะกับตัวเอง
3. ติดตั้งโปรแกรมป้องกันไวรัสให้เป็น
4. อัพเดตฐานข้อมูลไวรัส (Definition) อยู่เสมอ
5. เปลี่ยนเวอร์ชันใหม่ทันทีที่มีโอกาส
6. อย่ารับไฟล์แปลกหน้า และติดตามข่าวสารอยู่เสมอ
7. ติดไวรัสแล้วอย่ากลัว
จรรยาบรรณการใช้ ICT
จริยธรรม (Ethics) เป็นเรื่องของการกำหนดความถูกต้องดีงามสิ่งที่ไม่ควรทำมีหลักปฏิบัติในระดับที่สูงกว่ามารยาทในสังคม
บัญญัติ10 ประการของผู้ใช้คอมพิวเตอร์
การเข้าถึงระบบคอมพิวเตอร์และข้อมูลก็จะเฉพาะสิทธิ์ที่ตนเองมีในส่วนที่เกี่ยวข้องกับงาน
1. ไม่ใช้คอมพิวเตอร์ทำร้ายผู้อื่น
2. ไม่รบกวนจนงานคอมพิวเตอร์ของผู้อื่น
3. ไม่แอบดูแฟ้มข้อมูลของผู้อื่น
4. ไม่ใช้คอมพิวเตอร์เพื่อลักขโมย
5. ไม่ใช้คอมพิวเตอร์เพื่อเป็นพยานเท็จ
6. ไม่ใช้หรือทำสำเนาซอฟต์แวร์ที่ตนไม่ได้ซื้อสิทธิ์
7. ไม่ใช้คอมพิวเตอร์ของผู้อื่นโดยไม่มีอำนาจหน้าที่
8. ไม่ฉวยเอาทรัพย์ทางปัญญาของผู้อื่นมาเป็นของตน
9. คิดถึงผลต่อเนื่องทางสังคมของโปรแกรมที่เขียน
10. ใช้คอมพิวเตอร์ในทางที่แสดงถึงความใคร่ครวญและเคารพจรรยาวิชาชีพของสมาชิกสมาคมเครื่องจักรกลคอมพิวเตอร์
พรบ.ว่าด้วยการกระทำความผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์
พระราชบัญญัติ
ว่าด้วยการกระทำความผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์
พ.ศ. ๒๕๕๐
ภูมิพลอดุลยเดช ป.ร.
ให้ไว้ ณ วันที่ ๑๐ มิถุนายน พ.ศ. ๒๕๕๐
เป็นปีที่ ๖๒ ในรัชกาลปัจจุบัน
พระราชบัญญัติ ว่าด้วยการกระทําความผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ พ.ศ. 2550
พ.ร.บ.ฉบับนี้ประกาศในพระราชกิจจานุเบกษา เมื่อวันที่ 18 มิ.ย 2550 และมีผลบังคับใช้ ตั้งแต่วันที่ 18 ก.ค. 2550 ป็นต้นไป
ความผิดที่เข้าข่ายตาม พ.ร.บ ฉบับนี้
- การเข้าถึงระบบคอมพิวเตอร์ของผู้อื่นโดยมิชอบ
- การเปิดเผยข้อมูลมาตรการป้องกันการเข้าถึงระบบคอมพิวเตอร์ที่ผู้อื่นจัดทำขึ้นเป็นการเฉพาะ
- การดักรับข้อมูลคอมพิวเตอร์ของผู้อื่น
- การทำให้เสียหาย ทำลาย แก้ไข เปลี่ยนแปลงข้อมูลโดยมิชอบ
- การกระทำเพื่อใหการทำงานของระบบคอมพิวเตอร์ของผู้อื่นไม่สามารถทำงานได้ตามปกติ
- การส่งข้อมูลรบกวนการใช้ระบบคอมพิวเตอร์ของผู้อื่น
- การจำหน่ายชุดคำสั่งที่จัดทำขึ้นเพื่อนำไปเป็นเครื่องมือในการกระทำผิด
- การใช้ระบบคอมพิวเตอร์ทำความผิดอื่น
- การตกแต่งข้อมูลคอมพิวเตอร์ที่เป็นภาพของบุคคล


นางสาวศิริกาญจน์ ปัจฉิมานนท์ 54191700231 คบ.อุตสาหกรรมศิลป์ หมู่2

Unknown กล่าวว่า...

ไวรัสคอมพิวเตอร์ คือ ชื่อเรียกสำหรับโปรแกรมประเภทหนึ่งที่มีพฤติกรรมคล้ายๆ กับไวรัสที่เป็นเชื้อโรค ที่สามารถแพร่เชื้อได้และมักทำอันตรายต่อสิ่งมีชีวิตที่มันอาศัยอยู่ แต่ต่างกันตรงที่ว่าคอมพิวเตอร์ไวรัสเป็นแค่เพียงโปรแกรมเท่านั้น ไม่ใช่สิ่งมีชีวิต

การป้องกันไวรัส
1.สำรองไฟล์ข้อมูลที่สำคัญ
2.สำหรับเครื่องที่มีฮาร์ดดิสก์ อย่าเรียกดอสจากฟลอปปีดิสก์
3.ป้องกันการเขียนให้กับฟลอปปีดิสก์
4.อย่าเรียกโปรแกรมที่ติดมากับดิสก์อื่น
5.เสาะหาโปรแกรมตรวจหาไวรัสที่ใหม่และมากกว่าหนึ่งโปรแกรมจากคนละบริษัท
6.เรียกใช้โปรแกรมตรวจหาไวรัสเป็นช่วงๆ
7. เรียกใช้โปรแกรมตรวจจับไวรัสแบบเฝ้าดูทุกครั้ง
8. เลือกคัดลอกซอฟแวร์เฉพาะที่ถูกตรวจสอบแล้วในบีบีเอส
9. สำรองข้อมูลที่สำคัญของฮาร์ดิสก์ไปเก็บในฟลอปปีดิสก์
10. เตรียมฟลอปปีดิสก์ที่ไว้สำหรับให้เรียกดอสก์ขึ้นมาทำงานได้
11. เมื่อเครื่องติดไวรัส ให้พยายามหาที่มาของไวรัสนั้น

จริยธรรมในการใช้ ICT
1.ไม่ใช้คอมพิวเตอร์ทำร้ายผู้อื่น
2.ไม่รบกวนจนงานคอมพิวเตอร์ของผู้อื่น
3. ไม่แอบดูแฟ้มข้อมูลของผู้อื่น
4. ไม่ใช้คอมพิวเตอร์เพื่อลักขโมย
5.ไม่ใช้คอมพิวเตอร์เพื่อเป็นพยานเท็จ
6.ไม่ใช้หรือทำสำเนาซอฟต์แวร์ที่ตนไม่ได้ซื้อสิทธิ์
7.ไม่ใช้คอมพิวเตอร์ของผู้อื่นโดยไม่มีอำนาจหน้าที่
8. ไม่ฉวยเอาทรัพย์ทางปัญญาของผู้อื่นมาเป็นของตน
9. คิดถึงผลต่อเนื่องทางสังคมของโปรแกรมที่เขียน
10. ใช้คอมพิวเตอร์ในทางที่แสดงถึงความใคร่ครวญและเคารพจรรยาวิชาชีพของสมาชิกสมาคมเครื่องจักรกลคอมพิวเตอร์

พรบ.ว่าด้วยการกระทำความผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์
(มาตรา 5 ) แฮกเกอร์ที่เจาะเข้าระบบคอมพิวเตอร์ที่มีมาตรการป้องกันการเข้าถึง จำคุกไม่เกินหกเดือนหรือปรับไม่เกินหนึ่งหมื่นบาทหรือทั้งจำทั้งปรับ
(มาตรา 7) แฮกเกอร์ที่เจาะเข้าระบบและได้เข้าไปดูข้อมูลของผู้อื่นจำคุกไม่เกินสองปีหรือปรับไม่เกินสี่หมื่นบาทหรือทั้งจำทั้งปรับ
(มาตรา 8) ผู้ที่ชอบดักรับข้อมูลของผู้อื่นระหว่างการส่งข้อมูลในระบบคอมพิวเตอร์ จำคุกไม่เกินสามปีหรือปรับไม่เกินหกหมื่นบาทหรือทั้งจำทั้งปรับ
(มาตรา 9,10 และ 12) ผู้ที่ทำการปลอมแปลง ทำลาย แก้ไขข้อมูลคอมพิวเตอร์ของผู้อื่น หรือทำการใดๆ ที่ไประงับ ชะลอ ขัดขวาง หรือรบกวนการทำงานระบบคอมพิวเตอร์ของผู้อื่น จำคุกสูงสุดยี่สิบปี
(มาตรา 11 ) ผู้ที่ส่งอีเมล์ปกปิดหรือปลอมแปลงแหล่งที่มา เช่น สแปมเมล์ (spam mail ) ทำให้รบกวนการใช้งานระบบคอมพิวเตอร์ของผู้อื่น ปรับไม่เกินหนึ่งแสนบาท
(มาตรา 14) ผู้ที่นำเข้าข้อมูลที่ไม่เหมาะสมเข้าไปในระบบคอมพิวเตอร์ซึ่งคนอื่นสามารถ เข้าไปดูข้อมูลนั้นได้ เช่นข้อมูลอันเป็นเท็จที่ส่งผลกระทบต่อความมั่นคงของประเทศ ก่อให้เกิดความตื่นตระหนกแก่ประชาชน หรือทำให้ผู้อื่นเสียหาย ข้อมูลความผิดเกี่ยวกับการก่อการร้าย ข้อมูลลามกอนาจาร หรือผู้ที่เผยแพร่หรือส่งต่อข้อมูลเหล่านี้ ไม่ว่าจะเป็นทางเครื่องคอมพิวเตอร์ พีดีเอ โทรศัพท์มือถือ หรือระบบคอมพิวเตอร์อื่นๆ จำคุกไม่เกินห้าปีหรือปรับไม่เกินหนึ่งแสนบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ
(มาตรา 16) ผู้ที่นำเข้าภาพตัดต่อ ภาพดัดแปลงด้วยวิธีการใดๆ ของบุคคลอื่นเข้าไปในระบบคอมพิวเตอร์โดยมีเจตนาให้ผู้นั้นเสียชื่อเสียง ถูกดูหมิ่น ถูกเกลียดชัง หรือได้รับความอับอาย จำคุกไม่เกินสามปี หรือปรับไม่เกินหกหมื่นบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ
(มาตรา 26) ผู้ให้บริการ เช่น อินเตอร์เน็ตคาเฟ่ ผู้ให้บริการสัญญาณอินเตอร์เน็ต กลุ่มผู้ประกอบการอีคอมเมิร์ช รวมถึงมหาวิทยาลัย ต้องเก็บข้อมูลการเข้าใช้งานระบบคอมพิวเตอร์ของผู้ใช้บริการไม่น้อยกว่าเก้า สิบวัน เพื่อใช้ติดตามผู้กระทำความผิดมาลงโทษ หากผู้ให้บริการไม่ปฏิบัติตามนี้ ปรับสูงสุดถึงห้าแสนบาท

นางสาวพูนทรัพย์ ไกรเพชร
55191600206 สาขาวิชาคหกรรมศาสตร

ไม่ระบุชื่อ กล่าวว่า...

วรัสคอมพิวเตอร์ คือ ชื่อเรียกสำหรับโปรแกรมประเภทหนึ่งที่มีพฤติกรรมคล้ายๆ กับไวรัสที่เป็นเชื้อโรค ที่สามารถแพร่เชื้อได้และมักทำอันตรายต่อสิ่งมีชีวิตที่มันอาศัยอยู่ แต่ต่างกันตรงที่ว่าคอมพิวเตอร์ไวรัสเป็นแค่เพียงโปรแกรมเท่านั้น ไม่ใช่สิ่งมีชีวิต

การป้องกันไวรัส
1.สำรองไฟล์ข้อมูลที่สำคัญ
2.สำหรับเครื่องที่มีฮาร์ดดิสก์ อย่าเรียกดอสจากฟลอปปีดิสก์
3.ป้องกันการเขียนให้กับฟลอปปีดิสก์
4.อย่าเรียกโปรแกรมที่ติดมากับดิสก์อื่น
5.เสาะหาโปรแกรมตรวจหาไวรัสที่ใหม่และมากกว่าหนึ่งโปรแกรมจากคนละบริษัท
6.เรียกใช้โปรแกรมตรวจหาไวรัสเป็นช่วงๆ
7. เรียกใช้โปรแกรมตรวจจับไวรัสแบบเฝ้าดูทุกครั้ง
8. เลือกคัดลอกซอฟแวร์เฉพาะที่ถูกตรวจสอบแล้วในบีบีเอส
9. สำรองข้อมูลที่สำคัญของฮาร์ดิสก์ไปเก็บในฟลอปปีดิสก์
10. เตรียมฟลอปปีดิสก์ที่ไว้สำหรับให้เรียกดอสก์ขึ้นมาทำงานได้
11. เมื่อเครื่องติดไวรัส ให้พยายามหาที่มาของไวรัสนั้น

จริยธรรมในการใช้ ICT
1.ไม่ใช้คอมพิวเตอร์ทำร้ายผู้อื่น
2.ไม่รบกวนจนงานคอมพิวเตอร์ของผู้อื่น
3. ไม่แอบดูแฟ้มข้อมูลของผู้อื่น
4. ไม่ใช้คอมพิวเตอร์เพื่อลักขโมย
5.ไม่ใช้คอมพิวเตอร์เพื่อเป็นพยานเท็จ
6.ไม่ใช้หรือทำสำเนาซอฟต์แวร์ที่ตนไม่ได้ซื้อสิทธิ์
7.ไม่ใช้คอมพิวเตอร์ของผู้อื่นโดยไม่มีอำนาจหน้าที่
8. ไม่ฉวยเอาทรัพย์ทางปัญญาของผู้อื่นมาเป็นของตน
9. คิดถึงผลต่อเนื่องทางสังคมของโปรแกรมที่เขียน
10. ใช้คอมพิวเตอร์ในทางที่แสดงถึงความใคร่ครวญและเคารพจรรยาวิชาชีพของสมาชิกสมาคมเครื่องจักรกลคอมพิวเตอร์

พรบ.ว่าด้วยการกระทำความผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์
(มาตรา 5 ) แฮกเกอร์ที่เจาะเข้าระบบคอมพิวเตอร์ที่มีมาตรการป้องกันการเข้าถึง จำคุกไม่เกินหกเดือนหรือปรับไม่เกินหนึ่งหมื่นบาทหรือทั้งจำทั้งปรับ
(มาตรา 7) แฮกเกอร์ที่เจาะเข้าระบบและได้เข้าไปดูข้อมูลของผู้อื่นจำคุกไม่เกินสองปีหรือปรับไม่เกินสี่หมื่นบาทหรือทั้งจำทั้งปรับ
(มาตรา 8) ผู้ที่ชอบดักรับข้อมูลของผู้อื่นระหว่างการส่งข้อมูลในระบบคอมพิวเตอร์ จำคุกไม่เกินสามปีหรือปรับไม่เกินหกหมื่นบาทหรือทั้งจำทั้งปรับ
(มาตรา 9,10 และ 12) ผู้ที่ทำการปลอมแปลง ทำลาย แก้ไขข้อมูลคอมพิวเตอร์ของผู้อื่น หรือทำการใดๆ ที่ไประงับ ชะลอ ขัดขวาง หรือรบกวนการทำงานระบบคอมพิวเตอร์ของผู้อื่น จำคุกสูงสุดยี่สิบปี
(มาตรา 11 ) ผู้ที่ส่งอีเมล์ปกปิดหรือปลอมแปลงแหล่งที่มา เช่น สแปมเมล์ (spam mail ) ทำให้รบกวนการใช้งานระบบคอมพิวเตอร์ของผู้อื่น ปรับไม่เกินหนึ่งแสนบาท
(มาตรา 14) ผู้ที่นำเข้าข้อมูลที่ไม่เหมาะสมเข้าไปในระบบคอมพิวเตอร์ซึ่งคนอื่นสามารถเข้าไปดูข้อมูลนั้นได้ เช่นข้อมูลอันเป็นเท็จที่ส่งผลกระทบต่อความมั่นคงของประเทศ ก่อให้เกิดความตื่นตระหนกแก่ประชาชน หรือทำให้ผู้อื่นเสียหาย ข้อมูลความผิดเกี่ยวกับการก่อการร้าย ข้อมูลลามกอนาจาร หรือผู้ที่เผยแพร่หรือส่งต่อข้อมูลเหล่านี้ ไม่ว่าจะเป็นทางเครื่องคอมพิวเตอร์ พีดีเอ โทรศัพท์มือถือ หรือระบบคอมพิวเตอร์อื่นๆ จำคุกไม่เกินห้าปีหรือปรับไม่เกินหนึ่งแสนบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ
(มาตรา 16) ผู้ที่นำเข้าภาพตัดต่อ ภาพดัดแปลงด้วยวิธีการใดๆ ของบุคคลอื่นเข้าไปในระบบคอมพิวเตอร์โดยมีเจตนาให้ผู้นั้นเสียชื่อเสียง ถูกดูหมิ่น ถูกเกลียดชัง หรือได้รับความอับอาย จำคุกไม่เกินสามปี หรือปรับไม่เกินหกหมื่นบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ
(มาตรา 26) ผู้ให้บริการ เช่น อินเตอร์เน็ตคาเฟ่ ผู้ให้บริการสัญญาณอินเตอร์เน็ต กลุ่มผู้ประกอบการอีคอมเมิร์ช รวมถึงมหาวิทยาลัย ต้องเก็บข้อมูลการเข้าใช้งานระบบคอมพิวเตอร์ของผู้ใช้บริการไม่น้อยกว่าเก้าสิบวัน เพื่อใช้ติดตามผู้กระทำความผิดมาลงโทษ หากผู้ให้บริการไม่ปฏิบัติตามนี้ ปรับสูงสุดถึงห้าแสนบาท

นายวิริยะ พรหมวันดี สาขาภาษาไทย
ระดับ ค.บ. 5/2 55191010147

Unknown กล่าวว่า...

ไวรัสคอมพิวเตอร์ คือ ชื่อเรียกสำหรับโปรแกรมประเภทหนึ่งที่มีพฤติกรรมคล้ายๆ กับไวรัสที่เป็นเชื้อโรค ที่สามารถแพร่เชื้อได้และมักทำอันตรายต่อสิ่งมีชีวิตที่มันอาศัยอยู่ แต่ต่างกันตรงที่ว่าคอมพิวเตอร์ไวรัสเป็นแค่เพียงโปรแกรมเท่านั้น ไม่ใช่สิ่งมีชีวิต

การป้องกันไวรัส
1.สำรองไฟล์ข้อมูลที่สำคัญ
2.สำหรับเครื่องที่มีฮาร์ดดิสก์ อย่าเรียกดอสจากฟลอปปีดิสก์
3.ป้องกันการเขียนให้กับฟลอปปีดิสก์
4.อย่าเรียกโปรแกรมที่ติดมากับดิสก์อื่น
5.เสาะหาโปรแกรมตรวจหาไวรัสที่ใหม่และมากกว่าหนึ่งโปรแกรมจากคนละบริษัท
6.เรียกใช้โปรแกรมตรวจหาไวรัสเป็นช่วงๆ
7. เรียกใช้โปรแกรมตรวจจับไวรัสแบบเฝ้าดูทุกครั้ง
8. เลือกคัดลอกซอฟแวร์เฉพาะที่ถูกตรวจสอบแล้วในบีบีเอส
9. สำรองข้อมูลที่สำคัญของฮาร์ดิสก์ไปเก็บในฟลอปปีดิสก์
10. เตรียมฟลอปปีดิสก์ที่ไว้สำหรับให้เรียกดอสก์ขึ้นมาทำงานได้
11. เมื่อเครื่องติดไวรัส ให้พยายามหาที่มาของไวรัสนั้น

จริยธรรมในการใช้ ICT
1.ไม่ใช้คอมพิวเตอร์ทำร้ายผู้อื่น
2.ไม่รบกวนจนงานคอมพิวเตอร์ของผู้อื่น
3. ไม่แอบดูแฟ้มข้อมูลของผู้อื่น
4. ไม่ใช้คอมพิวเตอร์เพื่อลักขโมย
5.ไม่ใช้คอมพิวเตอร์เพื่อเป็นพยานเท็จ
6.ไม่ใช้หรือทำสำเนาซอฟต์แวร์ที่ตนไม่ได้ซื้อสิทธิ์
7.ไม่ใช้คอมพิวเตอร์ของผู้อื่นโดยไม่มีอำนาจหน้าที่
8. ไม่ฉวยเอาทรัพย์ทางปัญญาของผู้อื่นมาเป็นของตน
9. คิดถึงผลต่อเนื่องทางสังคมของโปรแกรมที่เขียน
10. ใช้คอมพิวเตอร์ในทางที่แสดงถึงความใคร่ครวญและเคารพจรรยาวิชาชีพของสมาชิกสมาคมเครื่องจักรกลคอมพิวเตอร์

พรบ.ว่าด้วยการกระทำความผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์
(มาตรา 5 ) แฮกเกอร์ที่เจาะเข้าระบบคอมพิวเตอร์ที่มีมาตรการป้องกันการเข้าถึง จำคุกไม่เกินหกเดือนหรือปรับไม่เกินหนึ่งหมื่นบาทหรือทั้งจำทั้งปรับ
(มาตรา 7) แฮกเกอร์ที่เจาะเข้าระบบและได้เข้าไปดูข้อมูลของผู้อื่นจำคุกไม่เกินสองปีหรือปรับไม่เกินสี่หมื่นบาทหรือทั้งจำทั้งปรับ
(มาตรา 8) ผู้ที่ชอบดักรับข้อมูลของผู้อื่นระหว่างการส่งข้อมูลในระบบคอมพิวเตอร์ จำคุกไม่เกินสามปีหรือปรับไม่เกินหกหมื่นบาทหรือทั้งจำทั้งปรับ
(มาตรา 9,10 และ 12) ผู้ที่ทำการปลอมแปลง ทำลาย แก้ไขข้อมูลคอมพิวเตอร์ของผู้อื่น หรือทำการใดๆ ที่ไประงับ ชะลอ ขัดขวาง หรือรบกวนการทำงานระบบคอมพิวเตอร์ของผู้อื่น จำคุกสูงสุดยี่สิบปี
(มาตรา 11 ) ผู้ที่ส่งอีเมล์ปกปิดหรือปลอมแปลงแหล่งที่มา เช่น สแปมเมล์ (spam mail ) ทำให้รบกวนการใช้งานระบบคอมพิวเตอร์ของผู้อื่น ปรับไม่เกินหนึ่งแสนบาท
(มาตรา 14) ผู้ที่นำเข้าข้อมูลที่ไม่เหมาะสมเข้าไปในระบบคอมพิวเตอร์ซึ่งคนอื่นสามารถเข้าไปดูข้อมูลนั้นได้ เช่นข้อมูลอันเป็นเท็จที่ส่งผลกระทบต่อความมั่นคงของประเทศ ก่อให้เกิดความตื่นตระหนกแก่ประชาชน หรือทำให้ผู้อื่นเสียหาย ข้อมูลความผิดเกี่ยวกับการก่อการร้าย ข้อมูลลามกอนาจาร หรือผู้ที่เผยแพร่หรือส่งต่อข้อมูลเหล่านี้ ไม่ว่าจะเป็นทางเครื่องคอมพิวเตอร์ พีดีเอ โทรศัพท์มือถือ หรือระบบคอมพิวเตอร์อื่นๆ จำคุกไม่เกินห้าปีหรือปรับไม่เกินหนึ่งแสนบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ
(มาตรา 16) ผู้ที่นำเข้าภาพตัดต่อ ภาพดัดแปลงด้วยวิธีการใดๆ ของบุคคลอื่นเข้าไปในระบบคอมพิวเตอร์โดยมีเจตนาให้ผู้นั้นเสียชื่อเสียง ถูกดูหมิ่น ถูกเกลียดชัง หรือได้รับความอับอาย จำคุกไม่เกินสามปี หรือปรับไม่เกินหกหมื่นบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ
(มาตรา 26) ผู้ให้บริการ เช่น อินเตอร์เน็ตคาเฟ่ ผู้ให้บริการสัญญาณอินเตอร์เน็ต กลุ่มผู้ประกอบการอีคอมเมิร์ช รวมถึงมหาวิทยาลัย ต้องเก็บข้อมูลการเข้าใช้งานระบบคอมพิวเตอร์ของผู้ใช้บริการไม่น้อยกว่าเก้าสิบวัน เพื่อใช้ติดตามผู้กระทำความผิดมาลงโทษ หากผู้ให้บริการไม่ปฏิบัติตามนี้ ปรับสูงสุดถึงห้าแสนบาท

นางสาวภรณ์ทิพย์ อินทร์เพ็ง 55191600207
สาขาคหกรรมศาสตร์ คบ.5/2

Unknown กล่าวว่า...

ไวรัสคอมพิวเตอร์ คือ ชื่อเรียกสำหรับโปรแกรมประเภทหนึ่งที่มีพฤติกรรมคล้ายๆ กับไวรัสที่เป็นเชื้อโรค ที่สามารถแพร่เชื้อได้และมักทำอันตรายต่อสิ่งมีชีวิตที่มันอาศัยอยู่ แต่ต่างกันตรงที่ว่าคอมพิวเตอร์ไวรัสเป็นแค่เพียงโปรแกรมเท่านั้น ไม่ใช่สิ่งมีชีวิต

การป้องกันไวรัส
1.สำรองไฟล์ข้อมูลที่สำคัญ
2.สำหรับเครื่องที่มีฮาร์ดดิสก์ อย่าเรียกดอสจากฟลอปปีดิสก์
3.ป้องกันการเขียนให้กับฟลอปปีดิสก์
4.อย่าเรียกโปรแกรมที่ติดมากับดิสก์อื่น
5.เสาะหาโปรแกรมตรวจหาไวรัสที่ใหม่และมากกว่าหนึ่งโปรแกรมจากคนละบริษัท
6.เรียกใช้โปรแกรมตรวจหาไวรัสเป็นช่วงๆ
7. เรียกใช้โปรแกรมตรวจจับไวรัสแบบเฝ้าดูทุกครั้ง
8. เลือกคัดลอกซอฟแวร์เฉพาะที่ถูกตรวจสอบแล้วในบีบีเอส
9. สำรองข้อมูลที่สำคัญของฮาร์ดิสก์ไปเก็บในฟลอปปีดิสก์
10. เตรียมฟลอปปีดิสก์ที่ไว้สำหรับให้เรียกดอสก์ขึ้นมาทำงานได้
11. เมื่อเครื่องติดไวรัส ให้พยายามหาที่มาของไวรัสนั้น

จริยธรรมในการใช้ ICT
1.ไม่ใช้คอมพิวเตอร์ทำร้ายผู้อื่น
2.ไม่รบกวนจนงานคอมพิวเตอร์ของผู้อื่น
3. ไม่แอบดูแฟ้มข้อมูลของผู้อื่น
4. ไม่ใช้คอมพิวเตอร์เพื่อลักขโมย
5.ไม่ใช้คอมพิวเตอร์เพื่อเป็นพยานเท็จ
6.ไม่ใช้หรือทำสำเนาซอฟต์แวร์ที่ตนไม่ได้ซื้อสิทธิ์
7.ไม่ใช้คอมพิวเตอร์ของผู้อื่นโดยไม่มีอำนาจหน้าที่
8. ไม่ฉวยเอาทรัพย์ทางปัญญาของผู้อื่นมาเป็นของตน
9. คิดถึงผลต่อเนื่องทางสังคมของโปรแกรมที่เขียน
10. ใช้คอมพิวเตอร์ในทางที่แสดงถึงความใคร่ครวญและเคารพจรรยาวิชาชีพของสมาชิกสมาคมเครื่องจักรกลคอมพิวเตอร์

พรบ.ว่าด้วยการกระทำความผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์
(มาตรา 5 ) แฮกเกอร์ที่เจาะเข้าระบบคอมพิวเตอร์ที่มีมาตรการป้องกันการเข้าถึง จำคุกไม่เกินหกเดือนหรือปรับไม่เกินหนึ่งหมื่นบาทหรือทั้งจำทั้งปรับ
(มาตรา 7) แฮกเกอร์ที่เจาะเข้าระบบและได้เข้าไปดูข้อมูลของผู้อื่นจำคุกไม่เกินสองปีหรือปรับไม่เกินสี่หมื่นบาทหรือทั้งจำทั้งปรับ
(มาตรา 8) ผู้ที่ชอบดักรับข้อมูลของผู้อื่นระหว่างการส่งข้อมูลในระบบคอมพิวเตอร์ จำคุกไม่เกินสามปีหรือปรับไม่เกินหกหมื่นบาทหรือทั้งจำทั้งปรับ
(มาตรา 9,10 และ 12) ผู้ที่ทำการปลอมแปลง ทำลาย แก้ไขข้อมูลคอมพิวเตอร์ของผู้อื่น หรือทำการใดๆ ที่ไประงับ ชะลอ ขัดขวาง หรือรบกวนการทำงานระบบคอมพิวเตอร์ของผู้อื่น จำคุกสูงสุดยี่สิบปี
(มาตรา 11 ) ผู้ที่ส่งอีเมล์ปกปิดหรือปลอมแปลงแหล่งที่มา เช่น สแปมเมล์ (spam mail ) ทำให้รบกวนการใช้งานระบบคอมพิวเตอร์ของผู้อื่น ปรับไม่เกินหนึ่งแสนบาท
(มาตรา 14) ผู้ที่นำเข้าข้อมูลที่ไม่เหมาะสมเข้าไปในระบบคอมพิวเตอร์ซึ่งคนอื่นสามารถเข้าไปดูข้อมูลนั้นได้ เช่นข้อมูลอันเป็นเท็จที่ส่งผลกระทบต่อความมั่นคงของประเทศ ก่อให้เกิดความตื่นตระหนกแก่ประชาชน หรือทำให้ผู้อื่นเสียหาย ข้อมูลความผิดเกี่ยวกับการก่อการร้าย ข้อมูลลามกอนาจาร หรือผู้ที่เผยแพร่หรือส่งต่อข้อมูลเหล่านี้ ไม่ว่าจะเป็นทางเครื่องคอมพิวเตอร์ พีดีเอ โทรศัพท์มือถือ หรือระบบคอมพิวเตอร์อื่นๆ จำคุกไม่เกินห้าปีหรือปรับไม่เกินหนึ่งแสนบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ
(มาตรา 16) ผู้ที่นำเข้าภาพตัดต่อ ภาพดัดแปลงด้วยวิธีการใดๆ ของบุคคลอื่นเข้าไปในระบบคอมพิวเตอร์โดยมีเจตนาให้ผู้นั้นเสียชื่อเสียง ถูกดูหมิ่น ถูกเกลียดชัง หรือได้รับความอับอาย จำคุกไม่เกินสามปี หรือปรับไม่เกินหกหมื่นบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ
(มาตรา 26) ผู้ให้บริการ เช่น อินเตอร์เน็ตคาเฟ่ ผู้ให้บริการสัญญาณอินเตอร์เน็ต กลุ่มผู้ประกอบการอีคอมเมิร์ช รวมถึงมหาวิทยาลัย ต้องเก็บข้อมูลการเข้าใช้งานระบบคอมพิวเตอร์ของผู้ใช้บริการไม่น้อยกว่าเก้าสิบวัน เพื่อใช้ติดตามผู้กระทำความผิดมาลงโทษ หากผู้ให้บริการไม่ปฏิบัติตามนี้ ปรับสูงสุดถึงห้าแสนบาท

นาสาวภรณ์ทิพย์ อินทร์เพ็ง 55191600207
สาขาคหกรรมศาสตร์ คบ. 5/2

Unknown กล่าวว่า...


ไวรัส
คือ โปรแกรมชนิดหนึ่งที่มีความสามารถในการสำเนาตัวเองเข้าไปติดอยู่ในระบบคอมพิวเตอร์ได้ และถ้ามีโอกาสก็สามารถแทรกเข้าไประบาดในระบบคอมพิวเตอร์อื่นๆ ซึ่งอาจเกิดจากการนำเอาดิสก์ที่ติดไวรัสจากเครื่องหนึ่งไปใช้อีกเครื่องหนึ่ง หรืออาจผ่านระบบเครือข่ายหรือระบบสื่อสารข้อมูล ไวรัสก็อาจแพร่ระบาดได้เช่นกัน
การที่คอมพิวเตอร์ใดติดไวรัส หมายถึงว่าไวรัสได้เข้าไปฝังตัวอยู่ในหน่วยความจำคอมพิวเตอร์เรียบร้อยแล้ว เนื่องจากไวรัสก็เป็นแค่โปรแกรมๆ หนึ่ง การที่ไวรัสจะเข้าไปอยู่ในหน่วยความจำได้นั้นจะต้องมีการถูกเรียกให้ทำงาน ได้นั้น ยังขึ้นอยู่กับประเภทของไวรัสแต่ละตัว ปกติผู้ใช้มักจะไม่รู้ตัวว่าได้ทำการปลุกคอมพิวเตอร์ไวรัสขึ้นมาทำงาน
จุดประสงค์ของการทำงานของไวรัสแต่ละตัวขึ้นอยู่กับตัวผู้เขียนโปรแกรมไวรัสนั้น เช่น อาจสร้างไวรัสให้ไปทำลายโปรแกรมหรือข้อมูลอื่นๆ ที่อยู่ในเครื่องคอมพิวเตอร์ หรือแสดงข้อความวิ่งไปมาบนหน้าจอ เป็นต้น

การป้องกันไวรัส
• สำรองไฟล์ข้อมูลที่สำคัญ
• สำหรับเครื่องที่มีฮาร์ดดิสก์ อย่าเรียกดอสจากฟลอปปีดิสก์
• ป้องกันการเขียนให้กับฟลอปปีดิสก์
• อย่าเรียกโปรแกรมที่ติดมากับดิสก์อื่น
• เสาะหาโปรแกรมตรวจหาไวรัสที่ใหม่และมากกว่าหนึ่งโปรแกรมจากคนละบริษัท
• เรียกใช้โปรแกรมตรวจหาไวรัสเป็นช่วงๆ
• เรียกใช้โปรแกรมตรวจจับไวรัสแบบเฝ้าดูทุกครั้ง
• เลือกคัดลอกซอฟแวร์เฉพาะที่ถูกตรวจสอบแล้วในบีบีเอส
• สำรองข้อมูลที่สำคัญของฮาร์ดิสก์ไปเก็บในฟลอปปีดิสก์
• เตรียมฟลอปปีดิสก์ที่ไว้สำหรับให้เรียกดอสก์ขึ้นมาทำงานได้
• เืมื่อเครื่องติดไวรัส ให้พยายามหาที่มาของไวรัสนั้น

จรรยาบรรณการใช้ ICT
บัญญัติ10 ประการของผู้ใช้คอมพิวเตอร์
การเข้าถึงระบบคอมพิวเตอร์และข้อมูลก็จะเฉพาะสิทธิ์ที่ตนเองมีในส่วนที่เกี่ยวข้องกับงาน
1. ไม่ใช้คอมพิวเตอร์ทำร้ายผู้อื่น
2. ไม่รบกวนจนงานคอมพิวเตอร์ของผู้อื่น
3. ไม่แอบดูแฟ้มข้อมูลของผู้อื่น
4. ไม่ใช้คอมพิวเตอร์เพื่อลักขโมย
5. ไม่ใช้คอมพิวเตอร์เพื่อเป็นพยานเท็จ
6. ไม่ใช้หรือทำสำเนาซอฟต์แวร์ที่ตนไม่ได้ซื้อสิทธิ์
7. ไม่ใช้คอมพิวเตอร์ของผู้อื่นโดยไม่มีอำนาจหน้าที่
8. ไม่ฉวยเอาทรัพย์ทางปัญญาของผู้อื่นมาเป็นของตน
9. คิดถึงผลต่อเนื่องทางสังคมของโปรแกรมที่เขียน
10. ใช้คอมพิวเตอร์ในทางที่แสดงถึงความใคร่ครวญและเคารพจรรยาวิชาชีพของสมาชิกสมาคมเครื่องจักรกลคอมพิวเตอร์

พรบ.ว่าด้วยการกระทำความผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์
ภูมิ พลอดุลยเดช ป.ร. ให้ไว้ ณ วันที่ ๑๐ มิถุนายน พ.ศ. ๒๕๕๐ เป็นปีที่ ๖๒ ในรัชกาลปัจจุบัน พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช มีพระบรมราชโองการโปรดเกล้า ฯ ให้ประกาศว่า โดยที่เป็นการสมควรมีกฎหมายว่าด้วยการกระทำความผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ จึงทรงพระกรุณาโปรดเกล้า ฯ ให้ตราพระราชบัญญัติขึ้นไว้โดยคำแนะนำและยินยอมของ สภา

พรบ. คอมพิวเตอร์ 2550 ทุกคนที่ใช้คอมพิวเตอร์ต้องรู้
พระ บาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช มีพระบรมราชโองการโปรดเกล้า ฯ ให้ประกาศว่า โดยที่เป็นการสมควรมีกฎหมาย ว่าด้วยการกระทำความผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ จึงทรงพระกรุณาโปรดเกล้า ฯ ให้ตราพระราชบัญญัติขึ้นไว้โดยคำแนะนำและยินยอมของสภานิติบัญญัติแห่งชาติ ดังต่อไปนี้
มาตรา ๑ พระราชบัญญัตินี้เรียกว่า “พระราชบัญญัติว่าด้วยการกระทำความผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ พ.ศ. ๒๕๕๐”

มาตรา ๒ พระราชบัญญัตินี้ให้ใช้บังคับเมื่อพ้นกำหนดสามสิบวันนับแต่วันประกาศในราชกิจจานุเบกษาเป็นต้นไป


นายติณณภพ สุมาลุย์ รหัสนักศึกษา 55162220106 สาขาเทคโนโลยีวิศวกรรมโยธาและสถาปัตยกรรม

Unknown กล่าวว่า...

1.ไวรัสคอมพิวเตอร์ เป็นโปรแกรมพิเศษชนิดหนึ่งที่เขียนขึ้นมาเพื่อให้จัดการกับตัวมันเอง โดยมีลักษณะเลียบแบบสิ่งมีชีวิต คือ เจริญเติบโตเองได้ ขยายและแพร่กระจายเองได้ สามารถอยู่รอดได้ โปรแกรมนี้เข้าไปอยู่ในระบบคอมพิวเตอร์ได้ โดยผ่านทาง
-แผ่นฟลอปปีดิสก์
-เครือข่ายคอมพิวเตอร์
จากการที่ไวรัสคอมพิวเตอร์ ทำงานได้ด้วยเงื่อนไขลักษณะใดลักษณะหนึ่งหลายลักษณะ จึงทำให้ผู้ใช้ไม่รู้ว่าเครื่องคอมพิวเตอร์ของตนติดไวรัสหรือไม่ พอเปิดเครื่องใช้ก็อาจพบว่าระบบคอมพิวเตอร์ของตนถูกไวรัสทำลายเสียแล้ว ไวรัสบางตัวไม่เพียงทำลาย ลบ ล้าง ย้ายข้อมูลของเรา โดยไม่ได้รับอนุญาตเท่านั้น แต่ยังสามารถทำลายโปรแกรมอื่น ๆได้อีกด้วยโดยสังเกตได้จากการที่หน้าจอแสดงผลโดยอาการแปลก ๆ

2.การป้องกันไวรัสคอมพิวเตอร์
-ทุกครั้งที่นำซอฟแวร์ที่ไม่ทราบแหล่งที่ผลิต หรือได้รับแจกฟรี ต้องตรวจสอบให้แน่ใจก่อนนำไปใช้
-ควรตรวจสอบทั้งฮาร์ดแวร์และซอฟแวร์อย่างสม่ำเสมอ อย่างน้อยวันละ 1 ครั้ง
-เตรียมแผ่นที่สะอาดไว้สำหรับบูตเครื่องเมื่อคราวจำเป็น
-ควรสำรองข้อมูลไว้เสมอ
-พยายามสังเกตุสิ่งผิดปกติที่เกิดขึ้นกับเครื่องอย่างสม่ำเสมอ เช่น การทำงานที่ช้าลง ขนาดไฟล์ หน้าจอแสดงผลแปลก ๆ ไดรฟ์มีเสียงผิดปกติ
-ไม่นำแผ่นดิสก์ไปใช้กับเครื่องคอมพิวเตอร์อื่น ๆ ถ้ายังไม่ได้ปิดแถบป้องกันการบันทึก (Write Protect )
-ควรแยกแผ่นโปรแกรม และแผ่นข้อมูลออกจากกันโดยเด็ดขาด
-ไม่อนุญาตให้คนอื่นมาเล่นเครื่องคอมพิวเตอร์ของท่าน โดยปราศจากการควบคุมอย่างใกล้ชิด
-ควรมีโปรแกรมป้องกันไวรัสไว้ใช้ตรวจสอบและป้องกัน โดยเฉพาะโปรแกรมป้องกันไวรัสรุ่นใหม่ ๆ จะมีประสิทธิภาพในการป้องกันได้ดีขึ้นมาก ในที่นี้จะขอแนะนำโปรแกรม SCAN ของบริษัท McAfee Associates รุ่น V.2.5.1 หรือ Norton Antivirus

นายมนัส ยอดแก้ว รปศ หมู่2 55128040228

Unknown กล่าวว่า...

ไวรัสคอมพิวเตอร์ คือ ชื่อเรียกสำหรับโปรแกรมประเภทหนึ่งที่มีพฤติกรรมคล้ายๆ กับไวรัสที่เป็นเชื้อโรค ที่สามารถแพร่เชื้อได้และมักทำอันตรายต่อสิ่งมีชีวิตที่มันอาศัยอยู่ แต่ต่างกันตรงที่ว่าคอมพิวเตอร์ไวรัสเป็นแค่เพียงโปรแกรมเท่านั้น ไม่ใช่สิ่งมีชีวิต
การป้องกันไวรัส
1.สำรองไฟล์ข้อมูลที่สำคัญ
2.สำหรับเครื่องที่มีฮาร์ดดิสก์ อย่าเรียกดอสจากฟลอปปีดิสก์
3.ป้องกันการเขียนให้กับฟลอปปีดิสก์
4.อย่าเรียกโปรแกรมที่ติดมากับดิสก์อื่น
5.เสาะหาโปรแกรมตรวจหาไวรัสที่ใหม่และมากกว่าหนึ่งโปรแกรมจากคนละบริษัท
6.เรียกใช้โปรแกรมตรวจหาไวรัสเป็นช่วงๆ
7. เรียกใช้โปรแกรมตรวจจับไวรัสแบบเฝ้าดูทุกครั้ง
8. เลือกคัดลอกซอฟแวร์เฉพาะที่ถูกตรวจสอบแล้วในบีบีเอส
9. สำรองข้อมูลที่สำคัญของฮาร์ดิสก์ไปเก็บในฟลอปปีดิสก์
10. เตรียมฟลอปปีดิสก์ที่ไว้สำหรับให้เรียกดอสก์ขึ้นมาทำงานได้
11. เมื่อเครื่องติดไวรัส ให้พยายามหาที่มาของไวรัสนั้น
จริยธรรมในการใช้ ICT
1.ไม่ใช้คอมพิวเตอร์ทำร้ายผู้อื่น
2.ไม่รบกวนจนงานคอมพิวเตอร์ของผู้อื่น
3. ไม่แอบดูแฟ้มข้อมูลของผู้อื่น
4. ไม่ใช้คอมพิวเตอร์เพื่อลักขโมย
5.ไม่ใช้คอมพิวเตอร์เพื่อเป็นพยานเท็จ
6.ไม่ใช้หรือทำสำเนาซอฟต์แวร์ที่ตนไม่ได้ซื้อสิทธิ์
7.ไม่ใช้คอมพิวเตอร์ของผู้อื่นโดยไม่มีอำนาจหน้าที่
8. ไม่ฉวยเอาทรัพย์ทางปัญญาของผู้อื่นมาเป็นของตน
9. คิดถึงผลต่อเนื่องทางสังคมของโปรแกรมที่เขียน
10. ใช้คอมพิวเตอร์ในทางที่แสดงถึงความใคร่ครวญและเคารพจรรยาวิชาชีพของสมาชิกสมาคมเครื่องจักรกลคอมพิวเตอร์

พรบ.ว่าด้วยการกระทำความผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์
(มาตรา 5 ) แฮกเกอร์ที่เจาะเข้าระบบคอมพิวเตอร์ที่มีมาตรการป้องกันการเข้าถึง จำคุกไม่เกินหกเดือนหรือปรับไม่เกินหนึ่งหมื่นบาทหรือทั้งจำทั้งปรับ
(มาตรา 7) แฮกเกอร์ที่เจาะเข้าระบบและได้เข้าไปดูข้อมูลของผู้อื่นจำคุกไม่เกินสองปีหรือปรับไม่เกินสี่หมื่นบาทหรือทั้งจำทั้งปรับ
(มาตรา 8) ผู้ที่ชอบดักรับข้อมูลของผู้อื่นระหว่างการส่งข้อมูลในระบบคอมพิวเตอร์ จำคุกไม่เกินสามปีหรือปรับไม่เกินหกหมื่นบาทหรือทั้งจำทั้งปรับ
(มาตรา 9,10 และ 12) ผู้ที่ทำการปลอมแปลง ทำลาย แก้ไขข้อมูลคอมพิวเตอร์ของผู้อื่น หรือทำการใดๆ ที่ไประงับ ชะลอ ขัดขวาง หรือรบกวนการทำงานระบบคอมพิวเตอร์ของผู้อื่น จำคุกสูงสุดยี่สิบปี
(มาตรา 11 ) ผู้ที่ส่งอีเมล์ปกปิดหรือปลอมแปลงแหล่งที่มา เช่น สแปมเมล์ (spam mail ) ทำให้รบกวนการใช้งานระบบคอมพิวเตอร์ของผู้อื่น ปรับไม่เกินหนึ่งแสนบาท
(มาตรา 14) ผู้ที่นำเข้าข้อมูลที่ไม่เหมาะสมเข้าไปในระบบคอมพิวเตอร์ซึ่งคนอื่นสามารถเข้าไปดูข้อมูลนั้นได้ เช่นข้อมูลอันเป็นเท็จที่ส่งผลกระทบต่อความมั่นคงของประเทศ ก่อให้เกิดความตื่นตระหนกแก่ประชาชน หรือทำให้ผู้อื่นเสียหาย ข้อมูลความผิดเกี่ยวกับการก่อการร้าย ข้อมูลลามกอนาจาร หรือผู้ที่เผยแพร่หรือส่งต่อข้อมูลเหล่านี้ ไม่ว่าจะเป็นทางเครื่องคอมพิวเตอร์ พีดีเอ โทรศัพท์มือถือ หรือระบบคอมพิวเตอร์อื่นๆ จำคุกไม่เกินห้าปีหรือปรับไม่เกินหนึ่งแสนบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ
(มาตรา 16) ผู้ที่นำเข้าภาพตัดต่อ ภาพดัดแปลงด้วยวิธีการใดๆ ของบุคคลอื่นเข้าไปในระบบคอมพิวเตอร์โดยมีเจตนาให้ผู้นั้นเสียชื่อเสียง ถูกดูหมิ่น ถูกเกลียดชัง หรือได้รับความอับอาย จำคุกไม่เกินสามปี หรือปรับไม่เกินหกหมื่นบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ
(มาตรา 26) ผู้ให้บริการ เช่น อินเตอร์เน็ตคาเฟ่ ผู้ให้บริการสัญญาณอินเตอร์เน็ต กลุ่มผู้ประกอบการอีคอมเมิร์ช รวมถึงมหาวิทยาลัย ต้องเก็บข้อมูลการเข้าใช้งานระบบคอมพิวเตอร์ของผู้ใช้บริการไม่น้อยกว่าเก้าสิบวัน เพื่อใช้ติดตามผู้กระทำความผิดมาลงโทษ หากผู้ให้บริการไม่ปฏิบัติตามนี้ ปรับสูงสุดถึงห้าแสนบาท

นายดกศล แป้นนะริน
56191430123

Unknown กล่าวว่า...

ไวรัสคอมพิวเตอร์ คือ ชื่อเรียกสำหรับโปรแกรมประเภทหนึ่งที่มีพฤติกรรมคล้ายๆ กับไวรัสที่เป็นเชื้อโรค ที่สามารถแพร่เชื้อได้และมักทำอันตรายต่อสิ่งมีชีวิตที่มันอาศัยอยู่ แต่ต่างกันตรงที่ว่าคอมพิวเตอร์ไวรัสเป็นแค่เพียงโปรแกรมเท่านั้น ไม่ใช่สิ่งมีชีวิต
การป้องกันไวรัส
1.สำรองไฟล์ข้อมูลที่สำคัญ
2.สำหรับเครื่องที่มีฮาร์ดดิสก์ อย่าเรียกดอสจากฟลอปปีดิสก์
3.ป้องกันการเขียนให้กับฟลอปปีดิสก์
4.อย่าเรียกโปรแกรมที่ติดมากับดิสก์อื่น
5.เสาะหาโปรแกรมตรวจหาไวรัสที่ใหม่และมากกว่าหนึ่งโปรแกรมจากคนละบริษัท
6.เรียกใช้โปรแกรมตรวจหาไวรัสเป็นช่วงๆ
7. เรียกใช้โปรแกรมตรวจจับไวรัสแบบเฝ้าดูทุกครั้ง
8. เลือกคัดลอกซอฟแวร์เฉพาะที่ถูกตรวจสอบแล้วในบีบีเอส
9. สำรองข้อมูลที่สำคัญของฮาร์ดิสก์ไปเก็บในฟลอปปีดิสก์
10. เตรียมฟลอปปีดิสก์ที่ไว้สำหรับให้เรียกดอสก์ขึ้นมาทำงานได้
11. เมื่อเครื่องติดไวรัส ให้พยายามหาที่มาของไวรัสนั้น
จริยธรรมในการใช้ ICT
1.ไม่ใช้คอมพิวเตอร์ทำร้ายผู้อื่น
2.ไม่รบกวนจนงานคอมพิวเตอร์ของผู้อื่น
3. ไม่แอบดูแฟ้มข้อมูลของผู้อื่น
4. ไม่ใช้คอมพิวเตอร์เพื่อลักขโมย
5.ไม่ใช้คอมพิวเตอร์เพื่อเป็นพยานเท็จ
6.ไม่ใช้หรือทำสำเนาซอฟต์แวร์ที่ตนไม่ได้ซื้อสิทธิ์
7.ไม่ใช้คอมพิวเตอร์ของผู้อื่นโดยไม่มีอำนาจหน้าที่
8. ไม่ฉวยเอาทรัพย์ทางปัญญาของผู้อื่นมาเป็นของตน
9. คิดถึงผลต่อเนื่องทางสังคมของโปรแกรมที่เขียน
10. ใช้คอมพิวเตอร์ในทางที่แสดงถึงความใคร่ครวญและเคารพจรรยาวิชาชีพของสมาชิกสมาคมเครื่องจักรกลคอมพิวเตอร์

พรบ.ว่าด้วยการกระทำความผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์
(มาตรา 5 ) แฮกเกอร์ที่เจาะเข้าระบบคอมพิวเตอร์ที่มีมาตรการป้องกันการเข้าถึง จำคุกไม่เกินหกเดือนหรือปรับไม่เกินหนึ่งหมื่นบาทหรือทั้งจำทั้งปรับ
(มาตรา 7) แฮกเกอร์ที่เจาะเข้าระบบและได้เข้าไปดูข้อมูลของผู้อื่นจำคุกไม่เกินสองปีหรือปรับไม่เกินสี่หมื่นบาทหรือทั้งจำทั้งปรับ
(มาตรา 8) ผู้ที่ชอบดักรับข้อมูลของผู้อื่นระหว่างการส่งข้อมูลในระบบคอมพิวเตอร์ จำคุกไม่เกินสามปีหรือปรับไม่เกินหกหมื่นบาทหรือทั้งจำทั้งปรับ
(มาตรา 9,10 และ 12) ผู้ที่ทำการปลอมแปลง ทำลาย แก้ไขข้อมูลคอมพิวเตอร์ของผู้อื่น หรือทำการใดๆ ที่ไประงับ ชะลอ ขัดขวาง หรือรบกวนการทำงานระบบคอมพิวเตอร์ของผู้อื่น จำคุกสูงสุดยี่สิบปี
(มาตรา 11 ) ผู้ที่ส่งอีเมล์ปกปิดหรือปลอมแปลงแหล่งที่มา เช่น สแปมเมล์ (spam mail ) ทำให้รบกวนการใช้งานระบบคอมพิวเตอร์ของผู้อื่น ปรับไม่เกินหนึ่งแสนบาท
(มาตรา 14) ผู้ที่นำเข้าข้อมูลที่ไม่เหมาะสมเข้าไปในระบบคอมพิวเตอร์ซึ่งคนอื่นสามารถเข้าไปดูข้อมูลนั้นได้ เช่นข้อมูลอันเป็นเท็จที่ส่งผลกระทบต่อความมั่นคงของประเทศ ก่อให้เกิดความตื่นตระหนกแก่ประชาชน หรือทำให้ผู้อื่นเสียหาย ข้อมูลความผิดเกี่ยวกับการก่อการร้าย ข้อมูลลามกอนาจาร หรือผู้ที่เผยแพร่หรือส่งต่อข้อมูลเหล่านี้ ไม่ว่าจะเป็นทางเครื่องคอมพิวเตอร์ พีดีเอ โทรศัพท์มือถือ หรือระบบคอมพิวเตอร์อื่นๆ จำคุกไม่เกินห้าปีหรือปรับไม่เกินหนึ่งแสนบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ
(มาตรา 16) ผู้ที่นำเข้าภาพตัดต่อ ภาพดัดแปลงด้วยวิธีการใดๆ ของบุคคลอื่นเข้าไปในระบบคอมพิวเตอร์โดยมีเจตนาให้ผู้นั้นเสียชื่อเสียง ถูกดูหมิ่น ถูกเกลียดชัง หรือได้รับความอับอาย จำคุกไม่เกินสามปี หรือปรับไม่เกินหกหมื่นบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ
(มาตรา 26) ผู้ให้บริการ เช่น อินเตอร์เน็ตคาเฟ่ ผู้ให้บริการสัญญาณอินเตอร์เน็ต กลุ่มผู้ประกอบการอีคอมเมิร์ช รวมถึงมหาวิทยาลัย ต้องเก็บข้อมูลการเข้าใช้งานระบบคอมพิวเตอร์ของผู้ใช้บริการไม่น้อยกว่าเก้าสิบวัน เพื่อใช้ติดตามผู้กระทำความผิดมาลงโทษ หากผู้ให้บริการไม่ปฏิบัติตามนี้ ปรับสูงสุดถึงห้าแสนบาท

นายดกศล แป้นนะริน
56191430123

Unknown กล่าวว่า...

วรัสคอมพิวเตอร์ คือ ชื่อเรียกสำหรับโปรแกรมประเภทหนึ่งที่มีพฤติกรรมคล้ายๆ กับไวรัสที่เป็นเชื้อโรค ที่สามารถแพร่เชื้อได้และมักทำอันตรายต่อสิ่งมีชีวิตที่มันอาศัยอยู่ แต่ต่างกันตรงที่ว่าคอมพิวเตอร์ไวรัสเป็นแค่เพียงโปรแกรมเท่านั้น ไม่ใช่สิ่งมีชีวิต

การป้องกันไวรัส
1.สำรองไฟล์ข้อมูลที่สำคัญ
2.สำหรับเครื่องที่มีฮาร์ดดิสก์ อย่าเรียกดอสจากฟลอปปีดิสก์
3.ป้องกันการเขียนให้กับฟลอปปีดิสก์
4.อย่าเรียกโปรแกรมที่ติดมากับดิสก์อื่น
5.เสาะหาโปรแกรมตรวจหาไวรัสที่ใหม่และมากกว่าหนึ่งโปรแกรมจากคนละบริษัท
6.เรียกใช้โปรแกรมตรวจหาไวรัสเป็นช่วงๆ
7. เรียกใช้โปรแกรมตรวจจับไวรัสแบบเฝ้าดูทุกครั้ง
8. เลือกคัดลอกซอฟแวร์เฉพาะที่ถูกตรวจสอบแล้วในบีบีเอส
9. สำรองข้อมูลที่สำคัญของฮาร์ดิสก์ไปเก็บในฟลอปปีดิสก์
10. เตรียมฟลอปปีดิสก์ที่ไว้สำหรับให้เรียกดอสก์ขึ้นมาทำงานได้
11. เมื่อเครื่องติดไวรัส ให้พยายามหาที่มาของไวรัสนั้น

จริยธรรมในการใช้ ICT
1.ไม่ใช้คอมพิวเตอร์ทำร้ายผู้อื่น
2.ไม่รบกวนจนงานคอมพิวเตอร์ของผู้อื่น
3. ไม่แอบดูแฟ้มข้อมูลของผู้อื่น
4. ไม่ใช้คอมพิวเตอร์เพื่อลักขโมย
5.ไม่ใช้คอมพิวเตอร์เพื่อเป็นพยานเท็จ
6.ไม่ใช้หรือทำสำเนาซอฟต์แวร์ที่ตนไม่ได้ซื้อสิทธิ์
7.ไม่ใช้คอมพิวเตอร์ของผู้อื่นโดยไม่มีอำนาจหน้าที่
8. ไม่ฉวยเอาทรัพย์ทางปัญญาของผู้อื่นมาเป็นของตน
9. คิดถึงผลต่อเนื่องทางสังคมของโปรแกรมที่เขียน
10. ใช้คอมพิวเตอร์ในทางที่แสดงถึงความใคร่ครวญและเคารพจรรยาวิชาชีพของสมาชิกสมาคมเครื่องจักรกลคอมพิวเตอร์

พรบ.ว่าด้วยการกระทำความผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์
(มาตรา 5 ) แฮกเกอร์ที่เจาะเข้าระบบคอมพิวเตอร์ที่มีมาตรการป้องกันการเข้าถึง จำคุกไม่เกินหกเดือนหรือปรับไม่เกินหนึ่งหมื่นบาทหรือทั้งจำทั้งปรับ
(มาตรา 7) แฮกเกอร์ที่เจาะเข้าระบบและได้เข้าไปดูข้อมูลของผู้อื่นจำคุกไม่เกินสองปีหรือปรับไม่เกินสี่หมื่นบาทหรือทั้งจำทั้งปรับ
(มาตรา 8) ผู้ที่ชอบดักรับข้อมูลของผู้อื่นระหว่างการส่งข้อมูลในระบบคอมพิวเตอร์ จำคุกไม่เกินสามปีหรือปรับไม่เกินหกหมื่นบาทหรือทั้งจำทั้งปรับ
(มาตรา 9,10 และ 12) ผู้ที่ทำการปลอมแปลง ทำลาย แก้ไขข้อมูลคอมพิวเตอร์ของผู้อื่น หรือทำการใดๆ ที่ไประงับ ชะลอ ขัดขวาง หรือรบกวนการทำงานระบบคอมพิวเตอร์ของผู้อื่น จำคุกสูงสุดยี่สิบปี
(มาตรา 11 ) ผู้ที่ส่งอีเมล์ปกปิดหรือปลอมแปลงแหล่งที่มา เช่น สแปมเมล์ (spam mail ) ทำให้รบกวนการใช้งานระบบคอมพิวเตอร์ของผู้อื่น ปรับไม่เกินหนึ่งแสนบาท
(มาตรา 14) ผู้ที่นำเข้าข้อมูลที่ไม่เหมาะสมเข้าไปในระบบคอมพิวเตอร์ซึ่งคนอื่นสามารถเข้าไปดูข้อมูลนั้นได้ เช่นข้อมูลอันเป็นเท็จที่ส่งผลกระทบต่อความมั่นคงของประเทศ ก่อให้เกิดความตื่นตระหนกแก่ประชาชน หรือทำให้ผู้อื่นเสียหาย ข้อมูลความผิดเกี่ยวกับการก่อการร้าย ข้อมูลลามกอนาจาร หรือผู้ที่เผยแพร่หรือส่งต่อข้อมูลเหล่านี้ ไม่ว่าจะเป็นทางเครื่องคอมพิวเตอร์ พีดีเอ โทรศัพท์มือถือ หรือระบบคอมพิวเตอร์อื่นๆ จำคุกไม่เกินห้าปีหรือปรับไม่เกินหนึ่งแสนบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ
(มาตรา 16) ผู้ที่นำเข้าภาพตัดต่อ ภาพดัดแปลงด้วยวิธีการใดๆ ของบุคคลอื่นเข้าไปในระบบคอมพิวเตอร์โดยมีเจตนาให้ผู้นั้นเสียชื่อเสียง ถูกดูหมิ่น ถูกเกลียดชัง หรือได้รับความอับอาย จำคุกไม่เกินสามปี หรือปรับไม่เกินหกหมื่นบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ
(มาตรา 26) ผู้ให้บริการ เช่น อินเตอร์เน็ตคาเฟ่ ผู้ให้บริการสัญญาณอินเตอร์เน็ต กลุ่มผู้ประกอบการอีคอมเมิร์ช รวมถึงมหาวิทยาลัย ต้องเก็บข้อมูลการเข้าใช้งานระบบคอมพิวเตอร์ของผู้ใช้บริการไม่น้อยกว่าเก้าสิบวัน เพื่อใช้ติดตามผู้กระทำความผิดมาลงโทษ หากผู้ให้บริการไม่ปฏิบัติตามนี้ ปรับสูงสุดถึงห้าแสนบาท


นางสาวภรณ์ทิพย์ อินทร์เพ็ง 55191600207
สาขาคหกรรมศาสตร์ คบ 5/2

Unknown กล่าวว่า...

วรัสคอมพิวเตอร์ คือ ชื่อเรียกสำหรับโปรแกรมประเภทหนึ่งที่มีพฤติกรรมคล้ายๆ กับไวรัสที่เป็นเชื้อโรค ที่สามารถแพร่เชื้อได้และมักทำอันตรายต่อสิ่งมีชีวิตที่มันอาศัยอยู่ แต่ต่างกันตรงที่ว่าคอมพิวเตอร์ไวรัสเป็นแค่เพียงโปรแกรมเท่านั้น ไม่ใช่สิ่งมีชีวิต

การป้องกันไวรัส
1.สำรองไฟล์ข้อมูลที่สำคัญ
2.สำหรับเครื่องที่มีฮาร์ดดิสก์ อย่าเรียกดอสจากฟลอปปีดิสก์
3.ป้องกันการเขียนให้กับฟลอปปีดิสก์
4.อย่าเรียกโปรแกรมที่ติดมากับดิสก์อื่น
5.เสาะหาโปรแกรมตรวจหาไวรัสที่ใหม่และมากกว่าหนึ่งโปรแกรมจากคนละบริษัท
6.เรียกใช้โปรแกรมตรวจหาไวรัสเป็นช่วงๆ
7. เรียกใช้โปรแกรมตรวจจับไวรัสแบบเฝ้าดูทุกครั้ง
8. เลือกคัดลอกซอฟแวร์เฉพาะที่ถูกตรวจสอบแล้วในบีบีเอส
9. สำรองข้อมูลที่สำคัญของฮาร์ดิสก์ไปเก็บในฟลอปปีดิสก์
10. เตรียมฟลอปปีดิสก์ที่ไว้สำหรับให้เรียกดอสก์ขึ้นมาทำงานได้
11. เมื่อเครื่องติดไวรัส ให้พยายามหาที่มาของไวรัสนั้น

จริยธรรมในการใช้ ICT
1.ไม่ใช้คอมพิวเตอร์ทำร้ายผู้อื่น
2.ไม่รบกวนจนงานคอมพิวเตอร์ของผู้อื่น
3. ไม่แอบดูแฟ้มข้อมูลของผู้อื่น
4. ไม่ใช้คอมพิวเตอร์เพื่อลักขโมย
5.ไม่ใช้คอมพิวเตอร์เพื่อเป็นพยานเท็จ
6.ไม่ใช้หรือทำสำเนาซอฟต์แวร์ที่ตนไม่ได้ซื้อสิทธิ์
7.ไม่ใช้คอมพิวเตอร์ของผู้อื่นโดยไม่มีอำนาจหน้าที่
8. ไม่ฉวยเอาทรัพย์ทางปัญญาของผู้อื่นมาเป็นของตน
9. คิดถึงผลต่อเนื่องทางสังคมของโปรแกรมที่เขียน
10. ใช้คอมพิวเตอร์ในทางที่แสดงถึงความใคร่ครวญและเคารพจรรยาวิชาชีพของสมาชิกสมาคมเครื่องจักรกลคอมพิวเตอร์

พรบ.ว่าด้วยการกระทำความผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์
(มาตรา 5 ) แฮกเกอร์ที่เจาะเข้าระบบคอมพิวเตอร์ที่มีมาตรการป้องกันการเข้าถึง จำคุกไม่เกินหกเดือนหรือปรับไม่เกินหนึ่งหมื่นบาทหรือทั้งจำทั้งปรับ
(มาตรา 7) แฮกเกอร์ที่เจาะเข้าระบบและได้เข้าไปดูข้อมูลของผู้อื่นจำคุกไม่เกินสองปีหรือปรับไม่เกินสี่หมื่นบาทหรือทั้งจำทั้งปรับ
(มาตรา 8) ผู้ที่ชอบดักรับข้อมูลของผู้อื่นระหว่างการส่งข้อมูลในระบบคอมพิวเตอร์ จำคุกไม่เกินสามปีหรือปรับไม่เกินหกหมื่นบาทหรือทั้งจำทั้งปรับ
(มาตรา 9,10 และ 12) ผู้ที่ทำการปลอมแปลง ทำลาย แก้ไขข้อมูลคอมพิวเตอร์ของผู้อื่น หรือทำการใดๆ ที่ไประงับ ชะลอ ขัดขวาง หรือรบกวนการทำงานระบบคอมพิวเตอร์ของผู้อื่น จำคุกสูงสุดยี่สิบปี
(มาตรา 11 ) ผู้ที่ส่งอีเมล์ปกปิดหรือปลอมแปลงแหล่งที่มา เช่น สแปมเมล์ (spam mail ) ทำให้รบกวนการใช้งานระบบคอมพิวเตอร์ของผู้อื่น ปรับไม่เกินหนึ่งแสนบาท
(มาตรา 14) ผู้ที่นำเข้าข้อมูลที่ไม่เหมาะสมเข้าไปในระบบคอมพิวเตอร์ซึ่งคนอื่นสามารถเข้าไปดูข้อมูลนั้นได้ เช่นข้อมูลอันเป็นเท็จที่ส่งผลกระทบต่อความมั่นคงของประเทศ ก่อให้เกิดความตื่นตระหนกแก่ประชาชน หรือทำให้ผู้อื่นเสียหาย ข้อมูลความผิดเกี่ยวกับการก่อการร้าย ข้อมูลลามกอนาจาร หรือผู้ที่เผยแพร่หรือส่งต่อข้อมูลเหล่านี้ ไม่ว่าจะเป็นทางเครื่องคอมพิวเตอร์ พีดีเอ โทรศัพท์มือถือ หรือระบบคอมพิวเตอร์อื่นๆ จำคุกไม่เกินห้าปีหรือปรับไม่เกินหนึ่งแสนบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ
(มาตรา 16) ผู้ที่นำเข้าภาพตัดต่อ ภาพดัดแปลงด้วยวิธีการใดๆ ของบุคคลอื่นเข้าไปในระบบคอมพิวเตอร์โดยมีเจตนาให้ผู้นั้นเสียชื่อเสียง ถูกดูหมิ่น ถูกเกลียดชัง หรือได้รับความอับอาย จำคุกไม่เกินสามปี หรือปรับไม่เกินหกหมื่นบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ
(มาตรา 26) ผู้ให้บริการ เช่น อินเตอร์เน็ตคาเฟ่ ผู้ให้บริการสัญญาณอินเตอร์เน็ต กลุ่มผู้ประกอบการอีคอมเมิร์ช รวมถึงมหาวิทยาลัย ต้องเก็บข้อมูลการเข้าใช้งานระบบคอมพิวเตอร์ของผู้ใช้บริการไม่น้อยกว่าเก้าสิบวัน เพื่อใช้ติดตามผู้กระทำความผิดมาลงโทษ หากผู้ให้บริการไม่ปฏิบัติตามนี้ ปรับสูงสุดถึงห้าแสนบาท


นางสาวภรณ์ทิพย์ อินทร์เพ็ง 55191600207
สาขคหกรรมศาสตร์ คบ. 5/2

นางสาวศิรินภา มะลิงาม หมู่ 2 คบ. คหกรรมศาสตร์ 55191600221 กล่าวว่า...

ไวรัสคืออะไร
ไวรัส คือโปรแกรมชนิดหนึ่งที่มีความสามารถในการสำเนาตัวเองเข้าไปติดอยู่ในระบบคอมพิวเตอร์ได้และถ้ามีโอกาสก็สามารถแทรกเข้าไประบาดในระบบคอมพิวเตอร์อื่น ๆ ซึ่งอาจเกิดจากการนำเอาดิสก์ที่ติดไวรัสจากเครื่องหนึ่งไปใช้อีกเครื่องหนึ่ง หรืออาจผ่านระบบเครือข่ายหรือระบบสื่อสารข้อมูลไวรัสก็อาจแพร่ระบาดได้เช่นกัน
การที่คอมพิวเตอร์ใดติดไวรัส หมายถึงว่าไวรัสได้เข้าไปผังตัวอยู่ในหน่วยความจำ คอมพิวเตอร์ เรียบร้อยแล้ว เนื่องจากไวรัสก็เป็นแค่โปรแกรม ๆ หนึ่งการที่ไวรัสจะเข้าไปอยู่ ในหน่วยความจำได้นั้นจะต้องมีการถูกเรียกให้ทำงานได้นั้นยังขึ้นอยู่กับประเภทของไวรัส แต่ละตัวปกติผู้ใช้มักจะไม่รู้ตัวว่าได้ทำการปลุกคอมพิวเตอร์ไวรัสขึ้นมาทำงานแล้ว
จุดประสงค์ของการทำงานของไวรัสแต่ละตัวขึ้นอยู่กับตัวผู้เขียนโปรแกรมไวรัสนั้น เช่น อาจสร้างไวรัสให้ไปทำลายโปรแกรมหรือข้อมูลอื่น ๆ ที่อยู่ในเครื่องคอมพิวเตอร์ หรือ แสดงข้อความวิ่งไปมาบน หน้าจอ เป็นต้น


1. ใช้โปรแกรมป้องกันไวรัส
การใช้โปรแกรมป้องกันไวรัสเป็นสิ่งที่คุณควรทำเป็นอันดับแรก เพราะโปรแกรมเหล่านี้เป็นเหมือนบอดี้การ์ดที่ทำหน้าที่ปกป้องเครื่อง คอมพิวเตอร์ของคุณ โปรแกรมป้องกันไวรัสจะทำหน้าที่หลักอยู่สามส่วนคือ ป้องกันไวรัสที่จะเข้ามาในเครื่อง เป็นการตรวจดูไฟล์ที่จะเข้ามาในเครื่องว่าจะเป็นไวรัสหรือไม่ ? ตรวจจับไวรัสที่เล็ดลอดเข้ามา สแกนไฟล์ที่อยู่ในเครื่องว่าเป็นไวรัสหรือไม่? กำจัด (Delete)หรือกักกัน (Quarantines) ในกรณีที่พบไฟล์ไวรัส โปรแกรมป้องกันไวรัสจะทำการลบไฟล์นั้นทิ้ง แต่ถ้าพบว่าเป็นไฟล์ที่มีความเสียง แต่ไม่แน่ใจว่าจะเป็นไฟล์ไวรัสหรือลบไม่ได้ โปรแกรมจะทำการกักกันไฟล์ไม่ให้มีการทำงาน โดยการทำงานในสองส่วนแรกจะใช้การเปรียบเทียบฐานข้อมูลการทำงานของไวรัส (Definition) กับไฟล์ต้องสงสัยว่าเข้าข่ายที่จะเป็นไฟล์ไวรัสหรือไม่ ถ้าใช่ก็จะเข้าสู่ขั้นตอนของการลบหรือกักกันไฟล์ต้องสงสัยต่อไป

จรรยาบรรณการใช้ICT
จริยธรรม (Ethics) เป็นเรื่องของการกำหนดความถูกต้องดีงามสิ่งที่ไม่ควรทำมีหลักปฏิบัติในระดับที่สูงกว่ามารยาทในสังคมเช่นคน ที่ไม่ยอมเข้าแถวเพื่อขอรับบริการตามสิทธิ์ก่อนหลังอาจถือว่าไม่มีมารยาท หรือพนักงานคอมพิวเตอร์คนหนึ่งเอาข้อมูลทางการเงินของลูกค้าที่เขาจะต้อง เห็นตามหน้าที่การงานไปหาผลประโยชน์แก่ตนเองเช่นขายรายชื่อนั้นให้ธุรกิจอื่นหรือบอกให้แก่คู่สมรสซึ่งเป็นพนักงานขายตรงไปเสนอขายสินค้าการกระทำเช่นนี้ถือว่าไม่ถูกต้องไม่มีจริยธรรมจริงอยู่แม้ว่าบริษัทที่พนักงานผู้นั้นทำงานอยู่จะไม่เสียหายแต่การนำเอาของบริษัทไปใช้เพื่อประโยชน์ส่วนตัวก็เป็นสิ่งที่ไม่อาจทำได้อย่างเปิดเผยหรือ พนักงานขายสินค้าของทางบริการหนึ่งซึ่งลาออกจากบริษัทเพื่อไปทำงานกับบริษัท คู่แข่งแล้วใช้ประโยชน์จากความรู้ ในเรื่องข้อมูลราคาหรือความลับทางการค้าของบริษัทแรกไปให้บริษัทหลังก็อาจเรียกได้ว่าพนักงานคนนั้นไม่มีจริยธรรมเมื่อสังคมสลับซับซ้อนขึ้นมีการแบ่งหน้าที่กันออกเป็นหน้าที่ต่างๆจึงมีข้อกำหนดที่เรียกว่า“จรรยาวิชาชีพ
” (Code of Conduct) ขึ้นเพื่อใช้เป็นหลักปฏิบัติของคนในอาชีพนั้นๆเราคงเคยได้ยินจรรยาบรรณของแพทย์ที่จะไม่เปิดเผยเรื่องราวส่วนตัวของคนไข้จรรยาบรรณ ของนักหนังสือพิมพ์ที่รับเงินทองสิ่งตอบแทนเพื่อเสนอข่าวหรือไม่เสนอข่าวไม่ เปิดเผยแหล่งข่าวถ้าแหล่งข่าวไม่ต้องการจรรยาบรรณวิชาชีพของสถาปนิกหรือ วิศวกรผู้ออกแบบที่ต้องไม่รับผลประโยชน์ใดๆจากผู้ขายอุปกรณ์ที่ใช้ในงานที่เขาออกแบบซึ่งขายให้กับผู้ว่าจ้างงานชิ้นนั้นเพราะเขาได้รับปลตอบแทนจากผู้ว่าจ้างแล้วจรรยาบรรณของวิชาชีพใดก็มักกำหนดขึ้นโดยสมาคมวิชาชีพนั้นโดยมีข้อกำหนดบทลงโทษที่นอกเหนือไปจากกฏหมายบ้านเมืองเช่นเพิกถอนสมาชิกภาพเพิกถอนหรือพักใบประกอบวิชาชีพและอาจมีกฏหมายรองรับอีกด้วยอาชีพนักคอมพิว

Unknown กล่าวว่า...

ไวรัสคอมพิวเตอร์ (Computer Virus) คือ โปรแกรมชนิดหนึ่งที่มีความสามารถในการสำเนาตัวเองเข้าไปติดอยู่ในเครื่องคอมพิวเตอร์ และถ้ามีโอกาสก็สามารถแทรกเข้าไปติดอยู่ในระบบคอมพิวเตอร์อื่นๆ ซึ่งอาจเกิดจากการนำเอาแผ่นดิสก์หรือแฟลชไดร์ฟที่ติดไวรัสจากเครื่องหนึ่งไปใช้กับอีกเครื่องหนึ่ง การที่คอมพิวเตอร์ใดติดไวรัส หมายความว่าไวรัสได้เข้าไปผังตัวอยู่ในหน่วยความจำคอมพิวเตอร์เครื่องนั้นเรียบร้อยแล้ว การที่ไวรัสจะเข้าไปอยู่ในหน่วยความจำได้นั้นจะต้องมีการถูกเรียกใช้ให้ทำงาน ซึ่งโดยปกติแล้วผู้ใช้มักจะไม่รู้ตัวเลยว่า ขณะที่ตนเรียกใช้โปรแกรมหรือเปิดไฟล์ใดๆขึ้นมาทำงาน ก็ได้เรียกไวรัสขึ้นมาทำงานด้วย จุดประสงค์การทำงานของไวรัสแต่ละตัวขึ้นอยู่กับผู้เขียนโปรแกรมไวรัสนั้น เช่น อาจสร้างไวรัสให้ไปทำลายโปรแกรมหรือข้อมูลอื่นๆ ที่อยู่ในเครื่องคอมพิวเตอร์ หรือแสดงข้อความวิ่งไปมาบนหน้าจอคอมพิวเตอร์ เป็นต้น
การป้องกันไวรัส
1.สำรองไฟล์ข้อมูลที่สำคัญ
2.สำหรับเครื่องที่มีฮาร์ดดิสก์ อย่าเรียกดอสจากฟลอปปีดิสก์
3.ป้องกันการเขียนให้กับฟลอปปีดิสก์
4.อย่าเรียกโปรแกรมที่ติดมากับดิสก์อื่น
5.เสาะหาโปรแกรมตรวจหาไวรัสที่ใหม่และมากกว่าหนึ่งโปรแกรมจากคนละบริษัท
6.เรียกใช้โปรแกรมตรวจหาไวรัสเป็นช่วงๆ
7. เรียกใช้โปรแกรมตรวจจับไวรัสแบบเฝ้าดูทุกครั้ง
8. เลือกคัดลอกซอฟแวร์เฉพาะที่ถูกตรวจสอบแล้วในบีบีเอส
9. สำรองข้อมูลที่สำคัญของฮาร์ดิสก์ไปเก็บในฟลอปปีดิสก์
10. เตรียมฟลอปปีดิสก์ที่ไว้สำหรับให้เรียกดอสก์ขึ้นมาทำงานได้
11. เมื่อเครื่องติดไวรัส ให้พยายามหาที่มาของไวรัสนั้น

จรรยาบรรในการใช้ICT จริยธรรม (Ethics) เป็นเรื่องของการกำหนดความถูกต้องดีงามสิ่งที่ไม่ควรทำมีหลักปฏิบัติในระดับที่สูงกว่ามารยาทในสังคมเช่นคนที่ไม่ยอมเข้าแถวเพื่อขอรับบริการตามสิทธิ์ก่อนหลังอาจถือว่าไม่มีมารยาทหรือพนักงานคอมพิวเตอร์คนหนึ่งเอาข้อมูลทางการเงินของลูกค้าที่เขาจะต้องเห็นตามหน้าที่การงานไปหาผลประโยชน์แก่ตนเองเช่นขายรายชื่อนั้นให้ธุรกิจอื่นหรือบอกให้แก่คู่สมรสซึ่งเป็นพนักงานขายตรงไปเสนอขายสินค้าการกระทำเช่นนี้ถือว่าไม่ถูกต้องไม่มีจริยธรรมจริงอยู่แม้ว่าบริษัทที่พนักงานผู้นั้นทำงานอยู่จะไม่เสียหายแต่การนำเอาของบริษัทไปใช้เพื่อประโยชน์ส่วนตัวก็เป็นสิ่งที่ไม่อาจทำได้อย่างเปิดเผยหรือพนักงานขายสินค้าของทางบริการหนึ่งซึ่งลาออกจากบริษัทเพื่อไปทำงานกับบริษัทคู่แข่งแล้วใช้ประโยชน์จากความรู้ ในเรื่องข้อมูลราคาหรือความลับทางการค้าของบริษัทแรกไปให้บริษัทหลังก็อาจเรียกได้ว่าพนักงานคนนั้นไม่มีจริยธรรมเมื่อสังคมสลับซับซ้อนขึ้นมีการแบ่งหน้าที่กันออกเป็นหน้าที่ต่างๆจึงมีข้อกำหนดที่เรียกว่า“จรรยาวิชาชีพ
” (Code of Conduct) ขึ้นเพื่อใช้เป็นหลักปฏิบัติของคนในอาชีพนั้นๆเราคงเคยได้ยินจรรยาบรรณของแพทย์ที่จะไม่เปิดเผยเรื่องราวส่วนตัวของคนไข้จรรยาบรรณของนักหนังสือพิมพ์ที่รับเงินทองสิ่งตอบแทนเพื่อเสนอข่าวหรือไม่เสนอข่าวไม่เปิดเผยแหล่งข่าวถ้าแหล่งข่าวไม่ต้องการจรรยาบรรณวิชาชีพของสถาปนิกหรือวิศวกรผู้ออกแบบที่ต้องไม่รับผลประโยชน์ใดๆจากผู้ขายอุปกรณ์ที่ใช้ในงานที่เขาออกแบบซึ่งขายให้กับผู้ว่าจ้างงานชิ้นนั้นเพราะเขาได้รับปลตอบแทนจากผู้ว่าจ้างแล้วจรรยาบรรณของวิชาชีพใดก็มักกำหนดขึ้นโดยสมาคมวิชาชีพนั้นโดยมีข้อกำหนดบทลงโทษที่นอกเหนือไปจากกฏหมายบ้านเมืองเช่นเพิกถอนสมาชิกภาพเพิกถอนหรือพักใบประกอบวิชาชีพและอาจมีกฏหมายรองรับอีกด้วยอาชีพนักคอมพิวเตอร์เป็นอาชีพใหม่ในสังคมสารสนเทศการใช้คอมพิวเตอร์และระบบสารสนเทศก็เป็นสิ่งใหม่ที่มีศีลธรรมจริยธรรมและจรรยาบรรณเฉพาะของตนซึ่งบางครั้งก็แตกต่างจากจริยธรรมที่ยอมรับกันมาแต่ก่อนหลักพื้นฐานของจริยธรรมในสังคมสารสนเทศก็คือการเคารพผู้อื่นเคารพความเป็นส่วนตัว
พรบ.ว่าด้วยการกระทำความผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์
(มาตรา 5 ) แฮกเกอร์ที่เจาะเข้าระบบคอมพิวเตอร์ที่มีมาตรการป้องกันการเข้าถึง จำคุกไม่เกินหกเดือนหรือปรับไม่เกินหนึ่งหมื่นบาทหรือทั้งจำทั้งปรับ
(มาตรา 7) แฮกเกอร์ที่เจาะเข้าระบบและได้เข้าไปดูข้อมูลของผู้อื่นจำคุกไม่เกินสองปีหรือปรับไม่เกินสี่หมื่นบาทหรือทั้งจำทั้งปรับ
(มาตรา 8) ผู้ที่ชอบดักรับข้อมูลของผู้อื่นระหว่างการส่งข้อมูลในระบบคอมพิวเตอร์ จำคุกไม่เกินสามปีหรือปรับไม่เกินหกหมื่นบาทหรือทั้งจำทั้งปรับ
นายมานะศักดิ์ มาพบ เอกคหกรรมศาสตร์
55191600210

จุฬาลักษณ์ ไชยสุระ กล่าวว่า...

สรุุปศึกษาเนื้อหา ไวรัสคอมพิวเตอร์, การป้องกัน, จรรยาบรรณการใช้ ICT และ พรบ.ว่าด้วยการกระทำความผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์
ไวรัสคอมพิวเตอร์
ไวรัสคอมพิวเตอร์ เป็นโปรแกรมพิเศษชนิดหนึ่งที่เขียนขึ้นมาเพื่อให้จัดการกับตัวมันเอง โดยมีลักษณะเลียบแบบสิ่งมีชีวิต คือ เจริญเติบโตเองได้ ขยายและแพร่กระจายเองได้ สามารถอยู่รอดได้ โปรแกรมนี้เข้าไปอยู่ในระบบคอมพิวเตอร์ได้ โดยผ่านทาง
- แผ่นฟลอปปีดิสก์
- เครือข่ายคอมพิวเตอร์
จากการที่ไวรัสคอมพิวเตอร์ ทำงานได้ด้วยเงื่อนไขลักษณะใดลักษณะหนึ่งหลายลักษณะ จึงทำให้ผู้ใช้ไม่รู้ว่าเครื่องคอมพิวเตอร์ของตนติดไวรัสหรือไม่ พอเปิดเครื่องใช้ก็อาจพบว่าระบบคอมพิวเตอร์ของตนถูกไวรัสทำลายเสียแล้ว ไวรัสบางตัวไม่เพียงทำลาย ลบ ล้าง ย้ายข้อมูลของเรา โดยไม่ได้รับอนุญาตเท่านั้น แต่ยังสามารถทำลายโปรแกรมอื่น ๆได้อีกด้วยโดยสังเกตได้จากการที่หน้าจอแสดงผลโดยอาการแปลก ๆ
การป้องกันไวรัสคอมพิวเตอร์
มีเทคนิคอยู่มากมายหลายวิธี ดังนี้
-ทุกครั้งที่นำซอฟแวร์ที่ไม่ทราบแหล่งที่ผลิต หรือได้รับแจกฟรี ต้องตรวจสอบให้แน่ใจก่อนนำไปใช้
-ควรตรวจสอบทั้งฮาร์ดแวร์และซอฟแวร์อย่างสม่ำเสมอ อย่างน้อยวันละ 1 ครั้ง
- เตรียมแผ่นที่สะอาดไว้สำหรับบูตเครื่องเมื่อคราวจำเป็น
- ควรสำรองข้อมูลไว้เสมอ
- พยายามสังเกตุสิ่งผิดปกติที่เกิดขึ้นกับเครื่องอย่างสม่ำเสมอ เช่น การทำงานที่ช้าลง ขนาดไฟล์ หน้าจอแสดงผลแปลก ๆ ไดรฟ์มีเสียงผิดปกติ
-ไม่นำแผ่นดิสก์ไปใช้กับเครื่องคอมพิวเตอร์อื่น ๆ ถ้ายังไม่ได้ปิดแถบป้องกันการบันทึก (Write Protect )
- ควรแยกแผ่นโปรแกรม และแผ่นข้อมูลออกจากกันโดยเด็ดขาด
-ไม่อนุญาตให้คนอื่นมาเล่นเครื่องคอมพิวเตอร์ของท่าน โดยปราศจากการควบคุมอย่างใกล้ชิด
-ควรมีโปรแกรมป้องกันไวรัสไว้ใช้ตรวจสอบและป้องกัน โดยเฉพาะโปรแกรมป้องกันไวรัสรุ่นใหม่ ๆ จะมีประสิทธิภาพในการป้องกันได้ดีขึ้นมาก ในที่นี้จะขอแนะนำโปรแกรม SCAN ของบริษัท McAfee Associates รุ่น V.2.5.1 หรือ Norton Antivirus
จรรยาบรรณในการใช้คอมพิวเตอร์
1.ไม่ใช้คอมพิวเตอร์ทำร้ายผู้อื่น
2.ไม่รบกวนจนงานคอมพิวเตอร์ของผู้อื่น
3. ไม่แอบดูแฟ้มข้อมูลของผู้อื่น
4.ไม่ใช้คอมพิวเตอร์เพื่อลักขโมย
5.ไม่ใช้คอมพิวเตอร์เพื่อเป็นพยานเท็จ
6. ไม่ใช้หรือทำสำเนาซอฟต์แวร์ที่ตนไม่ได้ซื้อสิทธิ์
7.ไม่ใช้คอมพิวเตอร์ของผู้อื่นโดยไม่มีอำนาจหน้าที่
8.ไม่ฉวยเอาทรัพย์ทางปัญญาของผู้อื่นมาเป็นของตน
9.คิดถึงผลต่อเนื่องทางสังคมของโปรแกรมที่เขียน
10.ใช้คอมพิวเตอร์ในทางที่แสดงถึงความใคร่ครวญและเคารพจรรยาวิชาชีพของสมาชิกสมาคมเครื่องจักรกลคอมพิวเตอร์
พรบ.ว่าด้วยการกระทำความผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ พ.ศ.2550
สรุปมาตราที่ควรทราบ

(มาตรา 5 ) แฮกเกอร์ที่เจาะเข้าระบบคอมพิวเตอร์ที่มีมาตรการป้องกันการเข้าถึง จำคุกไม่เกินหกเดือนหรือปรับไม่เกินหนึ่งหมื่นบาทหรือทั้งจำทั้งปรับ
(มาตรา 7) แฮกเกอร์ที่เจาะเข้าระบบและได้เข้าไปดูข้อมูลของผู้อื่นจำคุกไม่เกินสองปีหรือปรับไม่เกินสี่หมื่นบาทหรือทั้งจำทั้งปรับ
(มาตรา 8) ผู้ที่ชอบดักรับข้อมูลของผู้อื่นระหว่างการส่งข้อมูลในระบบคอมพิวเตอร์ จำคุกไม่เกินสามปีหรือปรับไม่เกินหกหมื่นบาทหรือทั้งจำทั้งปรับ
(มาตรา 9,10 และ 12) ผู้ที่ทำการปลอมแปลง ทำลาย แก้ไขข้อมูลคอมพิวเตอร์ของผู้อื่น หรือทำการใดๆ ที่ไประงับ ชะลอ ขัดขวาง หรือรบกวนการทำงานระบบคอมพิวเตอร์ของผู้อื่น จำคุกสูงสุดยี่สิบปี
(มาตรา 11 ) ผู้ที่ส่งอีเมล์ปกปิดหรือปลอมแปลงแหล่งที่มา เช่น สแปมเมล์ (spam mail ) ทำให้รบกวนการใช้งานระบบคอมพิวเตอร์ของผู้อื่น ปรับไม่เกินหนึ่งแสนบาท
(มาตรา 14) ผู้ที่นำเข้าข้อมูลที่ไม่เหมาะสมเข้าไปในระบบคอมพิวเตอร์ซึ่งคนอื่นสามารถเข้าไปดูข้อมูลนั้นได้ เช่นข้อมูลอันเป็นเท็จที่ส่งผลกระทบต่อความมั่นคงของประเทศ ก่อให้เกิดความตื่นตระหนกแก่ประชาชน หรือทำให้ผู้อื่นเสียหาย ข้อมูลความผิดเกี่ยวกับการก่อการร้าย ข้อมูลลามกอนาจาร หรือผู้ที่เผยแพร่หรือส่งต่อข้อมูลเหล่านี้ ไม่ว่าจะเป็นทางเครื่องคอมพิวเตอร์ พีดีเอ โทรศัพท์มือถือ หรือระบบคอมพิวเตอร์อื่นๆ จำคุกไม่เกินห้าปีหรือปรับไม่เกินหนึ่งแสนบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ
(มาตรา 16) ผู้ที่นำเข้าภาพตัดต่อ ภาพดัดแปลงด้วยวิธีการใดๆ ของบุคคลอื่นเข้าไปในระบบคอมพิวเตอร์โดยมีเจตนาให้ผู้นั้นเสียชื่อเสียง ถูกดูหมิ่น ถูกเกลียดชัง หรือได้รับความอับอาย จำคุกไม่เกินสามปี หรือปรับไม่เกินหกหมื่นบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ
(มาตรา 26) ผู้ให้บริการ เช่น อินเตอร์เน็ตคาเฟ่ ผู้ให้บริการสัญญาณอินเตอร์เน็ต กลุ่มผู้ประกอบการอีคอมเมิร์ช รวมถึงมหาวิทยาลัย ต้องเก็บข้อมูลการเข้าใช้งานระบบคอมพิวเตอร์ของผู้ใช้บริการไม่น้อยกว่าเก้าสิบวัน เพื่อใช้ติดตามผู้กระทำความผิดมาลงโทษ หากผู้ให้บริการไม่ปฏิบัติตามนี้ ปรับสูงสุดถึงห้าแสนบาท

นางสาวจุฬาลักษณ์ ไชยสุระ
รหัสนักศึกษา 551919010223
สาขาภาษาไทย หมู่ 2

วิท กล่าวว่า...

ไวรัสคอมพิวเตอร์เป็นชื่อเรียกสำหรับโปรแกรมประเภทหนึ่งที่มีพฤติกรรมคล้ายๆ กับไวรัสที่เป็นเชื้อโรค ที่สามารถแพร่เชื้อได้และมักทำอันตรายต่อสิ่งมีชีวิตที่มันอาศัยอยู่ แต่ต่างกันตรงที่ว่าคอมพิวเตอร์ไวรัสเป็นแค่เพียงโปรแกรมเท่านั้น ไม่ใช่สิ่งมีชีวิต

การป้องกันไวรัส
1.สำรองไฟล์ข้อมูลที่สำคัญ
2.สำหรับเครื่องที่มีฮาร์ดดิสก์ อย่าเรียกดอสจากฟลอปปีดิสก์
3.ป้องกันการเขียนให้กับฟลอปปีดิสก์
4.อย่าเรียกโปรแกรมที่ติดมากับดิสก์อื่น
5.เสาะหาโปรแกรมตรวจหาไวรัสที่ใหม่และมากกว่าหนึ่งโปรแกรมจากคนละบริษัท
6.เรียกใช้โปรแกรมตรวจหาไวรัสเป็นช่วงๆ
7. เรียกใช้โปรแกรมตรวจจับไวรัสแบบเฝ้าดูทุกครั้ง
8. เลือกคัดลอกซอฟแวร์เฉพาะที่ถูกตรวจสอบแล้วในบีบีเอส
9. สำรองข้อมูลที่สำคัญของฮาร์ดิสก์ไปเก็บในฟลอปปีดิสก์
10. เตรียมฟลอปปีดิสก์ที่ไว้สำหรับให้เรียกดอสก์ขึ้นมาทำงานได้
11. เมื่อเครื่องติดไวรัส ให้พยายามหาที่มาของไวรัสนั้น

จริยธรรมในการใช้ ICT
ต้องให้ความร่วมมือจากทุกๆฝ่าย ไม่ว่าจะจากทางภาครัฐ ภาคเอกชน ตัวบุคคลที่ใช้เทคโนโลยีสื่อสารและ ผู้ปกครองจะต้องดูแลบุตรหลานตัวเองในการใช้เทคโนโลยีการสื่อสารที่อยู่ในยุคไร้พรมแดนนี้ การสร้างจิตสำนึกต่อตนเองให้กับเด็กเยาวชนตั้งแต่ยังเล็กๆ และให้เด็กรู้ถึงโทษ ถึงปัญหา ให้เด็กรู้จักเลือกใช้โปรแกรมในทางที่ก่อให้เกิดประโยชน์แก่ตนเอง ก็น่าจะเป็นทางป้องกันที่ดีต่อปัญหาเหล่านี้ได้ ทั้งนี้เพราะโปรแกรมประเภทนี้ ไม่ว่าจะเป็น Camfrog , MSN , ICQ , Yahoo ล้วนแต่เป็นโปรแกรมการสื่อสาร ที่มีทั้งคุณและโทษในการใช้ ข้อดีของโปรแกรมเหล่านี้ก็คือจะช่วยสร้างให้เกิดความรวดเร็วในการสื่อสารมากขึ้น สามารถสื่อสารได้ทั้งทางสายตา เสียงพูด และมองเห็นหน้ากันได้ ส่วนข้อเสียส่วนใหญ่แล้วมักจะเกิดจากการใช้งานไปในทางที่ไม่ถูกไม่ควร ซึ่งตรงนี้ก็อยู่ที่ตัวของบุคคลแต่ละบุคคลในการที่จะเลือกทำเลือกใช้และเลือกที่จะนำสิ่งนั้นมาก่อให้เกิดประโยชน์ต่อตนเองค่ะ

พรบ.ว่าด้วยการกระทำความผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์
(มาตรา 5 ) แฮกเกอร์ที่เจาะเข้าระบบคอมพิวเตอร์ที่มีมาตรการป้องกันการเข้าถึง จำคุกไม่เกินหกเดือนหรือปรับไม่เกินหนึ่งหมื่นบาทหรือทั้งจำทั้งปรับ
(มาตรา 7) แฮกเกอร์ที่เจาะเข้าระบบและได้เข้าไปดูข้อมูลของผู้อื่นจำคุกไม่เกินสองปีหรือปรับไม่เกินสี่หมื่นบาทหรือทั้งจำทั้งปรับ
(มาตรา 8) ผู้ที่ชอบดักรับข้อมูลของผู้อื่นระหว่างการส่งข้อมูลในระบบคอมพิวเตอร์ จำคุกไม่เกินสามปีหรือปรับไม่เกินหกหมื่นบาทหรือทั้งจำทั้งปรับ
(มาตรา 9,10 และ 12) ผู้ที่ทำการปลอมแปลง ทำลาย แก้ไขข้อมูลคอมพิวเตอร์ของผู้อื่น หรือทำการใดๆ ที่ไประงับ ชะลอ ขัดขวาง หรือรบกวนการทำงานระบบคอมพิวเตอร์ของผู้อื่น จำคุกสูงสุดยี่สิบปี
(มาตรา 11 ) ผู้ที่ส่งอีเมล์ปกปิดหรือปลอมแปลงแหล่งที่มา เช่น สแปมเมล์ (spam mail ) ทำให้รบกวนการใช้งานระบบคอมพิวเตอร์ของผู้อื่น ปรับไม่เกินหนึ่งแสนบาท
(มาตรา 14) ผู้ที่นำเข้าข้อมูลที่ไม่เหมาะสมเข้าไปในระบบคอมพิวเตอร์ซึ่งคนอื่นสามารถเข้าไปดูข้อมูลนั้นได้ เช่นข้อมูลอันเป็นเท็จที่ส่งผลกระทบต่อความมั่นคงของประเทศ ก่อให้เกิดความตื่นตระหนกแก่ประชาชน หรือทำให้ผู้อื่นเสียหาย ข้อมูลความผิดเกี่ยวกับการก่อการร้าย ข้อมูลลามกอนาจาร หรือผู้ที่เผยแพร่หรือส่งต่อข้อมูลเหล่านี้ ไม่ว่าจะเป็นทางเครื่องคอมพิวเตอร์ พีดีเอ โทรศัพท์มือถือ หรือระบบคอมพิวเตอร์อื่นๆ จำคุกไม่เกินห้าปีหรือปรับไม่เกินหนึ่งแสนบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ
(มาตรา 16) ผู้ที่นำเข้าภาพตัดต่อ ภาพดัดแปลงด้วยวิธีการใดๆ ของบุคคลอื่นเข้าไปในระบบคอมพิวเตอร์โดยมีเจตนาให้ผู้นั้นเสียชื่อเสียง ถูกดูหมิ่น ถูกเกลียดชัง หรือได้รับความอับอาย จำคุกไม่เกินสามปี หรือปรับไม่เกินหกหมื่นบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ
(มาตรา 26) ผู้ให้บริการ เช่น อินเตอร์เน็ตคาเฟ่ ผู้ให้บริการสัญญาณอินเตอร์เน็ต กลุ่มผู้ประกอบการอีคอมเมิร์ช รวมถึงมหาวิทยาลัย ต้องเก็บข้อมูลการเข้าใช้งานระบบคอมพิวเตอร์ของผู้ใช้บริการไม่น้อยกว่าเก้าสิบวัน เพื่อใช้ติดตามผู้กระทำความผิดมาลงโทษ หากผู้ให้บริการไม่ปฏิบัติตามนี้ ปรับสูงสุดถึงห้าแสนบาท
นายสุวิทย์ ศรีบุญเรือง 55128040257
รปศ. หมู่ 2

«เก่าที่สุด ‹เก่ากว่า   401 – 507 จาก 507   ใหม่กว่า› ใหม่ที่สุด»

การเขียนโปรแกรมและอัลกอริทึม

หลักการเขียนโปรแกรม องค์ประกอบของประโยคคำสั่ง ชนิดของข้อมูล โครงสร้างข้อมูลแบบอาร์เรย์ โครงสร้างคำสั่งแบบลำดับ โครงสร้างคำสั่งแบบวนซ้ำ การ...